วันนี้จะมารีวิวร้าน Grotto(กร็อตโต้) ซึ่งชื่อเต็มค่อนข้างยาว คือ Grotto Restaurant Champagne and Wine Bar ของโรงแรมเดอะ แกรนด์ โฟร์วิงส์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ บนถนนศรีนครินทร์ ซึ่งในรีวิวนี้จะขอเรียกสั้น ๆ ว่า Grotto แล้วกันนะครับ
Grotto เป็นห้องอาหารที่ ถ้าให้เทียบกับห้องอาหารอื่น ๆ ของโรงแรม ดูเป็นห้องอาหารที่ผมว่า หรูหรา สวย สบาย และเก๋ที่สุดในทุกห้องของโรงแรมเลย และผมว่าแรกเห็นการตกแต่งของห้องอาหารนี้น่าประทับใจมาก ตอนแรกเห็นชื่อก็เดาว่าน่าจะเป็นห้องอาหารอิตาเลี่ยน แต่จริง ๆ แล้ว Grotto ให้บริการอาหารสไตล์ โมเดิร์นเมดิเตอร์เรเนียนฟิวชั่น แค่ฟังสไตล์อาหารก็ยากแล้ว นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นยังไง เดี๋ยวก็ลองดูหน้าตาอาหารในรีวิวนี้เอาแล้วกันครับ
Grotto มาจากภาษาอิตาเลียนแปลว่า “ถ้ำ” ร้าน Grotto จริง ๆ มีหลายร้านมาก แต่สำหรับที่นี่ อย่างที่บอกว่าชื่อเต็มคือ Grotto Restaurant Champagne and Wine Bar ซึ่งคอนเซ็ปของคำว่าถ้ำ ได้ถูกสะท้อนผ่านที่ตั้งของห้องอาหาร ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินของโรงแรมฯ
ห้องนี้จะแอร์เย็นมาก ให้ความรู้สึกเหมือนว่าอยู่ในถ้ำอะไรประมาณนั้น โทนสีน้ำตาลของไม้และหนังที่ใช้ตกแต่ง รวมถึงผนังอิฐและห้องเก็บไวน์ก็ทำให้ได้บรรยากาศแบบเก๋ ๆ คลาสสิค ๆ ดี แต่ถ้าทุกอย่างเป็นถ้ำไปซะหมด เราก็คงกินอาหารกันลำบาก ก็เลยสอดแทรกความหรูหราทันสมัย และความสะดวกสบายกึ่ง ๆ Loft เข้ามาไว้ใน Grotto แห่งนี้ด้วย
Grotto เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 16.00 – 01.00 น. ลูกค้าสามารถเข้ามาจิบไวน์ หรือเลือกไวน์จากทั่วทุกมุมโลกกว่า 100 รายการที่อยู่ใน wine cellar ก่อน แล้วค่อยสั่งอาหารจานหลักมากินก็ได้ ในคืนวันพฤหัส ศุกร์ เสาร์ ก็จะมีดนตรีสดเล่นด้วย ก็น่าจะเพลิดเพลินกันไป
ที่นั่งที่ Grotto มีทั้งหมด 80 ที่นั่ง มีโซนสูบบุหรี่ข้างนอก มีห้องส่วนตัวที่รับได้ประมาณ 12 คน มีค่าใช้จ่ายสำหรับการเหมาห้อง VIP แต่ต้องลองคุยกับทางห้องอาหารดู เพราะถ้ากินอาหารจนถึงยอดที่เค้ากำหนดไว้ก็อาจไม่ต้องเสียค่าห้องก็ได้
เข้าสู่เมนูอาหารของ Grotto กันเลย อย่างที่เกริ่นไปว่า Grotto ให้บริการอาหารเมดิเตอร์เรเนียนฟิวชั่น ตัวผมเองก็นึกหน้าตาอาหารไปไกลเลย แต่พอได้เห็นอาหารแล้ว หน้าตาก็จะคล้ายอาหารอิตาเลี่ยนที่เรารู้จักนี่แหล่ะ แต่อาจจะมีการผสมผสานกับสัญชาติอื่น ๆ บ้าง เพียงแต่ใช้วัตถุดิบเป็นพวกอาหารทะเล ผนวกกับการนำเสนอที่ดูดี ดูทันสมัยหน่อย เท่านั้นเอง ไปดูกันเลยว่าอาหารวันนี้มีเมนูอะไรบ้าง
เริ่มจาก Complementary
Complementary ประกอบด้วย 2 อย่าง คือ Appetizer และ ขนมปัง ซึ่งจาน Appetizer ก็จะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป แล้วแต่วันแล้วแต่วัตถุดิบ แต่วันที่ผมได้มาลอง เป็นเนื้อปลานึ่งราดซอส Honey Mustard เสิร์ฟกับ White Asparagus
American Dive Scallop Carpaccio – 400++ THB
เมนูแรก เปิดกันด้วยวัตถุดิบหลักอย่างหอยเชลล์จากอเมริกาที่แล่บางวางแผ่ลงในจานแล้วราดด้วย ซอสที่รสคล้ายน้ำจิ้มซีฟู๊ดแซ่บ ๆ ถามว่าอร่อยมั๊ย โดยรวมแล้วอร่อยดี แต่การใช้เนื้อหอยเชลล์ที่ดูจะคัดสรรมาพิเศษ แต่กลับกินกับน้ำจิ้มรสแซ่บขนาดนี้ ดูจะทำให้การได้รสสัมผัสของหอยเชลล์สด ๆ หวาน ๆ หายไปเลย น่าเสียดาย และก็เป็นการลำดับอาหารที่ดูขัดเล็กน้อยเพราะเป็นอาหารที่รสจัดจ้านมากสำหรับเมนูเปิดมื้ออาหารแบบนี้
Lobster Bisque and Cognac – 320++ THB (แนะนำให้ลอง)
จานนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ได้เห็นความแน่นความใหญ่ของกล้ามล็อบเตอร์กันแบบเน้น ๆ วางคู่กับครีมที่ตีฟองมาเป็นฟองแน่น ๆ เวลาจะกินก็เทซุปร้อน ๆ ที่อยู่ในกา ลงไปในถ้วย ก็จะได้ Lobster bisque ที่หน้าตาดีทีเดียว รสชาติดีไม่เค็มเกินไปแต่กลับกลมกล่อมและได้กลิ่นของเปลือกและมันของล็อบเตอร์อย่างชัดเจน
ความข้นของซุปถ้วยนี้ก็ทำออกมาได้ดีมาก ทำให้เวลาตักเข้าปากไป เราจะรับรู้ถึงกลิ่นและรสที่อบอวลอยู่ภายในปากได้นานและชัดเจนกว่าซุปที่ค่อนข้างใสกว่านี้ อร่อยฟินไปเลย
Tartar of belly salmon and Japanese Tuna – 285++ THB
จานนี้ตกแต่งมาสวยงามมาก คะแนนการตกแต่งให้เต็ม 10 ไปเลย ในเรื่องรสชาติก็ใช้ได้ เป็นเมนูดิบที่รสไม่จัดมากนัก จะมีกลิ่นหอมของส่วนผสมบางอย่าง ไม่แน่ใจว่าเป็นพวกพริกและสมุนไพรหรือเปล่า ที่ทำให้รู้สึกสดชื่น และโล่งจมูก ติดอยู่ที่ปลายจมูกเวลาเรากิน เป็นกลิ่นเบา ๆ ก็แปลกดีครับ
เนื้อปลาที่ใช้ก็เป็นแซลมอนและทูน่าดิบมาหั่นเป็นเต๋า ความสดกลาง ๆ และจากชื่อเมนูบอกว่าเป็นท้องปลาแซลมอน แต่ที่ผมได้กินน่าจะเป็นแค่เนื้อแซลมอนธรรมดาเพราะความมันยังไม่ได้
Canadian Lobster spaghetti with chili garlic and white wine – 1,200++ THB (แนะนำให้ลอง)
เป็นเมนูที่ดูอลังการอีกเมนูนึงเลย ซึ่งรสชาติก็เป็นอะไรที่ไปด้วยกันกับหน้าตา เรียกได้ว่าสวยทั้งรูปจูบก็หอม เพราะเมื่อได้ลองกิน ทั้งส่วนของเส้นสปาเก็ตตี้และเนื้อของล็อบเตอร์ก็อร่อยและเข้ากันได้ดีมาก
เส้นมีความนุ่มกำลังดี ผัดได้รสชาติดี ไม่จืดชืด กินกับเนื้อล็อบเตอร์ที่สดเด้ง และข้างในก็มีไข่กุ้งและมันกุ้งมาแน่นเต็มเปลือกเลย เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู แต่รับรองว่าถ้าได้ลองน่าจะชอบกันครับ แม้ราคาสูงหน่อยแต่รสชาติและความสดที่ได้รับ ผมว่าคุ้มค่าครับ
Pan seared Scottish Salmon with native clam and chorizo sausage, Beurre blanc sauce – 550++ THB
จานนี้เป็นอีกเมนูที่ผมว่าเค้าปรุงเนื้อปลาแซลมอนมาได้กำลังดีมาก ๆ ไม่แห้งจนเกินไป แต่กลับได้หนังปลาที่กรอบและเนื้อที่ค่อนข้างชุ่มฉ่ำ วางบนมันบดเนื้อเนียนละเอียด แล้วจึงราดด้วยซอสที่ปรุงจากการนำหอยตลับไปผัดกับไส้กรอกอิตาเลี่ยนและไวน์ขาว และก็ตกแต่งด้วยผักอีกเล็กน้อย รสชาติกลาง ๆ ซึ่งถ้าเทียบกับราคายังดูไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ น่าจะทำได้ว้าวกว่านี้
Foie gras & Truffle Risotto – 395++ THB (แนะนำให้ลอง)
น่าจะเป็นจานที่ดูเป็นอิตาเลี่ยนมาก ๆ ลองจากสปาเก็ตตี้ล็อบเตอร์ที่ได้กินไปก่อนหน้านี้ เพราะเป็นเมนูรีซอตโต้ ที่ทำข้าวออกมาได้นุ่มถึงเครื่องถึงครีมดี ข้าวสุกกำลังดี ไม่แข็งหรือไม่แฉะจนเกินไป มีรสชาติที่เข้มข้น ได้กลิ่นชีสและน้ำมันทรัฟเฟิลที่ชัดเจน
เมนูนี้ต้องรีบกินหน่อย เพราะถ้าปล่อยไว้นานชีสจะเริ่มตืนตัวแล้วมันจะเกาะกันเป็นก้อน ตักรีซอตโต้กินกับฟัวกราส์เพิ่มความหอมมัน และได้ความเค็มเพิ่มขึ้นเมื่อกินกับเป็ดรมควัน เป็นอีกจานที่ทำได้ดีจนประทับใจครับ และราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับวัตถุดิบที่นำมาใช้
Triple rack of Lamb with herb sauce, onion cream, red cabbage – 790++ THB (แนะนำให้ลอง)
รอมานานสำหรับอะไรที่เป็นเนื้อ ๆ และสุดท้ายก็มา สำหรับเมนูซี่โครงแกะ ที่ตกแต่งมาได้ไม่เหมือนที่อื่นการจัดจานให้ใจไปเลยครับ ดูดีมีเอกลักษณ์ และมีความหลากหลายในจาน รวมถึงมีผักต่าง ๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าโภชนาการครบครันเลย
ความสุกของแกะก็กำลังดี เนื้อสีชมพูละเลื่อ มีมันติดตรงกระดูกเล็กน้อย เนื้อนุ่มฉ่ำมาก ไม่เหนียวและไม่มีกลิ่นเลย น้ำเกรวี่ที่ราดมาก็เข้มข้นกลมกล่อม กินด้วยกันกับมันบดและกะหล่ำม่วงผัดก็อร่อยมาก อร่อยแบบปาดน้ำปาดมันบดกันจนเกลี้ยงครับ
[SR] Grotto ห้องอาหารเปิดใหม่ของโรงแรม เดอะ แกรนด์ โฟร์วิงส์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
วันนี้จะมารีวิวร้าน Grotto(กร็อตโต้) ซึ่งชื่อเต็มค่อนข้างยาว คือ Grotto Restaurant Champagne and Wine Bar ของโรงแรมเดอะ แกรนด์ โฟร์วิงส์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ บนถนนศรีนครินทร์ ซึ่งในรีวิวนี้จะขอเรียกสั้น ๆ ว่า Grotto แล้วกันนะครับ
Grotto เป็นห้องอาหารที่ ถ้าให้เทียบกับห้องอาหารอื่น ๆ ของโรงแรม ดูเป็นห้องอาหารที่ผมว่า หรูหรา สวย สบาย และเก๋ที่สุดในทุกห้องของโรงแรมเลย และผมว่าแรกเห็นการตกแต่งของห้องอาหารนี้น่าประทับใจมาก ตอนแรกเห็นชื่อก็เดาว่าน่าจะเป็นห้องอาหารอิตาเลี่ยน แต่จริง ๆ แล้ว Grotto ให้บริการอาหารสไตล์ โมเดิร์นเมดิเตอร์เรเนียนฟิวชั่น แค่ฟังสไตล์อาหารก็ยากแล้ว นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นยังไง เดี๋ยวก็ลองดูหน้าตาอาหารในรีวิวนี้เอาแล้วกันครับ
เริ่มจาก Complementary
Complementary ประกอบด้วย 2 อย่าง คือ Appetizer และ ขนมปัง ซึ่งจาน Appetizer ก็จะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป แล้วแต่วันแล้วแต่วัตถุดิบ แต่วันที่ผมได้มาลอง เป็นเนื้อปลานึ่งราดซอส Honey Mustard เสิร์ฟกับ White Asparagus
เนื้อสัมผัสและรสชาติเฉย ๆ แต่ซอสอร่อยดีนะ ช่วยชูรสชาติของปลานึ่งจานนี้และเพิ่มความสดชื่นให้กับเมนูนี้ได้ดีเลย
จานนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ได้เห็นความแน่นความใหญ่ของกล้ามล็อบเตอร์กันแบบเน้น ๆ วางคู่กับครีมที่ตีฟองมาเป็นฟองแน่น ๆ เวลาจะกินก็เทซุปร้อน ๆ ที่อยู่ในกา ลงไปในถ้วย ก็จะได้ Lobster bisque ที่หน้าตาดีทีเดียว รสชาติดีไม่เค็มเกินไปแต่กลับกลมกล่อมและได้กลิ่นของเปลือกและมันของล็อบเตอร์อย่างชัดเจน
เนื้อปลาที่ใช้ก็เป็นแซลมอนและทูน่าดิบมาหั่นเป็นเต๋า ความสดกลาง ๆ และจากชื่อเมนูบอกว่าเป็นท้องปลาแซลมอน แต่ที่ผมได้กินน่าจะเป็นแค่เนื้อแซลมอนธรรมดาเพราะความมันยังไม่ได้
เส้นมีความนุ่มกำลังดี ผัดได้รสชาติดี ไม่จืดชืด กินกับเนื้อล็อบเตอร์ที่สดเด้ง และข้างในก็มีไข่กุ้งและมันกุ้งมาแน่นเต็มเปลือกเลย เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู แต่รับรองว่าถ้าได้ลองน่าจะชอบกันครับ แม้ราคาสูงหน่อยแต่รสชาติและความสดที่ได้รับ ผมว่าคุ้มค่าครับ
เมนูนี้ต้องรีบกินหน่อย เพราะถ้าปล่อยไว้นานชีสจะเริ่มตืนตัวแล้วมันจะเกาะกันเป็นก้อน ตักรีซอตโต้กินกับฟัวกราส์เพิ่มความหอมมัน และได้ความเค็มเพิ่มขึ้นเมื่อกินกับเป็ดรมควัน เป็นอีกจานที่ทำได้ดีจนประทับใจครับ และราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับวัตถุดิบที่นำมาใช้
ความสุกของแกะก็กำลังดี เนื้อสีชมพูละเลื่อ มีมันติดตรงกระดูกเล็กน้อย เนื้อนุ่มฉ่ำมาก ไม่เหนียวและไม่มีกลิ่นเลย น้ำเกรวี่ที่ราดมาก็เข้มข้นกลมกล่อม กินด้วยกันกับมันบดและกะหล่ำม่วงผัดก็อร่อยมาก อร่อยแบบปาดน้ำปาดมันบดกันจนเกลี้ยงครับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น