เพียงเธอ (บทที่ ๖)

กระทู้สนทนา
ขอบคุณทุกๆ คนที่มาอ่านนะคะ

ขอบคุณ:

น้องนุ้ย ณวลี,
คุณ Hermosa,
คุณ ravio,
คุณนุ่น lovereason,
คุณ คาโบนาร่าลาซาญญ่ามักกะโรนี
น้อง มาโซคิส,
คุณหอมมาก,
จารย์จี GTW,
คุณริมแม่โขง,
คุณ PURINWASA,
คุณเสี่ย kasareev
คุณ Tangtatouille,
คุณ ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค,
คุณ กุเต่ยโหดกระถีบ,
คุณนัน turtle_cheesecake
น้องแพรว thezircon
น้องปุ้ย อรุสา
คุณ Susisiri
คุณป้าทุยบ้านทุ่ง
ุคุณ กลิ่นลั่นทม
คุณ nasa nasa
คุณหมูครับ
รวมถึงอีก 15 คน ซึ่งชื่อหายไปแล้วค่ะ ใครก็ไม่ทราบ ขอบคุณนะคะ

ตกหล่นชื่อของใครต้องขอโทษด้วยค่ะ ชื่อหายไปหลายคนมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ


บทก่อนๆ ค่ะ
บทนำ http://ppantip.com/topic/32705425
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/32747704
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/32775622
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/32798708
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/32839123
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/32895410


บทที่ ๖


    
“แก้ว”

แก้วตาจำเสียงนั้นได้ดี และเพียงหันไปดูเขาก็มาถึงตัว

“พี่เรวัต”

เธอประนมมือขึ้นไหว้ตามความเคยชิน คิดว่าเขาออกเวรกลับบ้านไปแล้วเสียอีก

“มารับยาหรือ”

“ค่ะพี่”

“เป็นอย่างไรบ้างแล้วตอนนี้”

เธอรู้ว่าเขาหมายถึงไพลิน น้องสาวคนเล็กของพี่เพชรมีอาการของไข้จับสั่น และเธอก็เป็นคนพามาให้พี่เรวัตตรวจเมื่อวันก่อน เขาให้ยาไปหลายขนาน ที่สำคัญคืออาเบตรินซึ่งใช้รักษาโรคมาเลเรียโดยตรงนั้นเวลานี้เริ่มขาดแคลนและหาซื้อจากที่ไหนไม่ได้เลย

“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”

“กินยาครบคราวนี้ก็น่าจะหายขาด”

นิ้วเรียวดุนกรอบแว่นตาให้เข้าที่ตามความเคยชิน ก่อนแตะแขนหญิงสาวให้หลบเตียงคนไข้ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเข็นมาตามช่องทางเดินเชื่อมต่อระหว่างอาคารหลักหลังนี้กับหลังเล็กกว่าซึ่งอยู่ทางด้านหลัง

“ค่ะพี่ แต่คนที่บ้าน…” เป็นครั้งแรกที่เอ่ยชื่อพลรบได้ลำบากยากยิ่ง ราวมีอะไรในใจให้ต้องปิดบัง

“…คนที่บ้านเจ็บค่ะพี่”

และเขาก็เดาได้ในทันที

“ถูกสะเก็ดระเบิดเมื่อวานใช่ไหม”

ที่จริงเมื่อเช้าวันวานเขาเองก็มาวนเวียนอยู่แถวนี้เพราะรู้ว่าถึงกำหนดนัดให้เธอมารับยาแล้ว เฝ้ารอจนมีเสียงสัญญาณเตือนภัยก็ยิ่งเป็นห่วง แต่จะตามไปดูถึงบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยก็ไม่กล้าอีกเหมือนกัน

“ค่ะ”

“แล้วเธอล่ะแก้วตา เป็นอะไรหรือเปล่า”

นัยน์ตาอ่อนโยนกวาดไปทั่วเรือนร่างบอบบางในชุดกระโปรงดำคลุมเข่า เสื้อผ้าลูกไม้สีขาวนวล โล่งใจที่ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ

“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” แน่ล่ะ ก็ในเมื่อพลรบใช้ทั้งร่างใหญ่โตของเขาบดบังเธอไว้ได้มิดชิดขนาดนั้น

“เมื่อวานมีคนเจ็บเพราะระเบิดมาหลายคน แล้วทำไมไม่พามาที่นี่ เจ็บมากหรือเปล่า พี่จะไปดูให้”

แก้วตาร้องห้ามเสียงหลง ถ้าพี่เรวัตเห็นว่าใครอยู่ที่ร้านเวลานี้แล้วจะคิดอย่างไร เท่าที่ไปเห็นผู้หญิงซึ่งว่าไปแล้วก็คงเรียกได้ว่าเป็นเมียน้อยของพี่เพชรเข้าเมื่อเดือนก่อนโน้นก็น่าอับอายพออยู่แล้ว

“คงไม่เป็นไรแล้วกระมังคะ ทำแผลให้แล้ว เมื่อเช้าก็ยังยกจักรเย็บผ้าได้เลย เพียงแต่ตอนนี้ที่บ้านไม่มีผ้าพันแผลกับยาทิงเจอร์เหลืออยู่เลย เมื่อตะกี้ไปขอที่ห้องยาเขาบอกว่าให้ไปไม่ได้ ต้องพาคนไข้มาทำแผลที่นี่”

ที่จริงเธอเองก็รู้ว่าทำไม ผ้าพันแผล พลาสเตอร์ปิดแผล สำลี และยาแทบจะทุกประเภทที่ส่งเข้ามาจากต่างประเทศนั้นหายากขึ้นทุกวัน โรงพยาบาลคงต้องสงวนไว้สำหรับคนเจ็บคนไข้ทั่วไปมากกว่าจะให้ใครไปเพื่อคนเพียงคนเดียว

“ถ้าอย่างนั้นพี่จะไปขอมาให้ เธอคอยอยู่ที่นี่แหละ”

พี่เรวัตเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร นับแต่เป็นเด็กที่เติบโตมาด้วยกันก็ว่าได้ที่เขาทำในสิ่งซึ่งเธอต้องการให้โดยไม่ได้ขอร้องเสียด้วยซ้ำ

มองตามหลังร่างสูงเพรียววิ่งกลับขึ้นบันไดแล้วหายลับเข้าไปในตัวอาคาร เพียงไม่นานก็กลับออกมาพร้อมด้วยถุงกระดาษใบใหญ่

แต่เขาไม่ส่งให้เธอในทันที และแก้วตาก็เข้าใจว่าทำไมเมื่อเขาถาม

“นี่เธอมาอย่างไร แถวร้านของเธอน้ำคงท่วมแล้วกระมัง”

ทำไมเขาจะไม่รู้ในเมื่อระยะหลังนี้ขับรถอ้อมผ่านไปทางนั้นแทบจะทุกเช้าหลังออกเวร

“มารถรางค่ะ”

“แถวนั้นน้ำคงสูงกว่าที่นี่” เขาเดาต่อไปอีก ยังคงอยากชวนคุยในเมื่อโอกาสได้พบกันนั้นมีน้อยนัก

“ค่ะ ตั้งแต่เมื่อคืนก็ท่วมเข้าไปในร้านแล้วค่ะ”

บริเวณภายในอาณาเขตของโรงพยาบาลแห่งนี้สูงกว่าพื้นถนนภายนอก จึงไม่มีร่องรอยของน้ำให้เห็น ส่วนหน้าโรงพยาบาลมีท่วมบ้าง แต่ก็เพียงปริ่มๆ เมื่อเทียบกับที่ร้านของเธอ

“พี่ผ่านไปทางนั้นแล้วส่งเธอลงดีกว่า” เขาเสนอ

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกรงใจพี่เรวัต คนละทางกับบ้านพี่เลยนะคะ รถรางยังวิ่งอยู่ค่ะพี่” เธอปฏิเสธอย่างถนอมน้ำใจเขาที่สุด

หมดเรื่องพูด นายแพทย์หนุ่มก้มหน้าดูพื้นแล้วตัดสินใจโพล่งสิ่งซึ่งตั้งใจว่าจะแวะไปบอกได้สักพักหนึ่งแล้ว

”แก้ว…คุณลุงป่วย”

นัยน์ตาจรัสแสงจนส่งประกายเบิกกว้าง คาดไม่ถึง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ไปเยี่ยมผู้เป็นบิดา ความรู้สึกผิดที่ ‘หนีตามผู้ชาย’ นั้นกัดกร่อนความรู้สึกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนไม่กล้าเผชิญหน้าผู้ให้กำเนิดและพี่ชายของตัวเอง มีก็เพียงพี่สาวเท่านั้นที่ไปมาหาสู่กันบ้างนานๆ ครั้ง พี่สาวเธอเป็นคนเดียวในครอบครัวที่เข้าใจการตัดสินใจของเธอ ส่วนพี่ชายก็เพิ่งปีหลังๆ นี่หรอกที่ยอมญาติดีด้วย

“คุณพ่อเป็นอะไรคะ”

“ท่านปอดบวม มีอาการมาหลายวันแล้ว ที่พี่ห่วงก็ตรงที่ท่านอายุมากแล้ว ระยะหลังๆ มานี่ก็ไม่ค่อยแข็งแรง ยิ่งตอนนี้น้ำท่วมยิ่งน่าห่วง คุณหลวงก็เลยแนะนำว่าควรพาท่านไปอยู่ที่นครชัยศรีสักพัก ท่านป่วยอย่างนั้นจะให้วิ่งหนีระเบิดทุกคืนเหมือนคนดีๆ ได้อย่างไร”

นครชัยศรีเป็นบ้านเกิดของคุณพ่อ ท่านยังคงมีญาติอยู่ที่นั่นหลายคน ส่วนคุณหลวงที่พี่เรวัตเอ่ยถึงคือพี่เขยของเธอเอง พี่เรวัตสนิทกับทุกคนในครอบครัวเธอเพราะรั้วบ้านติดกันและเห็นกันมานานหลายปี เขาเรียกพี่ชายของเธอว่าพี่ไกร เรียกหลวงอนุรักษ์ปรีชา พี่เขยของเธอว่าคุณหลวง

“นั่นสิคะ”

สำนึกผิดเมื่อรู้ตัวว่าไม่ได้เหลียวแลบิดาผู้บังเกิดเกล้าเท่าที่ควร แทบไม่รู้ความเป็นไปของคนทางบ้านเสียด้วยซ้ำ

“จะไปกันเมื่อไรคะ”

“คงไม่นานนี้แหละ พี่ไกรกำลังจัดการเรื่องบ้านเช่า เห็นว่าจะไปเช่าบ้านอยู่จนสงครามเลิก พี่ได้ยินคุณลุงเปรยๆ ว่าอยากพบแก้ว อยากให้แก้วไปด้วย”

ประโยคหลังนั่นเองที่เรียกรอยรื้นในดวงตาหวานวับให้เอ่อท้นรวดเร็ว และเสียงถามก็เริ่มสั่นเครือ

“จะไปกันทั้งบ้านหรือเปล่าคะ”

“พี่ไกรกับคุณหลวงยังต้องอยู่พระนครเพราะต้องทำงาน”

แก้วตาว้าวุ่นใจ เธอควรไปเยี่ยมคุณพ่อใช่ไหม แต่ก็ยังไม่กล้าอยู่ดีจนแล้วจนรอด จนพี่เรวัตขยับตัวอึกๆ อักๆ เป็นอากัปกริยาปกติที่เธอเห็นบ่อยจนคุ้นตาและเข้าใจความหมาย เขากำลังจะแนะนำอะไรบางอย่าง และคงกำลังพยายามเรียบเรียงคำพูดอย่างดีที่สุด

“พี่คิดว่าแก้วควรไปดูท่าน อย่างน้อยก็ก่อนท่านจะไปหัวเมือง”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่