เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓
จิตพระอรหันต์เป็นอย่างนี้
จิตที่บริสุทธิ์แล้วไม่ได้เข้าไปยุ่งกันเลย เป็นหลักธรรมชาติไม่ต้องบังคับ จะทุกข์มากทุกข์น้อยถึงขั้นตายก็ตาม ทุกขเวทนาจะดิ้นอยู่ในวงวัฏฏะของมัน จะไม่เข้าไปถึงวิมุตติจิตได้เลย นี่เป็นหลักธรรมชาติ ท่านเรียกว่า เป็นอฐานะ ให้เป็นอย่างอื่นอย่างใดไปไม่ได้แล้ว เรียกว่าจิตหลุดพ้นแล้ว เป็นอย่างนั้น
ทีนี้จิตหลุดพ้นแล้ว อำนาจแห่งความสว่างไสวที่ออกจากความหลุดพ้นนี้จึงหาประมาณไม่ได้ ใครอย่ามาคาด รู้ได้เฉพาะผู้เป็นๆ คนอื่นจะมาคาดผิดทั้งเพๆ นั่นละที่ว่า จิตของท่านสว่างจ้า รู้ได้เฉพาะท่าน คนอื่นไปรู้แทนไม่ได้ นั่นละอำนาจของธรรม อำนาจของจิตที่สิ้นเชื้อแห่งความกดขี่ปิดบังทั้งหลายแล้ว สว่างจ้าขึ้นมา อันนั้นท่านก็ให้ชื่อว่า นิพพาน หรือธรรมธาตุ ธรรมธาตุรู้สึกว่าสนิทมาก ก็เป็นไวพจน์ของกันนั่นละ นิพพานก็ดี วิมุตติก็ดี ธรรมธาตุก็ดี แต่รู้สึกว่าธรรมธาตุจะนิ่มกว่าทุกอย่าง ว่าธรรมธาตุครอบหมดเลย นั่นจิตของท่านเป็นธรรมธาตุ
จิตดวงนี้แหละ ตั้งแต่เริ่มแรกมันเกิดมาแต่เมื่อไรๆ ไม่มีใครนับได้ว่าเกิดมาแต่เมื่อไรๆ แล้วมันก็เป็นของมันไปอย่างนี้เรื่อย เมื่อมีเชื้อให้พาหมุนมันก็หมุน จึงเรียกว่า จิตคือนักท่องเที่ยว มันเที่ยวของมันไปด้วยอำนาจแห่งกรรมหมุนให้ไป หมุนไปทางดีทางชั่วตามอำนาจแห่งกรรม ทีนี้พอหมดเชื้อนี้แล้ว ธรรมชาติที่ว่า จิตไม่เคยตาย นี่ละที่ว่า เป็นธรรมธาตุ ไม่สูญไปไหน เป็นธรรมธาตุ เรียกว่า อยู่ตัวแล้ว ถ้าภาษาสมมุติเรา ไม่มีความเคลื่อนไหว กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าไปเกี่ยวไม่ได้เลย เป็นธรรมธาตุล้วนๆ ออกมาจากเกิดแก่เจ็บตาย ด้วยเชื้อของกิเลสพาให้เป็นไป มาเรื่อยๆ อย่างนี้ พอชำระบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ก็หลุดจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ถึงแดนวิมุตติหรือธรรมธาตุ กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงเข้ายุ่งไม่ได้เลย เป็นหลักธรรมชาติเหมือนกัน
นี่ท่านเรียกว่า ธรรม มีอยู่ครอบโลกธาตุ กิเลสมันก็ครอบโลกธาตุเหมือนกัน เป็นข้าศึกกัน ถ้าไม่มีธรรม มีแต่กิเลสก็เหมือนกับว่า มีแต่ไฟ ไม่มีน้ำดับไฟ ทุกข์หาประมาณไม่ได้เลย ถ้ามีน้ำดับไฟก็พอมีประมาณ พอมีที่หลบที่ซ่อน เช่นอย่างเราวิ่งออกมาจากแดด เข้าสู่ร่มไม้เราก็เย็น มีอรรถมีธรรมพอเป็นที่เกาะที่อาศัยบ้าง ก็เย็นคนเรา ถ้าไม่มีอรรถมีธรรมเลย โอ๊ยเท่าไรเท่านั้นนะ ตายเกลื่อนอยู่งี้ ตายทับกัน ตายทับตายถมกัน คนหนึ่งๆ นี้ ถ้าหากว่าเราจะเอาร่างกายของแต่ละภพละชาติของเรา ซึ่งไม่สลายแหละ ตายเมื่อไรก็เอามาวางกองกันไว้ๆ เมืองไทยทั้งประเทศนี้ไม่มีที่วางศพของคนคนเดียวนะ นั่นละเกิดมานานขนาดไหน ฟังซี มันตายมานานขนาดไหน ตายทับตายถมกัน ตายทับตายถมภพชาติเจ้าของ ทั้งภพชาติผู้อื่นสัตว์อื่น เต็มทั่วแดนโลกธาตุ มีแต่ป่าช้าของกิเลสเผาสัตว์
นี่แหละถ้ามีแต่เรื่องของกิเลสจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ธรรมจึงต้องมาชะมาล้างๆ ผู้ที่ชะล้างได้มากน้อยมีอำนาจวาสนากว้างออกไป ภพชาติทั้งหลายนี้ก็หดตัวลง ย่นเข้ามาๆ ความทุกข์ก็ย่นเข้ามาพร้อมกัน จนกระทั่งเชื้อแห่งภพชาติอยู่ภายในจิต ขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว หมดภพชาติไม่มี ความเกิดตายต่อไปอีก ซึ่งเป็นการแบกหามกองทุกข์ไปด้วยกันนั้นหมดไปด้วยกันไม่มีอะไรเหลือ นั่นละที่นี่ ท่านว่า นิพพานเที่ยง หรือธรรมธาตุเที่ยงคืออันนั้นเอง ไม่เกิดไม่ตาย ธรรมธาตุนั้นไม่มีคำว่า ไปเกิดไปตาย เป็นธรรมธาตุล้วนๆ เรียกว่า นิพพานเที่ยง
เราดูโลกนี้มันเหมือนว่า แหม ถ้าจะดูแบบโลกแล้วจะดูไม่ได้นะ ถ้าดูก็ดูแบบธรรมซึ่งเป็นหลักธรรมชาติ ไม่หนักใจกับสิ่งชั่วสิ่งดีอะไร อะไรมีอยู่ยังไงก็รู้เห็นตามเป็นจริง มันหากเป็นเอง ไม่แตะไม่ต้อง ไม่แบกไม่หามทั้งดีทั้งชั่ว ไม่เป็นอารมณ์ เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ ไม่มีคำว่ารับ ว่าได้ว่าเสียกับสิ่งที่รู้ที่เห็นนั้น นั่นละจิตของพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างนั้น
อ่านเพิ่มเติมอย่างเต็มอิ่มได้ที่นี้
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=559&CatID=2
จิตพระอรหันต์เป็นอย่างนี้ จขกท น้อมกราบพ่อแม่ครูอาจารย์อย่างราบคาบสาธุ สาธุ สาธุ
เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓
จิตพระอรหันต์เป็นอย่างนี้
จิตที่บริสุทธิ์แล้วไม่ได้เข้าไปยุ่งกันเลย เป็นหลักธรรมชาติไม่ต้องบังคับ จะทุกข์มากทุกข์น้อยถึงขั้นตายก็ตาม ทุกขเวทนาจะดิ้นอยู่ในวงวัฏฏะของมัน จะไม่เข้าไปถึงวิมุตติจิตได้เลย นี่เป็นหลักธรรมชาติ ท่านเรียกว่า เป็นอฐานะ ให้เป็นอย่างอื่นอย่างใดไปไม่ได้แล้ว เรียกว่าจิตหลุดพ้นแล้ว เป็นอย่างนั้น
ทีนี้จิตหลุดพ้นแล้ว อำนาจแห่งความสว่างไสวที่ออกจากความหลุดพ้นนี้จึงหาประมาณไม่ได้ ใครอย่ามาคาด รู้ได้เฉพาะผู้เป็นๆ คนอื่นจะมาคาดผิดทั้งเพๆ นั่นละที่ว่า จิตของท่านสว่างจ้า รู้ได้เฉพาะท่าน คนอื่นไปรู้แทนไม่ได้ นั่นละอำนาจของธรรม อำนาจของจิตที่สิ้นเชื้อแห่งความกดขี่ปิดบังทั้งหลายแล้ว สว่างจ้าขึ้นมา อันนั้นท่านก็ให้ชื่อว่า นิพพาน หรือธรรมธาตุ ธรรมธาตุรู้สึกว่าสนิทมาก ก็เป็นไวพจน์ของกันนั่นละ นิพพานก็ดี วิมุตติก็ดี ธรรมธาตุก็ดี แต่รู้สึกว่าธรรมธาตุจะนิ่มกว่าทุกอย่าง ว่าธรรมธาตุครอบหมดเลย นั่นจิตของท่านเป็นธรรมธาตุ
จิตดวงนี้แหละ ตั้งแต่เริ่มแรกมันเกิดมาแต่เมื่อไรๆ ไม่มีใครนับได้ว่าเกิดมาแต่เมื่อไรๆ แล้วมันก็เป็นของมันไปอย่างนี้เรื่อย เมื่อมีเชื้อให้พาหมุนมันก็หมุน จึงเรียกว่า จิตคือนักท่องเที่ยว มันเที่ยวของมันไปด้วยอำนาจแห่งกรรมหมุนให้ไป หมุนไปทางดีทางชั่วตามอำนาจแห่งกรรม ทีนี้พอหมดเชื้อนี้แล้ว ธรรมชาติที่ว่า จิตไม่เคยตาย นี่ละที่ว่า เป็นธรรมธาตุ ไม่สูญไปไหน เป็นธรรมธาตุ เรียกว่า อยู่ตัวแล้ว ถ้าภาษาสมมุติเรา ไม่มีความเคลื่อนไหว กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าไปเกี่ยวไม่ได้เลย เป็นธรรมธาตุล้วนๆ ออกมาจากเกิดแก่เจ็บตาย ด้วยเชื้อของกิเลสพาให้เป็นไป มาเรื่อยๆ อย่างนี้ พอชำระบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ก็หลุดจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ถึงแดนวิมุตติหรือธรรมธาตุ กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงเข้ายุ่งไม่ได้เลย เป็นหลักธรรมชาติเหมือนกัน
นี่ท่านเรียกว่า ธรรม มีอยู่ครอบโลกธาตุ กิเลสมันก็ครอบโลกธาตุเหมือนกัน เป็นข้าศึกกัน ถ้าไม่มีธรรม มีแต่กิเลสก็เหมือนกับว่า มีแต่ไฟ ไม่มีน้ำดับไฟ ทุกข์หาประมาณไม่ได้เลย ถ้ามีน้ำดับไฟก็พอมีประมาณ พอมีที่หลบที่ซ่อน เช่นอย่างเราวิ่งออกมาจากแดด เข้าสู่ร่มไม้เราก็เย็น มีอรรถมีธรรมพอเป็นที่เกาะที่อาศัยบ้าง ก็เย็นคนเรา ถ้าไม่มีอรรถมีธรรมเลย โอ๊ยเท่าไรเท่านั้นนะ ตายเกลื่อนอยู่งี้ ตายทับกัน ตายทับตายถมกัน คนหนึ่งๆ นี้ ถ้าหากว่าเราจะเอาร่างกายของแต่ละภพละชาติของเรา ซึ่งไม่สลายแหละ ตายเมื่อไรก็เอามาวางกองกันไว้ๆ เมืองไทยทั้งประเทศนี้ไม่มีที่วางศพของคนคนเดียวนะ นั่นละเกิดมานานขนาดไหน ฟังซี มันตายมานานขนาดไหน ตายทับตายถมกัน ตายทับตายถมภพชาติเจ้าของ ทั้งภพชาติผู้อื่นสัตว์อื่น เต็มทั่วแดนโลกธาตุ มีแต่ป่าช้าของกิเลสเผาสัตว์
นี่แหละถ้ามีแต่เรื่องของกิเลสจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ธรรมจึงต้องมาชะมาล้างๆ ผู้ที่ชะล้างได้มากน้อยมีอำนาจวาสนากว้างออกไป ภพชาติทั้งหลายนี้ก็หดตัวลง ย่นเข้ามาๆ ความทุกข์ก็ย่นเข้ามาพร้อมกัน จนกระทั่งเชื้อแห่งภพชาติอยู่ภายในจิต ขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว หมดภพชาติไม่มี ความเกิดตายต่อไปอีก ซึ่งเป็นการแบกหามกองทุกข์ไปด้วยกันนั้นหมดไปด้วยกันไม่มีอะไรเหลือ นั่นละที่นี่ ท่านว่า นิพพานเที่ยง หรือธรรมธาตุเที่ยงคืออันนั้นเอง ไม่เกิดไม่ตาย ธรรมธาตุนั้นไม่มีคำว่า ไปเกิดไปตาย เป็นธรรมธาตุล้วนๆ เรียกว่า นิพพานเที่ยง
เราดูโลกนี้มันเหมือนว่า แหม ถ้าจะดูแบบโลกแล้วจะดูไม่ได้นะ ถ้าดูก็ดูแบบธรรมซึ่งเป็นหลักธรรมชาติ ไม่หนักใจกับสิ่งชั่วสิ่งดีอะไร อะไรมีอยู่ยังไงก็รู้เห็นตามเป็นจริง มันหากเป็นเอง ไม่แตะไม่ต้อง ไม่แบกไม่หามทั้งดีทั้งชั่ว ไม่เป็นอารมณ์ เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ ไม่มีคำว่ารับ ว่าได้ว่าเสียกับสิ่งที่รู้ที่เห็นนั้น นั่นละจิตของพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างนั้น
อ่านเพิ่มเติมอย่างเต็มอิ่มได้ที่นี้ http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=559&CatID=2