นักวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น มักจะพูดถึงแต่เรื่องทาง “เทคนิค” นั่นคือพูดถึงแต่เรื่องตัวเลข แนวรับแนวต้าน เส้นกราฟต่าง ๆ อย่างเป็นงานเป็นการ พวกเขาจะต้องทำตัวให้ดูเคร่งขรึม “น่าเชื่อถือ” คนที่ใช้ต้องมี “วินัย” เพื่อที่จะไม่ตัดสินใจผิดพลาด การ “ไม่เชื่อกราฟ” นั้นดูเหมือนว่าจะทำให้การเล่นหุ้นแบบเทคนิค “ผิดพลาดมากที่สุด” อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เทคนิคต่าง ๆ ถูกศึกษาและมีการนำมาใช้กว้างขวางและ “อยู่ตัวแล้ว” พวกเขาก็เริ่มที่จะหาอะไรที่มี “สีสัน” มาเล่นมากขึ้น และต่อไปนี้ก็คือเรื่องที่มีการพูดหรือใช้กันต่อเนื่องมาช้านาน บางเรื่องหรือบางเทคนิคก็มีการศึกษาต่อเนื่องกันมาและในตลาดหุ้นอื่น ๆ ซึ่งก็ใช้ได้หรือถูกต้องบ้างไม่ถูกต้องบ้าง บางเรื่องก็ใช้ไม่ได้เลยหรือพิสูจน์ไม่ได้ทั้งในตลาดเดิมและในตลาดอื่น อย่างไรก็ตาม เรื่องที่มีสีสันเหล่านั้นก็มักจะถูกยกขึ้นมากล่าวอยู่เรื่อย ๆ จนคนรุ่นหลังคิดว่ามันเป็นเทคนิคที่ใช้ได้จริง ๆ หรือมีโอกาสถูกต้องในระดับหนึ่ง
เรื่องแรกที่ผมจะพูดก็คือคำกล่าวที่ว่า Sell in May and go away เพราะขณะนี้เรากำลังอยู่ในเดือน May หรือเดือนพฤษภาคมและนักวิเคราะห์บางคนก็นำมาพูดแนะนำว่านักลงทุนควรขายหุ้นไปก่อนและออกจากตลาดหุ้นจนกว่าจะถึงเดือนตุลาคม บางคนก็แนะนำว่าเดือนพฤษภาคมปีนี้เราไม่ควรขายแต่ควรจะซื้อ เสร็จแล้วก็ยกเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ มาประกอบในการวิเคราะห์ ราวกับว่าหุ้นในเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมของทุกปีนั้นมักจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาอื่นของปี
ผมเองในฐานะที่เรียนทางด้านการลงทุนจนจบปริญญาเอกก็ไม่เคยพบว่ามีการศึกษาที่พบว่าเดือนพฤษภาคมเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นจะตก ผมเข้าใจว่าครั้งหนึ่ง..นานมาแล้ว คงจะมีนักลงทุนบางคนพูดขึ้นมาหรือเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากนั้นก็อาจจะปรากฏว่าหุ้นตกลงมาอย่างแรงจริงในเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นก็อาจจะมีคนมาพูดย้ำ คำพูดที่ว่า Sell in May and go away เองก็เป็นคำพูดที่มีเสียงคล้องจองกันฟังแล้วจำได้ทันที หลังจากนั้น พอถึงเดือนพฤษภาคมครั้งใด คนก็จะพูดกันว่าหุ้นอาจจะตก และพอปีไหนที่หุ้นตกจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตกแรง คนก็จะยิ่งเชื่อว่าหุ้นมักจะตกในเดือนพฤษภาคม ส่วนปีใดที่หุ้นไม่ตก คนก็จะไม่พูดถึง ผลก็คือ สมองของนักลงทุนทั่วไปนั้นได้รับการ “ย้ำ” ความเชื่อที่ว่าเดือนพฤษภาคมอาจจะไม่ใช่เดือนที่ดีในแง่ของการลงทุนและควรขายหุ้นไปก่อน
ความเป็นจริงก็คือ จากการศึกษาตลาดหุ้นในสหรัฐกลับพบว่าตลาดหุ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมนั้นมักจะขึ้นมากกว่าลง การศึกษาในตลาดหุ้นไทยนั้นผมไม่แน่ใจ แต่คิดว่าเรื่อง Sell in May and go away นั้นไม่น่าจะเป็นจริง พูดง่าย ๆ เป็นเรื่องที่บังเอิญมีการพูดกันเล่น ๆ นานมาแล้ว และคนก็จะพูดต่อ ๆ กันไปทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริงเลย ดังนั้น เรื่องนี้เราไม่ควรจะไปยึดถืออะไรจริงจัง แต่เชื่อเถอะว่าในปีต่อไปคนก็จะพูดอีกเวลาถึงเดือนพฤษภาคม
เรื่องที่สองก็คือ January Effect หรือเดือนมกราคมเป็นเดือนที่หุ้นมักจะขึ้น เรื่องนี้มีการศึกษาจริงในตลาดสหรัฐในช่วงเวลาหนึ่งที่ยาวพอสมควรและสามารถสรุปได้ว่าเรื่องนี้เป็นจริง เหตุผลที่หุ้นมักจะขึ้นก็ได้รับการอธิบายว่าเป็นเรื่องของการที่สถาบันลงทุนอาจจะขายหุ้นที่ “ขาดทุน” ก่อนสิ้นปีเพื่อจะได้ “ลดภาษี” นิติบุคคล เสร็จแล้วพอขึ้นปีใหม่ก็กลับไปซื้อหุ้นคืนทำให้หุ้นขึ้น บ้างก็บอกว่าในเดือนมกราคมนั้น คนมักจะมีความหวังและมองโลกในแง่ดีจึงเข้าไปซื้อหุ้นมากกว่าปกติทำให้หุ้นขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสองสัปดาห์แรกของปี การศึกษาในตลาดหุ้นหลายประเทศก็พบว่าได้ผลคล้าย ๆ กัน อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ขึ้นดีมักจะเป็นหุ้นตัวเล็กที่ต้องเสียค่าคอมมิชชั่นสูงกว่าปกติและบางทีก็มีสภาพคล่องต่ำซึ่งทำให้กำไรที่จะได้รับนั้นถูกค่าคอมหรือส่วนต่างราคาซื้อขายหุ้นกินหมด พูดง่าย ๆ ก็คือ ในทางปฏิบัติแล้ว วิธีนี้ทำกำไรไม่ได้จริงหรือไม่คุ้ม และบางปีหรือบางช่วง January Effect ก็ไม่เกิด ดังนั้น ผมคิดว่านี่ก็เป็นเรื่องที่เอาไว้พูดเล่น ๆ เท่ ๆ มากกว่าที่จะเป็นเรื่องจริงจัง
เรื่องที่สามคือเรื่องของการซื้อขายหุ้นแบบ Odd-Lot หรือซื้อขายไม่ครบ 100 หุ้นหรือ “เศษหุ้น” นี่เป็นเรื่องของการซื้อขายของนักเล่นหุ้นรายย่อยในสหรัฐที่มีเงินไม่พอซื้อหุ้นครบล็อตเนื่องจากหุ้นในสหรัฐมักจะมีราคาสูง ราคาหุ้นมาตรฐานมักจะอย่างน้อยหลายสิบเหรียญต่อหุ้น เทคนิคการซื้อขายหุ้นในเรื่องนี้ก็คือ ดูว่าคนที่เล่นหุ้น Odd-Lot ซื้อ เทียบกับที่ขาย ถ้าเมื่อไรคนกลุ่มนี้ซื้อมากกว่าขายก็แปลว่ารายย่อยเข้ามาซื้อหุ้นซึ่งเป็นสัญญาณว่า “หมู” กำลังเข้าตลาด และถ้าพวกเขาซื้อหุ้นตัวไหน เราก็ต้องขายหุ้นตัวนั้น เพราะพวกรายย่อยซึ่งถูกตั้งสมมุติฐานว่า “ลงทุนไม่เป็น” มักจะ “ผิด” เสมอ
ข้อมูลจากการศึกษาพบว่านักลงทุนรายย่อยนั้น ไม่ “หมู” เท่าไรนัก ผลตอบแทนของพวกรายย่อยอาจจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดเพียงเล็กน้อย แต่นี่ไม่พอที่เราจะใช้ตัวเลขขายหรือซื้อสุทธิของรายย่อยมาทำกำไรในตลาดได้ ในกรณีของตลาดหุ้นไทยนั้น ถ้าจะเปรียบเทียบก็คือ เราสามารถดูว่านักลงทุนรายย่อยซื้อหรือขายสุทธิได้ทุกวันโดยตรงอยู่แล้ว ถ้าเราคิดว่านักลงทุนรายย่อยเป็น “หมู” หรือ “แมงเม่า” เราก็สามารถใช้ข้อมูลการซื้อขายหุ้นสุทธิมากำหนดเป็นกลยุทธ์ในการซื้อขายหุ้นได้ เช่น ถ้านักลงทุนรายย่อยซื้อ เราต้องขาย แต่ถ้ากลุ่มนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ เราก็ซื้อ เราอาจจะเรียกทฤษฎีนี้ให้เท่ว่าเป็น “ทฤษฎีแมงเม่า” ก็ได้ ผมเองไม่แน่ใจว่ามีใครศึกษาเรื่องนี้ในตลาดหุ้นไทยไหม แต่ครั้งหนึ่งนานมาแล้วสมัยที่ตลาดหุ้นไทยยังเล็กและไม่คึกคักอย่างทุกวันนี้ ผมเคยศึกษาและพบว่า ช่วงไหนที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ ตลาดหุ้นจะขึ้น ถ้า “ฝรั่ง” ขาย หุ้นก็ตก รายย่อยเป็น “แมงเม่า” ที่มักจะถูก “กิน” เสมอ ในปัจจุบันนั้น ผมเองไม่แน่ใจว่านักลงทุนกลุ่มไหนเป็น “หมู” หรือเป็น “เซียน” ดังนั้น ผมเองก็คิดว่าเทคนิคนี้ก็ไม่น่าจะใช้ได้ในตลาดหุ้นไทย
ทฤษฎีที่ดูแล้วไม่เกี่ยวกับหุ้นเลยแต่คนก็นำมาพูดกันและหลายคนก็อาจจะเชื่อก็คือ “ดัชนีชายกระโปรงหรือกางเกง” ของผู้หญิง หลักการง่าย ๆ ก็คือ ตอนต้นปีเราก็ตรวจสอบหรือคาดการณ์ดูว่าแฟชั่นกระโปรงหรือกางเกงของผู้หญิงจะเป็นอย่างไร ดัชนีตลาดหุ้นในปีนั้นก็จะเป็นอย่างนั้น เช่น ถ้าแฟชั่นเป็นมินิสเกิร์ตหรือกางเกงขาสั้น ราคาหุ้นก็มักจะปรับขึ้นไปเป็นกระทิง แต่ถ้าเป็นกระโปรงกรอมเท้าหรือกางเกงขายาว หุ้นก็ตกลงมา “ที่พื้น” คนที่คิดและเสนอเรื่องนี้ถึงกับแสดงดัชนีหุ้นกับชายกระโปรงให้เห็นซึ่งก็ดูสอดคล้องกันพอสมควรย้อนหลังไปถึงร้อยปี อย่างไรก็ตาม หลายครั้งก็ผิดพลาดเช่น ช่วงสมัยที่ผมเป็นวัยรุ่นราวปี 1970 ที่มินิสเกิร์ตเป็นที่นิยมมาก หุ้นกลับตกลงมา แต่ที่อาจจะทำให้คนทึ่งและจดจำได้แม่นก็คือ ในปี 1987 ที่ช่วงต้นปีตลาดหุ้นขึ้นไปแรงมากถึงกว่า 40% ในหนึ่งปีซึ่งตรงกับช่วงที่ผู้หญิงนุ่งกระโปรงสั้นมาก แต่แล้วพอถึงเดือนตุลาคมอากาศก็เย็นลงและแฟชั่นก็ “เปลี่ยนกระทันหัน”กลายเป็นกระโปรงกรอมเท้า และนั่นก็ตรงกับ “Black Monday” ที่ตลาดหุ้นตกลงมาเป็นประวัติการณ์ทั่วโลก ในวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม วันเดียว ตลาดหุ้นตกลง 508 จุดหรือ 22.6% ตกหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นอเมริกา และนั่นก็คงมีส่วนที่ทำให้คนพูดถึงเรื่องชายกระโปรงนี้ไปอีกนาน
ยังมีเรื่องราวหรือเครื่องชี้แปลก ๆ ที่โยงไปถึงการคาดการณ์ตลาดหุ้นที่ “ไม่จริง” อีกหลายเรื่องที่คนพูดถึงกันอยู่เรื่อย ๆ บางเรื่องก็อาจจะ “เคยจริง” แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นธรรมชาติของตลาดหุ้นที่คอย “ปรับตัวเอง” เสมอที่จะทำให้ไม่มีใครสามารถใช้เทคนิคที่จะทำกำไรได้งามอย่างง่าย ๆ ดังนั้น เราในฐานะที่เป็นนักลงทุนจึงไม่ควรจะหวังที่จะ “ชนะ” โดยทำอะไรที่คนอื่นก็รู้และทำกันง่าย ๆ จำไว้ว่าการทำกำไรสูง ๆ ได้ในตลาดหุ้นนั้น ยากมาก
Sell in May and go away byดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เรื่องแรกที่ผมจะพูดก็คือคำกล่าวที่ว่า Sell in May and go away เพราะขณะนี้เรากำลังอยู่ในเดือน May หรือเดือนพฤษภาคมและนักวิเคราะห์บางคนก็นำมาพูดแนะนำว่านักลงทุนควรขายหุ้นไปก่อนและออกจากตลาดหุ้นจนกว่าจะถึงเดือนตุลาคม บางคนก็แนะนำว่าเดือนพฤษภาคมปีนี้เราไม่ควรขายแต่ควรจะซื้อ เสร็จแล้วก็ยกเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ มาประกอบในการวิเคราะห์ ราวกับว่าหุ้นในเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมของทุกปีนั้นมักจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาอื่นของปี
ผมเองในฐานะที่เรียนทางด้านการลงทุนจนจบปริญญาเอกก็ไม่เคยพบว่ามีการศึกษาที่พบว่าเดือนพฤษภาคมเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นจะตก ผมเข้าใจว่าครั้งหนึ่ง..นานมาแล้ว คงจะมีนักลงทุนบางคนพูดขึ้นมาหรือเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากนั้นก็อาจจะปรากฏว่าหุ้นตกลงมาอย่างแรงจริงในเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นก็อาจจะมีคนมาพูดย้ำ คำพูดที่ว่า Sell in May and go away เองก็เป็นคำพูดที่มีเสียงคล้องจองกันฟังแล้วจำได้ทันที หลังจากนั้น พอถึงเดือนพฤษภาคมครั้งใด คนก็จะพูดกันว่าหุ้นอาจจะตก และพอปีไหนที่หุ้นตกจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตกแรง คนก็จะยิ่งเชื่อว่าหุ้นมักจะตกในเดือนพฤษภาคม ส่วนปีใดที่หุ้นไม่ตก คนก็จะไม่พูดถึง ผลก็คือ สมองของนักลงทุนทั่วไปนั้นได้รับการ “ย้ำ” ความเชื่อที่ว่าเดือนพฤษภาคมอาจจะไม่ใช่เดือนที่ดีในแง่ของการลงทุนและควรขายหุ้นไปก่อน
ความเป็นจริงก็คือ จากการศึกษาตลาดหุ้นในสหรัฐกลับพบว่าตลาดหุ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมนั้นมักจะขึ้นมากกว่าลง การศึกษาในตลาดหุ้นไทยนั้นผมไม่แน่ใจ แต่คิดว่าเรื่อง Sell in May and go away นั้นไม่น่าจะเป็นจริง พูดง่าย ๆ เป็นเรื่องที่บังเอิญมีการพูดกันเล่น ๆ นานมาแล้ว และคนก็จะพูดต่อ ๆ กันไปทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริงเลย ดังนั้น เรื่องนี้เราไม่ควรจะไปยึดถืออะไรจริงจัง แต่เชื่อเถอะว่าในปีต่อไปคนก็จะพูดอีกเวลาถึงเดือนพฤษภาคม
เรื่องที่สองก็คือ January Effect หรือเดือนมกราคมเป็นเดือนที่หุ้นมักจะขึ้น เรื่องนี้มีการศึกษาจริงในตลาดสหรัฐในช่วงเวลาหนึ่งที่ยาวพอสมควรและสามารถสรุปได้ว่าเรื่องนี้เป็นจริง เหตุผลที่หุ้นมักจะขึ้นก็ได้รับการอธิบายว่าเป็นเรื่องของการที่สถาบันลงทุนอาจจะขายหุ้นที่ “ขาดทุน” ก่อนสิ้นปีเพื่อจะได้ “ลดภาษี” นิติบุคคล เสร็จแล้วพอขึ้นปีใหม่ก็กลับไปซื้อหุ้นคืนทำให้หุ้นขึ้น บ้างก็บอกว่าในเดือนมกราคมนั้น คนมักจะมีความหวังและมองโลกในแง่ดีจึงเข้าไปซื้อหุ้นมากกว่าปกติทำให้หุ้นขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสองสัปดาห์แรกของปี การศึกษาในตลาดหุ้นหลายประเทศก็พบว่าได้ผลคล้าย ๆ กัน อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ขึ้นดีมักจะเป็นหุ้นตัวเล็กที่ต้องเสียค่าคอมมิชชั่นสูงกว่าปกติและบางทีก็มีสภาพคล่องต่ำซึ่งทำให้กำไรที่จะได้รับนั้นถูกค่าคอมหรือส่วนต่างราคาซื้อขายหุ้นกินหมด พูดง่าย ๆ ก็คือ ในทางปฏิบัติแล้ว วิธีนี้ทำกำไรไม่ได้จริงหรือไม่คุ้ม และบางปีหรือบางช่วง January Effect ก็ไม่เกิด ดังนั้น ผมคิดว่านี่ก็เป็นเรื่องที่เอาไว้พูดเล่น ๆ เท่ ๆ มากกว่าที่จะเป็นเรื่องจริงจัง
เรื่องที่สามคือเรื่องของการซื้อขายหุ้นแบบ Odd-Lot หรือซื้อขายไม่ครบ 100 หุ้นหรือ “เศษหุ้น” นี่เป็นเรื่องของการซื้อขายของนักเล่นหุ้นรายย่อยในสหรัฐที่มีเงินไม่พอซื้อหุ้นครบล็อตเนื่องจากหุ้นในสหรัฐมักจะมีราคาสูง ราคาหุ้นมาตรฐานมักจะอย่างน้อยหลายสิบเหรียญต่อหุ้น เทคนิคการซื้อขายหุ้นในเรื่องนี้ก็คือ ดูว่าคนที่เล่นหุ้น Odd-Lot ซื้อ เทียบกับที่ขาย ถ้าเมื่อไรคนกลุ่มนี้ซื้อมากกว่าขายก็แปลว่ารายย่อยเข้ามาซื้อหุ้นซึ่งเป็นสัญญาณว่า “หมู” กำลังเข้าตลาด และถ้าพวกเขาซื้อหุ้นตัวไหน เราก็ต้องขายหุ้นตัวนั้น เพราะพวกรายย่อยซึ่งถูกตั้งสมมุติฐานว่า “ลงทุนไม่เป็น” มักจะ “ผิด” เสมอ
ข้อมูลจากการศึกษาพบว่านักลงทุนรายย่อยนั้น ไม่ “หมู” เท่าไรนัก ผลตอบแทนของพวกรายย่อยอาจจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดเพียงเล็กน้อย แต่นี่ไม่พอที่เราจะใช้ตัวเลขขายหรือซื้อสุทธิของรายย่อยมาทำกำไรในตลาดได้ ในกรณีของตลาดหุ้นไทยนั้น ถ้าจะเปรียบเทียบก็คือ เราสามารถดูว่านักลงทุนรายย่อยซื้อหรือขายสุทธิได้ทุกวันโดยตรงอยู่แล้ว ถ้าเราคิดว่านักลงทุนรายย่อยเป็น “หมู” หรือ “แมงเม่า” เราก็สามารถใช้ข้อมูลการซื้อขายหุ้นสุทธิมากำหนดเป็นกลยุทธ์ในการซื้อขายหุ้นได้ เช่น ถ้านักลงทุนรายย่อยซื้อ เราต้องขาย แต่ถ้ากลุ่มนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ เราก็ซื้อ เราอาจจะเรียกทฤษฎีนี้ให้เท่ว่าเป็น “ทฤษฎีแมงเม่า” ก็ได้ ผมเองไม่แน่ใจว่ามีใครศึกษาเรื่องนี้ในตลาดหุ้นไทยไหม แต่ครั้งหนึ่งนานมาแล้วสมัยที่ตลาดหุ้นไทยยังเล็กและไม่คึกคักอย่างทุกวันนี้ ผมเคยศึกษาและพบว่า ช่วงไหนที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ ตลาดหุ้นจะขึ้น ถ้า “ฝรั่ง” ขาย หุ้นก็ตก รายย่อยเป็น “แมงเม่า” ที่มักจะถูก “กิน” เสมอ ในปัจจุบันนั้น ผมเองไม่แน่ใจว่านักลงทุนกลุ่มไหนเป็น “หมู” หรือเป็น “เซียน” ดังนั้น ผมเองก็คิดว่าเทคนิคนี้ก็ไม่น่าจะใช้ได้ในตลาดหุ้นไทย
ทฤษฎีที่ดูแล้วไม่เกี่ยวกับหุ้นเลยแต่คนก็นำมาพูดกันและหลายคนก็อาจจะเชื่อก็คือ “ดัชนีชายกระโปรงหรือกางเกง” ของผู้หญิง หลักการง่าย ๆ ก็คือ ตอนต้นปีเราก็ตรวจสอบหรือคาดการณ์ดูว่าแฟชั่นกระโปรงหรือกางเกงของผู้หญิงจะเป็นอย่างไร ดัชนีตลาดหุ้นในปีนั้นก็จะเป็นอย่างนั้น เช่น ถ้าแฟชั่นเป็นมินิสเกิร์ตหรือกางเกงขาสั้น ราคาหุ้นก็มักจะปรับขึ้นไปเป็นกระทิง แต่ถ้าเป็นกระโปรงกรอมเท้าหรือกางเกงขายาว หุ้นก็ตกลงมา “ที่พื้น” คนที่คิดและเสนอเรื่องนี้ถึงกับแสดงดัชนีหุ้นกับชายกระโปรงให้เห็นซึ่งก็ดูสอดคล้องกันพอสมควรย้อนหลังไปถึงร้อยปี อย่างไรก็ตาม หลายครั้งก็ผิดพลาดเช่น ช่วงสมัยที่ผมเป็นวัยรุ่นราวปี 1970 ที่มินิสเกิร์ตเป็นที่นิยมมาก หุ้นกลับตกลงมา แต่ที่อาจจะทำให้คนทึ่งและจดจำได้แม่นก็คือ ในปี 1987 ที่ช่วงต้นปีตลาดหุ้นขึ้นไปแรงมากถึงกว่า 40% ในหนึ่งปีซึ่งตรงกับช่วงที่ผู้หญิงนุ่งกระโปรงสั้นมาก แต่แล้วพอถึงเดือนตุลาคมอากาศก็เย็นลงและแฟชั่นก็ “เปลี่ยนกระทันหัน”กลายเป็นกระโปรงกรอมเท้า และนั่นก็ตรงกับ “Black Monday” ที่ตลาดหุ้นตกลงมาเป็นประวัติการณ์ทั่วโลก ในวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม วันเดียว ตลาดหุ้นตกลง 508 จุดหรือ 22.6% ตกหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นอเมริกา และนั่นก็คงมีส่วนที่ทำให้คนพูดถึงเรื่องชายกระโปรงนี้ไปอีกนาน
ยังมีเรื่องราวหรือเครื่องชี้แปลก ๆ ที่โยงไปถึงการคาดการณ์ตลาดหุ้นที่ “ไม่จริง” อีกหลายเรื่องที่คนพูดถึงกันอยู่เรื่อย ๆ บางเรื่องก็อาจจะ “เคยจริง” แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นธรรมชาติของตลาดหุ้นที่คอย “ปรับตัวเอง” เสมอที่จะทำให้ไม่มีใครสามารถใช้เทคนิคที่จะทำกำไรได้งามอย่างง่าย ๆ ดังนั้น เราในฐานะที่เป็นนักลงทุนจึงไม่ควรจะหวังที่จะ “ชนะ” โดยทำอะไรที่คนอื่นก็รู้และทำกันง่าย ๆ จำไว้ว่าการทำกำไรสูง ๆ ได้ในตลาดหุ้นนั้น ยากมาก