เรื่องนี้หายไปประมาณสองชาติกว่าๆ ค่ะ ถ้าแก้วตากับพลรบลงเอยกันตอนนี้ลูกก็คงโตหมดแล้ว ก็เลยมาคิดได้ว่าลงให้จบเสียดีกว่า กะว่าจะลงเรื่องนี้สลับกับ จำหลักไว้ในสายลม นะคะ รู้สึกจะเป็นแผนที่ดีพอสมควร อิอิ
ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ จากบทก่อน
ขอบคุณ คุณ masked v, คุณ เจ้าหญิงงัวเงีย, น้องนุ้ย ณวลี ถูกใจ, คุณ ทบทวน จินตนา, คุณ CAN LIVE, คุณ เอ-เอก 65, คุณ ถวิลหาถนนสายฝัน, คุณ Susisiri, คุณ แอม วิเชียรฉาย, น้องปุ้ย อรุสา, คุณ Su_jeong ถูกใจ, คุณเสี่ย kasareev, คุณ คาโบนาร่าลาซาญญ่ามักกะโรนี, คุณนันท์ turtle_cheesecake, คุณ nasa nasa, คุณ หญิงคนรองแห่งบ้านทรายทอง กับอีก 7 คนที่ชื่อหายไป ขอบคุณนะคะ ขอบคุณนักอ่านเงาทุกคนด้วยค่ะ
ขอบคุณคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ
http://ppantip.com/topic/32705425
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/32747704
บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/32775622
บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/32798708
บทที่ ๔
http://ppantip.com/topic/32839123
บทที่ ๕
http://ppantip.com/topic/32895410
บทที่ ๖
http://ppantip.com/topic/32962172
บทที่ ๗
http://ppantip.com/topic/33348347
บทที่ ๘
http://ppantip.com/topic/33386316
บทที่ ๙
http://ppantip.com/topic/33473975
บทที่ ๑๐
http://ppantip.com/topic/33583297
บทที่ ๑๑
แก้วตาได้ยินเรื่องขบวนการใต้ดินอะไรบางอย่างมาสักพักแล้ว หากก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพราะคิดว่าใครกันจะกล้าต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นในสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งรัฐบาลไทยก็เข้าเป็นพันธมิตรกับฝ่ายญี่ปุ่นไปนานแล้ว มีการสาบานกันต่อหน้าพระแก้วเสียด้วยซ้ำ หากได้เห็นกับตาตัวเองว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้นเป็นความจริงก็คราวนี้เอง
“ตามสบายนะคะ เปลี่ยนเสื้อกันก่อนดีไหม เปียกๆ อย่างนี้ไม่ไหวแน่”
ทั้งสองคนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเพราะคงคาดไม่ถึงว่ายังมีคนตื่นอยู่ เธอจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบชวนอึดอัดนั้นขึ้นก่อน
เหลียวมองพลรบก็เห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นภาคภูมิใจอย่างไรชอบกล
“พลด้วย เปียกทั้งตัวเลย”
น้ำเสียงเป็นกันเองและแสดงความห่วงใยนั้นเรียกรอยยิ้มชวนมองจากน้องชายสามีได้ทันควัน
“ดีเหมือนกันครับพี่ เปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน คุณนิวัฒน์คงใส่เสื้อผมได้ พี่เอื้อ…ผมจะลองหาเสื้อกางเกงของพ่อดู”
คนที่ชื่อนิวัฒน์ซึ่งพลรบบอกว่าลอบเข้ามาจากเกาะลังกานั้นแก้วตากะประมาณอายุดูว่าคงรุ่นราวคราวเดียวกับเขา รูปร่างก็ไม่ต่างกันมากนัก อาจเตี้ยกว่าอยู่สักหน่อย และค่อนไปทางผอมบาง แต่คงพอใส่เสื้อกางเกงพลรบได้ ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้นหรอก ส่วนคนที่เขาเรียกพี่เอื้อรูปร่างท้วมกว่ามาก นั่นคงลำบากหน่อย
“เสื้อผ้าของเธออยู่ในห้องเก็บของ พี่ซักให้หมดแล้ว แห้งหมดแล้วด้วย แต่ยังไม่ได้แยกเลยว่ามีของใครบ้าง ของแม่กับไพลินแยกไปไว้ในห้องนอนแล้ว เธอไปค้นดูเถอะ แล้วนี่กินอะไรกันหรือยังคะ” ประโยคหลังหมายถึงผู้เป็น ‘แขก’
“อย่าต้องลำบากเลยคุณแก้ว ดึกมากแล้ว ลำบากคุณเปล่าๆ” พี่เอื้อเป็นคนตอบอย่างเกรงอกเกรงใจในเมื่อดูๆ คนหนุ่มกว่าจะไม่ช่างพูดช่างเจรจาเอาเสียเลย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หุงข้าวเตรียมไว้ให้พลแล้ว เพิ่มกับอะไรอีกสักอย่างก็คงกินกันได้นะคะ”
เหลือบมองคนที่พูดถึงก็พอดีสบนัยน์ตาอ่อนแสงลึกซึ้งที่ทอดมองมา
“ขอบใจนะแก้ว” เขากระซิบบอก แทบได้ยินกันเพียงสองคน “ว่าแต่แก้วจะลำบากต้องหุงข้าวอีกหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอกพล”
และเธอก็หมายความอย่างนั้นจริงๆ เมื่อรู้ว่าผู้ชายต่างวัยสองคนนี้คือใคร เลือดรักชาติของเธอจึงได้พลุ่งพล่านขึ้นมาบ้าง
ครัวมืดสนิทจึงต้องจุดตะเกียงขึ้นอีกดวง เป็นตะเกียงซึ่งมีกระดาษดำปิดไว้เกือบมิดชิดจนให้แสงเพียงสลัวราง
ติดเตาไฟและกำลังตั้งหน้าตั้งตากระพือพัดใบตาลจึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครตามเข้ามาด้วย จนร่างใหญ่โตมาหยุดยืนค้ำอยู่ทางด้านหลังแล้วดึงเอาพัดไปจากมือ
“ก็ไหนว่าหุงข้าวไว้แล้ว”
เสียงห้าวๆ นั้นอ่อนโยน ด้วยซาบซึ้งใจที่พี่สะใภ้รับสถานการณ์แปลกประหลาดนี้ได้ดี ไม่เอะอะโวยวาย ไม่ตีโพยตีพายเอากับเขาที่พาเอาความเดือดร้อนมาให้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังอดหลับอดนอนต้อนรับผู้มาเยือนยามวิกาลอย่างเต็มอกเต็มใจด้วยอีก
“หุงไว้นิดเดียว สามคนไม่พอหรอก”
เธอขยับถอยออกห่างทันควันเมื่อรู้สึกถึงไออุ่นจากกายเขา และสัมผัสจากเรือนร่างแข็งแกร่งทางด้านหลัง
เลี่ยงไปเสียที่หม้อข้าวซึ่งตวงข้าวใส่ไว้แล้ว พอชายตาดูก็เห็นว่าเขายังคงอยู่ในชุดเสื้อกางเกงเปียกจนโชกชุดเดิม
“ทำไมไม่เปลี่ยนเสื้อเสีย เธอเพิ่งฟื้นไข้นะพล” แก้วตาทำเสียงดุ “แผลที่หลังก็ยังไม่หายดีเลย”
“ถ้ารีบเปลี่ยนก็ไม่มีอะไรให้แก้วเป็นห่วงนะซี” เขาพึมพำกลั้วหัวเราะ
แก้วตาแสร้งไม่ได้ยินประโยคนั้น ใช้ขันตักน้ำใส่หม้อเพื่อซาวข้าวขึ้นตั้งไฟ
“แค่เปียกฝน จะเป็นไรไป ว่าแต่แก้วเถอะ ประตูกระแทกแรงเลยนะ เป็นไงบ้าง”
เขาตามมาแตะไหล่เธอให้หมุนตัวเข้าหาแสงไฟเพียงน้อยนิดที่มี หากความมืดทำให้บอกยากว่ามีร่องรอยอะไรหรือไม่
“เจ็บซ้ำๆ กันแบบนี้ไม่ดีเลย ตอนที่ผมพาแก้วไปโรงพยาบาลวันนั้นหมอบอกว่าแก้วอาจมีอาการหน้ามืด ตาพร่า ปวดหัวเป็นบางครั้ง แก้วเป็นอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า”
ไม่มีวันเสียล่ะที่แก้วตาจะบอกว่ามีอาการเหล่านั้นจริงๆ พลรบมีภาระมากมายพออยู่แล้ว ทั้งครอบครัวของเขา แม้จะมีเหลือแต่แม่ น้องสาว…และเธอ ทั้งงานของเขาก็อีก ความเจ็บป่วยของเธอจึงไม่สลักสำคัญแต่อย่างใด
จึงได้บอกปัดไปเสีย
“พี่ไม่เป็นไร ว่าแต่หาเสื้อผ้าใหม่ให้คุณเอื้อกับคุณนิวัฒน์ได้หรือเปล่า ตอนที่พี่ซักผ้า ไม่เห็นเสื้อกางเกงของพ่อเลยสักตัว” แก้วตาเรียกบิดาสามีซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้วว่าพ่อได้อย่างสนิทปากมาแต่ไหนแต่ไร
“ผมให้ผ้าขาวม้าพี่เอื้อใช้ไปก่อน เสื้อกับกางเกงของแกตากไว้ พรุ่งนี้น่าจะแห้ง”
ไฟในเตาลุกพรึ่บด้วยแรงพัดของชายหนุ่ม และแก้วตาก็ยกหม้อซึ่งซาวข้าวสารเรียบร้อยขึ้นตั้ง
“ไม่แห้งหรอก พี่รีดให้ดีกว่า จะได้แห้งเร็วขึ้น ของคุณนิวัฒน์ด้วย”
“แก้วก็เลยไม่ต้องนอนกัน”
“ช่างเถอะเรื่องนั้น แล้วคุณนิวัฒน์ล่ะ”
“คุณนิวัฒน์พอใส่เสื้อกางเกงผมได้”
เพียงเธอ (บทที่ ๑๑)
ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ จากบทก่อน
ขอบคุณ คุณ masked v, คุณ เจ้าหญิงงัวเงีย, น้องนุ้ย ณวลี ถูกใจ, คุณ ทบทวน จินตนา, คุณ CAN LIVE, คุณ เอ-เอก 65, คุณ ถวิลหาถนนสายฝัน, คุณ Susisiri, คุณ แอม วิเชียรฉาย, น้องปุ้ย อรุสา, คุณ Su_jeong ถูกใจ, คุณเสี่ย kasareev, คุณ คาโบนาร่าลาซาญญ่ามักกะโรนี, คุณนันท์ turtle_cheesecake, คุณ nasa nasa, คุณ หญิงคนรองแห่งบ้านทรายทอง กับอีก 7 คนที่ชื่อหายไป ขอบคุณนะคะ ขอบคุณนักอ่านเงาทุกคนด้วยค่ะ
ขอบคุณคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ http://ppantip.com/topic/32705425
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/32747704
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/32775622
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/32798708
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/32839123
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/32895410
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/32962172
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/33348347
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/33386316
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/33473975
บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/33583297
แก้วตาได้ยินเรื่องขบวนการใต้ดินอะไรบางอย่างมาสักพักแล้ว หากก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพราะคิดว่าใครกันจะกล้าต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นในสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งรัฐบาลไทยก็เข้าเป็นพันธมิตรกับฝ่ายญี่ปุ่นไปนานแล้ว มีการสาบานกันต่อหน้าพระแก้วเสียด้วยซ้ำ หากได้เห็นกับตาตัวเองว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้นเป็นความจริงก็คราวนี้เอง
“ตามสบายนะคะ เปลี่ยนเสื้อกันก่อนดีไหม เปียกๆ อย่างนี้ไม่ไหวแน่”
ทั้งสองคนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเพราะคงคาดไม่ถึงว่ายังมีคนตื่นอยู่ เธอจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบชวนอึดอัดนั้นขึ้นก่อน
เหลียวมองพลรบก็เห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นภาคภูมิใจอย่างไรชอบกล
“พลด้วย เปียกทั้งตัวเลย”
น้ำเสียงเป็นกันเองและแสดงความห่วงใยนั้นเรียกรอยยิ้มชวนมองจากน้องชายสามีได้ทันควัน
“ดีเหมือนกันครับพี่ เปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน คุณนิวัฒน์คงใส่เสื้อผมได้ พี่เอื้อ…ผมจะลองหาเสื้อกางเกงของพ่อดู”
คนที่ชื่อนิวัฒน์ซึ่งพลรบบอกว่าลอบเข้ามาจากเกาะลังกานั้นแก้วตากะประมาณอายุดูว่าคงรุ่นราวคราวเดียวกับเขา รูปร่างก็ไม่ต่างกันมากนัก อาจเตี้ยกว่าอยู่สักหน่อย และค่อนไปทางผอมบาง แต่คงพอใส่เสื้อกางเกงพลรบได้ ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้นหรอก ส่วนคนที่เขาเรียกพี่เอื้อรูปร่างท้วมกว่ามาก นั่นคงลำบากหน่อย
“เสื้อผ้าของเธออยู่ในห้องเก็บของ พี่ซักให้หมดแล้ว แห้งหมดแล้วด้วย แต่ยังไม่ได้แยกเลยว่ามีของใครบ้าง ของแม่กับไพลินแยกไปไว้ในห้องนอนแล้ว เธอไปค้นดูเถอะ แล้วนี่กินอะไรกันหรือยังคะ” ประโยคหลังหมายถึงผู้เป็น ‘แขก’
“อย่าต้องลำบากเลยคุณแก้ว ดึกมากแล้ว ลำบากคุณเปล่าๆ” พี่เอื้อเป็นคนตอบอย่างเกรงอกเกรงใจในเมื่อดูๆ คนหนุ่มกว่าจะไม่ช่างพูดช่างเจรจาเอาเสียเลย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หุงข้าวเตรียมไว้ให้พลแล้ว เพิ่มกับอะไรอีกสักอย่างก็คงกินกันได้นะคะ”
เหลือบมองคนที่พูดถึงก็พอดีสบนัยน์ตาอ่อนแสงลึกซึ้งที่ทอดมองมา
“ขอบใจนะแก้ว” เขากระซิบบอก แทบได้ยินกันเพียงสองคน “ว่าแต่แก้วจะลำบากต้องหุงข้าวอีกหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอกพล”
และเธอก็หมายความอย่างนั้นจริงๆ เมื่อรู้ว่าผู้ชายต่างวัยสองคนนี้คือใคร เลือดรักชาติของเธอจึงได้พลุ่งพล่านขึ้นมาบ้าง
ครัวมืดสนิทจึงต้องจุดตะเกียงขึ้นอีกดวง เป็นตะเกียงซึ่งมีกระดาษดำปิดไว้เกือบมิดชิดจนให้แสงเพียงสลัวราง
ติดเตาไฟและกำลังตั้งหน้าตั้งตากระพือพัดใบตาลจึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครตามเข้ามาด้วย จนร่างใหญ่โตมาหยุดยืนค้ำอยู่ทางด้านหลังแล้วดึงเอาพัดไปจากมือ
“ก็ไหนว่าหุงข้าวไว้แล้ว”
เสียงห้าวๆ นั้นอ่อนโยน ด้วยซาบซึ้งใจที่พี่สะใภ้รับสถานการณ์แปลกประหลาดนี้ได้ดี ไม่เอะอะโวยวาย ไม่ตีโพยตีพายเอากับเขาที่พาเอาความเดือดร้อนมาให้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังอดหลับอดนอนต้อนรับผู้มาเยือนยามวิกาลอย่างเต็มอกเต็มใจด้วยอีก
“หุงไว้นิดเดียว สามคนไม่พอหรอก”
เธอขยับถอยออกห่างทันควันเมื่อรู้สึกถึงไออุ่นจากกายเขา และสัมผัสจากเรือนร่างแข็งแกร่งทางด้านหลัง
เลี่ยงไปเสียที่หม้อข้าวซึ่งตวงข้าวใส่ไว้แล้ว พอชายตาดูก็เห็นว่าเขายังคงอยู่ในชุดเสื้อกางเกงเปียกจนโชกชุดเดิม
“ทำไมไม่เปลี่ยนเสื้อเสีย เธอเพิ่งฟื้นไข้นะพล” แก้วตาทำเสียงดุ “แผลที่หลังก็ยังไม่หายดีเลย”
“ถ้ารีบเปลี่ยนก็ไม่มีอะไรให้แก้วเป็นห่วงนะซี” เขาพึมพำกลั้วหัวเราะ
แก้วตาแสร้งไม่ได้ยินประโยคนั้น ใช้ขันตักน้ำใส่หม้อเพื่อซาวข้าวขึ้นตั้งไฟ
“แค่เปียกฝน จะเป็นไรไป ว่าแต่แก้วเถอะ ประตูกระแทกแรงเลยนะ เป็นไงบ้าง”
เขาตามมาแตะไหล่เธอให้หมุนตัวเข้าหาแสงไฟเพียงน้อยนิดที่มี หากความมืดทำให้บอกยากว่ามีร่องรอยอะไรหรือไม่
“เจ็บซ้ำๆ กันแบบนี้ไม่ดีเลย ตอนที่ผมพาแก้วไปโรงพยาบาลวันนั้นหมอบอกว่าแก้วอาจมีอาการหน้ามืด ตาพร่า ปวดหัวเป็นบางครั้ง แก้วเป็นอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า”
ไม่มีวันเสียล่ะที่แก้วตาจะบอกว่ามีอาการเหล่านั้นจริงๆ พลรบมีภาระมากมายพออยู่แล้ว ทั้งครอบครัวของเขา แม้จะมีเหลือแต่แม่ น้องสาว…และเธอ ทั้งงานของเขาก็อีก ความเจ็บป่วยของเธอจึงไม่สลักสำคัญแต่อย่างใด
จึงได้บอกปัดไปเสีย
“พี่ไม่เป็นไร ว่าแต่หาเสื้อผ้าใหม่ให้คุณเอื้อกับคุณนิวัฒน์ได้หรือเปล่า ตอนที่พี่ซักผ้า ไม่เห็นเสื้อกางเกงของพ่อเลยสักตัว” แก้วตาเรียกบิดาสามีซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้วว่าพ่อได้อย่างสนิทปากมาแต่ไหนแต่ไร
“ผมให้ผ้าขาวม้าพี่เอื้อใช้ไปก่อน เสื้อกับกางเกงของแกตากไว้ พรุ่งนี้น่าจะแห้ง”
ไฟในเตาลุกพรึ่บด้วยแรงพัดของชายหนุ่ม และแก้วตาก็ยกหม้อซึ่งซาวข้าวสารเรียบร้อยขึ้นตั้ง
“ไม่แห้งหรอก พี่รีดให้ดีกว่า จะได้แห้งเร็วขึ้น ของคุณนิวัฒน์ด้วย”
“แก้วก็เลยไม่ต้องนอนกัน”
“ช่างเถอะเรื่องนั้น แล้วคุณนิวัฒน์ล่ะ”
“คุณนิวัฒน์พอใส่เสื้อกางเกงผมได้”