กลร้าย อุบัติรัก บทที่ 11
เขียน... ขอจันทร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/34058785
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/34061303
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/34064438
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/34066898
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/34400930
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/34409252
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/34411483
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/35236917
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/35242366
บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/35249691
หลังจากจากที่ได้ฟังคำอธิบายจากหัวหน้าคนงานและผู้จัดการหนุ่ม แถมยังเจอฤทธิ์เดช ก็ดูเหมือนทุกคนจะเกรงนายสาวมากขึ้น เพราะนิสัยเกิดไม่หวานเหมือนหน้าอย่างที่คิด แกนนำเองก็โดนกักเป็นตัวประกันไป ก็เกิดความระส่ำระสาย ยิ่งได้ยินชื่อนายเขมมาขู่ เหล่าม็อบที่เคยฮึกเหิมเลยแตกกระสายกันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างรวดเร็ว
“โธ่ นึกว่าจะแย่ซะแล้วนะครับเนี่ย” พีรวิทย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
“พวกนี้มันคงอาศัยว่านายเขมไม่อยู่ แต่หารู้ไม่ว่านายหญิงของเราก็ไม่ใช่จะมาเคี้ยวได้ง่ายๆ” กำปอเอ่ยแซว รู้สึกนิยมชื่นชมในตัวหญิงสาวผู้ที่เรียกว่าเป็นนายหญิงได้อย่างเต็มปาก
“นายหญิงเลยหรอ” มุกรียิ้มขำ ไม่ได้คิดอะไรมาก “เดี๋ยวฉันออกไปเดินดูแถวๆนี้หน่อยนะ”
“ครับ”
มุกรวีเดินมุ่งหน้าตรงไป ไกลพอสมควรจนมาถึงบ้านพักคนงานท้ายไร่ เห็นลำธารอยู่ไกลๆ มุกรวียืนสำรวจรอบๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนค่อยๆไต่ไปตามแนวหิน
หญิงสาวเดินเรื่อยๆ พยายามสังเกตบริเวณโดยรอบ ที่นี่เป็นพื้นที่กว้างมากกว่าที่เธอเคยเห็นในตอนแรก เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านขนาดย่อมๆ แต่ละบ้านปิดประตูหน้าต่างกันเงียบเชียบเพราะอยู่ในช่วงเวลาทำงาน มีเห็นอยู่เพียงไม่กี่คนส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง กับเด็กเล็กๆวิ่งเล่นกันอยู่สองสามคน
เดินไปจนถึงบ้านหลังท้ายสุด เห็นด้านหลังเป็นทางลักษณะเหมือนลึกเข้าไปในป่า แต่หญิงสาวไม่คิดจะไปต่อ ด้วยรู้ตัวเองดีว่าความสามารถด้านการรับรู้ทิศทางของหล่อนอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาก จึงเพียงแค่ยืนมองอยู่ที่เดิม
ลิ ลิง ลิ ลิง ลิ ลิง...
ท่ามกลางความเงียบ เสียงทำนองที่รู้สึกคุ้นหู ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
“เสียงนี่มัน...” หญิงสาวหยุดชะงักไป พยายามเงี่ยหูฟัง
ลิ ลิง ลิ ลิง ลิ ลิง...
“นกหวีดผีเสื้อ!” มุกรวีดีดนิ้วเปาะ แม้จะยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นอันเดียวกัน หรือคนที่เธอหวังเป็นคนเป่าหรือไม่ แต่ก็พยายามหาต้นเสียง เงี่ยหูฟัง แต่แล้วเสียงกลับเงียบไปซะเฉยๆ
“เป่าสิ.. เป่าอีก” หญิงสาวเริ่มสวดวิงวอนอย่างหัวเสียเมื่อทุกอย่างเงียบกริบ
สุดท้ายหญิงสาวจึงตัดสินใจเดินกลับ แต่ไปได้ไม่กี่ก้าวฝนห่ -าใหญ่ก็ตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ด้วยความตกใจหันรีหันขวางจึงวิ่งเข้าไปหลบฝนอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังหนึ่ง แต่ตัวบ้านปิดสนิทดูเหมือนไม่มีคนอยู่ หญิงสาวจึงได้แต่ยืนหลบฝนที่สาดกระเซ็นมาภายใต้ชายคาแคบๆ สายตาก็สอดส่ายสายตาหาบ้านใกล้ๆที่มีคนอยู่หวังจะเข้าไปขอหลบฝนในบ้าน
“ฮือ.. ฮือ...”
เสียงคล้ายคนกำลังครางฮือๆ แว่วเข้าหูมา เป็นเสียงที่อยู่ไม่ไกลนักเนื่องจากญิงสาวสามารถได้ยินอย่างชัดเจนแข่งกับเสียงฝน มุกรวีค่อยๆหันไปด้านหลังอย่างช้าๆ ตัดสินใจเดินเข้าไปหาบานประตูที่ปิดสนิท เอาหูแนบลงกับบานประตูตั้งใจฟังเสียงภายใน
“ฮึก.. ฮืออ ..ฮึก ฮึก”
อยู่ๆหญิงสาวก็ขนแขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ความรู้สึกเสียวสันหลังแล่นวาบเข้ามา พลางเหลือบมองรอบๆอย่างหวาดระแวง มองฝ่าสายฝนออกไปมีเพียงบ้านคน กับต้นไม้สูงใหญ่ ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงฝน
“เลือกถูกหลังจริงๆ ไอ้มุกเอ๋ย” หญิงสาวมองฝนที่เริ่มซาลงบ้างแล้วก่อนจะตัดสินใจตั้งท่าจะวิ่งฝ่าฝนออกไป ..เออ ยอมไปเปียกเอาข้างหน้าดีกว่ายืนหนาวหลังอยู่ที่นี่ล่ะวะ
ลิ ลิง ลิ ลิง ลิ ลิง...
เสียงจากนกหวีดผีเสื้อดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวชะงักค้างเบิกตาโต เสียงที่ได้ยินอยู่ใกล้กว่าที่เคย พยายามตั้งใจฟังแล้วก็สำนึกได้ว่ามันดังมาจากหลังบานประตูที่พึ่งมีเสียงคราวฮือๆ ออกมา
มุกรวีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตัดสินใจเดินเข้าไปหาประตูอีกครั้งอย่างหวาดๆ
“..แม่”
มุกรวีชะงักไปทั้งดีใจทั้งแปลกใจ เธอจำเสียงนี้ได้แม่น ความกลัวเมื่อครู่มลายหายวับไปชั่วพริบตา ก่อนแนบหูลงกับประตู พยายามที่จะดึงประตูออก แต่มันถูดล็อกไว้ด้วยแม่กุญแจอันใหญ่
“ต้อมใช่มั้ย”
มุกรวีเคาะเบาๆพยายามถาม หากแต่ไร้เสียงตอบรับ มองไปรอบๆ หยิบเศษลวดอันหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นมาจับหักๆงอๆ ค่อยๆแหย่เข้าไปในรูกุญแจ
อย่างที่เธอเคยบอกนายเขมไว้นั่นแหละว่าตอนเด็กๆเธอมักจะเล่นแต่กับเพื่อนผู้ชาย ดังนั้นการละเล่นแต่ละอย่างก็ออกจะไปทางแผลงๆอย่างเด็กผู้ชาย การสะเดาะกุญแจก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่หล่อนได้รับการถ่ายทอดมาจากเหล่าเพื่อนทโมน ซึ่งตัวเธอก็ทำมันได้ดีเสียจนมักถูกคุณยายค่อนเอาเสมอๆ
เสียบลวดหมุนๆอยู่เพียงไม่กี่ที ก็ได้ยินเสียงดังคลิ๊ก ก่อนที่แม่กุญแจจะหลุดออกจากกัน มุกรวีแทบจะโห่ร้องด้วยความดีใจ
“ฝึกไว้ก็ไม่เสียหลายนะคะ คุณยายขา”
มุกรวีดึงแม่กุญแจออก ก่อนเปิดประตูเข้าไปด้วยใจที่เต้นระทึก แล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ เมื่อตรงหน้าพบแต่เพียงความว่างเปล่า มีเพียงโต๊ะ เก้าอี้ที่มีเสื้อพาดไว้ กับถัดไปเป็นเตียงนอนดูลักษณะเจ้าของบ้านน่าจะอยู่คนเดียว
ข้าวของวางไว้ระเกะระกะไปหมด มีกล่องลังวางสุมๆอยู่ หญิงสาวไม่เข้าใจว่าเจ้าของบ้านอยู่ไปได้อย่างไร ขนาดหล่อนไม่ใช่คนมีระเบียบ ยังอดที่จะขัดใจกับสภาพที่เห็นไม่ได้ มุกรวีเดินไปรอบๆอย่างสงสัย
“เสียงมันก็ดังมาจากในนี้นี่นา”
กึก!
เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกระทบกันดังขึ้น หญิงสาวหันขวับไปมองทางต้นเสียงอย่างระแวง สมองก็เริ่มจินตนาการไปถึงสารพันหนังผีขึ้นมาอีกจนได้ หญิงสาวต้องสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไป
“ผีไม่มีบนโลก ไม่มีๆ” มุกรวีพึมพำ เหมือนเป็นการสะกดจิตตัวเองให้ฮึกเหิม ก่อนค่อยๆเดินไปที่กองลังกระดาษแล้วก็ได้เห็นอะไรบางอย่างสั่นดุ๊กดิ๊กอยู่หลังกล่องนั้น
“ต้อม!” หญิงสาวร้องขึ้นอย่างดีใจ ตรงเข้าไปหาเด็กชายที่นั่งคุดคู้อยู่ปากก็เอ่ยถาม
“มาอยู่นี่เอง รู้มั้ยเขาตามหาตัวกันให้ควัก แม่ก็เป็นห่วงเรามากเลยนะเนี่ย”
มุกรวีว่า แล้วก็จับตัวเด็กชายหมุนสำรวจรอบๆ แล้วก็ได้เจอรอยแดงเป็นปื้น สลับกับเขียวเป็นจ้ำๆ ซ้ำยังมีรอยแดงเป็นทางๆคล้ายรอยที่เธอเคยโดยก้านมะยมเมื่อสมัยเด็ก
“ให้ตายเถอะ ช้ำไปทั้งตัวเลย ใครทำอะไรเราเนี่ย”
“พี่สาว สวย..” เด็กชายพึมพำ
“ฮะ อ่า พี่เอง แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาชมกัน เรารีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่า”
มุกรวีดึงตัวเด็กชายออกมาจากกองลังกระดาษ ทำให้ลังใบหนึ่งตกตามลงมา ห่อพลาสติกขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ 3-4 ห่อ กลิ้งออกมาจากกล่อง มุกรวีหยิบขึ้นมาดู
“ห่อนี่มัน... ” โดยไม่ให้เสียเวลา หญิงสาวใช้ปลายตะปูแหลมที่ยื่นออกมาจากขาโต๊ะเจาะถุงแหวกขาดเป็นทางยาว
ทันทีที่ถุงที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอกขาด ผงสีขาวละเอียดก็ราวกราวลงมาตามการคาดเดาของหญิงสาว มุกรวีตะลึงอยู่เพียงครู่ ตั้งสติได้ก็หันไปค้นดูในลังอื่นๆ พบว่ามีห่อพลาสติกลักษณะเดียวกันวางเรียงอัดแน่นอยู่ภายในกล่อง หญิงสาวมองกล่องกระดาษอีกกว่าสิบกล่องที่วางกระจัดกระจายอยู่ราวกับเห็นผี ขณะที่สมองกำลังไตร่ตรองว่าจะทำอย่างไรดี เด็กชายต้อมก็ดึงมือหล่อนไว้ สีหน้าหวาดหวั่น
“อะไรหรอ”
“มาแล้ว..” ว่าพลางมองไปที่ด้านหลังของหญิงสาว มุกรวีหันกลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูด้วยกำลังมองมาด้วยสีหน้าที่ตกใจไม่แพ้กัน
“นายลิตร..”
“คุณ!”
มุกรวีดันเด็กชายตัวน้อยไปด้านหลัง ตัวเองก็ตั้งท่าจะสู้ แต่ยังไม่ทันขยับตัว ความรู้สึกเจ็บแปรบที่สีข้างก็แล่นเข้ามา ตามด้วยแขนขาทั้งสองข้างชา และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่สติจะดับวูบลง...
ตกบ่ายเขมินท์ และคุณศรัณย์กลับเข้าบ้านมา เจอคุณนายจันทร์ฉายที่รออยู่แล้วออกมาถามไถ่ด้วยความร้อนใจ
“เป็นยังไงบ้างคะคุณ เรียบร้อยดีมั้ย”
“ปรึกษากับสารวัตรสมชาญแล้ว ดูท่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เฮโรอีนห่อขนาดที่เราพบอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเฮโรอีนล็อตใหญ่ที่มาจากทางพม่า”
“ตายจริง”
“ทางตำรวจอาจจะเข้ามาที่ไร่เรานะครับแม่”
“เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำ เฮ้อ ทำไมบ้านเรามันถึงได้มีแต่เรื่องน้า” ผู้เป็นแม่ว่าอย่างเหนื่อยใจ ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนหันมองขึ้นไปบนชั้นสอง
“ยายหนูมุกยู่ข้างบนหรือครับแม่”
“หนูมุกยังไม่กลับมาเลย แม่ก็นึกว่าจะกลับมาพร้อมเรา”
“คงยังอยู่ที่ไร่”
“เขารอเราอยู่หรือเปล่า”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร หยิบโทรศัพท์มือถือกดหมายเลขแล้วโทรออกรอสายอยู่เพียงครู่ปลายทางก็รับ
“หนูมุก... อ้าว กำปอหรอ แล้วคุณมุกละ” ชายหนุ่มนิ่งฟังอีกฝ่ายที่กำลังพูดอะไรบางอย่าง คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากันมากขึ้นๆ จนมารดาแปลกใจ
“คุณมุกไม่ได้กลับมาที่บ้าน... ไม่ เขาไม่ติดต่อมาหาฉันเลย ...เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้นายตามหาคุณมุกรอบๆไร่ที ได้เรื่องยังส่งข่าวมาด้วย” ชายหนุ่มออกคำสั่ง ก่อนกดวางสายลง ด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
“หนูมุกหายไปหรือเขม”
“ไม่รู้จะเรียกว่าหายได้มั้ย แต่ตอนนี้ไม่มีใครเห็นเขาครับ อีกอย่างวันนี้ที่ไร่เกิดเรื่อง..”
“ไม่รู้ทำไม แม่ใจไม่ดีเลย” หญิงสูงวัยยกมือขึ้นทาบอก ชายหนุ่มนิ่งไป เอ่ยขอตัวกับมารดาก่อนผลุนผลันขึ้นรถขับออกไป
ใช้เวลาไม่นานเขมินท์ก็มาถึงไร่เร็วทันใจ ชายหนุ่มกระโดดลงจากรถ วิ่งเข้าไปในสำนักงาน เจอกำปอ พีรวิทย์ กับคนงานอีกสองสามคนกำลังยืนคุยกันอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณมุกละ” ชายหนุ่มถามอย่างร้อนใจ
“ถามคนงานทุกคนแล้ว ไม่มีใครเห็นเลยครับนาย” กำปอเป็นคนตอบชายหนุ่ม
“คนทั้งคน อยู่ๆจะหายไปได้ยังไง”
“หรือบางทีคุณมุกเธออาจเดินเล่นอยู่แถวนี้ก็ได้นะครับ ไร่เราออกจะกว้าง อาจจะหลงหูหลงตาไปบ้าง”
“กลับมาจะจับตีซะให้เข็ด” เขมินท์พูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะนึกขึ้นได้
“ก่อนคุณมุกจะหายตัวไปเธอเรียกคนงานคนหนึ่งเข้าไปคุยใช่มั้ย”
“ครับ มันชื่อไอ้ลิตรครับ”
“ไปตามมันมาหาฉัน”
เวลาผ่านไปจนค่ำมืดลูกชายคนโตก็ยังไม่กลับมาส่งข่าว ตัวมุกรวีนั้นยิ่งไร้วี่แวว คุณนายจันทร์ฉายที่ใจร้อนรุ่มด้วยความเป็นห่วง ลุกพรวดขึ้นเดินตรงเข้าไปทันทีที่เห็นลูกชายเดินเข้ามา
“น้องละเขม” สูงสูงวัยถามอย่างมีความหวัง มองเลยไปด้านหลังกลับไร้วี่แววของหญิงสาว ซ้ำผู้เป็นลูกยังส่ายหน้าสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“โธ่ หนูมุก หายไปไหน ดึกดื่นป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างก็ไม่รู้” คุณนายจันทร์ฉายว่าพลันแข้งขาก็เหมือนจะอ่อนแรงไปเสียดื้อๆ คุณศรัณย์เห็นดังนั้นจึงประคองภรรยาไปนั่งลงบนโซฟา
“ใจเย็นๆนะคุณ”
“เย็นยังไงไหวละคะ ลูกสาวเขาทั้งคน เขาอุส่าไว้ใจให้เรามาดูแล แล้วมาทำลูกเขาหายไปซะได้ อายุก็ปูนนี้แล้วจะไปมีปัญหาทำลูกสาวใช้เขาได้ยังไง”
คุณศรัณย์มองภรรยาเช็ดน้ำตาที่ซึมหัวตาปอยๆ ไม่รู้จะเห็นใจหรือนึกขันดี ได้แต่กอดปลอบประโลมอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปสืบสาวจากลูกชาย
“หายไปไม่มีร่องรอยอะไรเลยหรือ”
“ไม่เลยครับ กำปอบอกว่าหลังจากจัดการเรื่องพวกคนงานที่มาประท้วงกันได้ ยายหนูมุกก็เดินออกจากตัวสำนักงานไป ไม่ได้บอกใครด้วยว่าไปไหน”
“แล้วจะทำยังไงดีละ แม่จะบอกคุณอรุณยังไงว่าทำลูกสาวเขาหายนะ”คุณนายจันทร์ฉายโอด
“คุณนะเป็นตำรวจเก่าเสียเปล่า ช่วยอะไรบ้างสิ”
“โธ่ ทีนี้ละจะหาความเป็นตำรวจจากผมเชียว”
เขมินท์มองพ่อกับแม่คุยกันราวกับยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แม้จะไม่สบายใจอยู่แต่ก็อดยิ้มออกมาน้อยๆไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยตัดบท
“ผมขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไป มีมารดามองตามไป
“ทำไมเขมดูใจเย็นนัก” คุณนายจันทร์ว่าเอาอย่างขัดใจ หันไปมองสามี ก็ได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบกลับมา
กลร้าย อุบัติรัก บทที่ ๑๑
เขียน... ขอจันทร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากจากที่ได้ฟังคำอธิบายจากหัวหน้าคนงานและผู้จัดการหนุ่ม แถมยังเจอฤทธิ์เดช ก็ดูเหมือนทุกคนจะเกรงนายสาวมากขึ้น เพราะนิสัยเกิดไม่หวานเหมือนหน้าอย่างที่คิด แกนนำเองก็โดนกักเป็นตัวประกันไป ก็เกิดความระส่ำระสาย ยิ่งได้ยินชื่อนายเขมมาขู่ เหล่าม็อบที่เคยฮึกเหิมเลยแตกกระสายกันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างรวดเร็ว
“โธ่ นึกว่าจะแย่ซะแล้วนะครับเนี่ย” พีรวิทย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
“พวกนี้มันคงอาศัยว่านายเขมไม่อยู่ แต่หารู้ไม่ว่านายหญิงของเราก็ไม่ใช่จะมาเคี้ยวได้ง่ายๆ” กำปอเอ่ยแซว รู้สึกนิยมชื่นชมในตัวหญิงสาวผู้ที่เรียกว่าเป็นนายหญิงได้อย่างเต็มปาก
“นายหญิงเลยหรอ” มุกรียิ้มขำ ไม่ได้คิดอะไรมาก “เดี๋ยวฉันออกไปเดินดูแถวๆนี้หน่อยนะ”
“ครับ”
มุกรวีเดินมุ่งหน้าตรงไป ไกลพอสมควรจนมาถึงบ้านพักคนงานท้ายไร่ เห็นลำธารอยู่ไกลๆ มุกรวียืนสำรวจรอบๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนค่อยๆไต่ไปตามแนวหิน
หญิงสาวเดินเรื่อยๆ พยายามสังเกตบริเวณโดยรอบ ที่นี่เป็นพื้นที่กว้างมากกว่าที่เธอเคยเห็นในตอนแรก เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านขนาดย่อมๆ แต่ละบ้านปิดประตูหน้าต่างกันเงียบเชียบเพราะอยู่ในช่วงเวลาทำงาน มีเห็นอยู่เพียงไม่กี่คนส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง กับเด็กเล็กๆวิ่งเล่นกันอยู่สองสามคน
เดินไปจนถึงบ้านหลังท้ายสุด เห็นด้านหลังเป็นทางลักษณะเหมือนลึกเข้าไปในป่า แต่หญิงสาวไม่คิดจะไปต่อ ด้วยรู้ตัวเองดีว่าความสามารถด้านการรับรู้ทิศทางของหล่อนอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาก จึงเพียงแค่ยืนมองอยู่ที่เดิม
ลิ ลิง ลิ ลิง ลิ ลิง...
ท่ามกลางความเงียบ เสียงทำนองที่รู้สึกคุ้นหู ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
“เสียงนี่มัน...” หญิงสาวหยุดชะงักไป พยายามเงี่ยหูฟัง
ลิ ลิง ลิ ลิง ลิ ลิง...
“นกหวีดผีเสื้อ!” มุกรวีดีดนิ้วเปาะ แม้จะยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นอันเดียวกัน หรือคนที่เธอหวังเป็นคนเป่าหรือไม่ แต่ก็พยายามหาต้นเสียง เงี่ยหูฟัง แต่แล้วเสียงกลับเงียบไปซะเฉยๆ
“เป่าสิ.. เป่าอีก” หญิงสาวเริ่มสวดวิงวอนอย่างหัวเสียเมื่อทุกอย่างเงียบกริบ
สุดท้ายหญิงสาวจึงตัดสินใจเดินกลับ แต่ไปได้ไม่กี่ก้าวฝนห่ -าใหญ่ก็ตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ด้วยความตกใจหันรีหันขวางจึงวิ่งเข้าไปหลบฝนอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังหนึ่ง แต่ตัวบ้านปิดสนิทดูเหมือนไม่มีคนอยู่ หญิงสาวจึงได้แต่ยืนหลบฝนที่สาดกระเซ็นมาภายใต้ชายคาแคบๆ สายตาก็สอดส่ายสายตาหาบ้านใกล้ๆที่มีคนอยู่หวังจะเข้าไปขอหลบฝนในบ้าน
“ฮือ.. ฮือ...”
เสียงคล้ายคนกำลังครางฮือๆ แว่วเข้าหูมา เป็นเสียงที่อยู่ไม่ไกลนักเนื่องจากญิงสาวสามารถได้ยินอย่างชัดเจนแข่งกับเสียงฝน มุกรวีค่อยๆหันไปด้านหลังอย่างช้าๆ ตัดสินใจเดินเข้าไปหาบานประตูที่ปิดสนิท เอาหูแนบลงกับบานประตูตั้งใจฟังเสียงภายใน
“ฮึก.. ฮืออ ..ฮึก ฮึก”
อยู่ๆหญิงสาวก็ขนแขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ความรู้สึกเสียวสันหลังแล่นวาบเข้ามา พลางเหลือบมองรอบๆอย่างหวาดระแวง มองฝ่าสายฝนออกไปมีเพียงบ้านคน กับต้นไม้สูงใหญ่ ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงฝน
“เลือกถูกหลังจริงๆ ไอ้มุกเอ๋ย” หญิงสาวมองฝนที่เริ่มซาลงบ้างแล้วก่อนจะตัดสินใจตั้งท่าจะวิ่งฝ่าฝนออกไป ..เออ ยอมไปเปียกเอาข้างหน้าดีกว่ายืนหนาวหลังอยู่ที่นี่ล่ะวะ
ลิ ลิง ลิ ลิง ลิ ลิง...
เสียงจากนกหวีดผีเสื้อดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวชะงักค้างเบิกตาโต เสียงที่ได้ยินอยู่ใกล้กว่าที่เคย พยายามตั้งใจฟังแล้วก็สำนึกได้ว่ามันดังมาจากหลังบานประตูที่พึ่งมีเสียงคราวฮือๆ ออกมา
มุกรวีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตัดสินใจเดินเข้าไปหาประตูอีกครั้งอย่างหวาดๆ
“..แม่”
มุกรวีชะงักไปทั้งดีใจทั้งแปลกใจ เธอจำเสียงนี้ได้แม่น ความกลัวเมื่อครู่มลายหายวับไปชั่วพริบตา ก่อนแนบหูลงกับประตู พยายามที่จะดึงประตูออก แต่มันถูดล็อกไว้ด้วยแม่กุญแจอันใหญ่
“ต้อมใช่มั้ย”
มุกรวีเคาะเบาๆพยายามถาม หากแต่ไร้เสียงตอบรับ มองไปรอบๆ หยิบเศษลวดอันหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นมาจับหักๆงอๆ ค่อยๆแหย่เข้าไปในรูกุญแจ
อย่างที่เธอเคยบอกนายเขมไว้นั่นแหละว่าตอนเด็กๆเธอมักจะเล่นแต่กับเพื่อนผู้ชาย ดังนั้นการละเล่นแต่ละอย่างก็ออกจะไปทางแผลงๆอย่างเด็กผู้ชาย การสะเดาะกุญแจก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่หล่อนได้รับการถ่ายทอดมาจากเหล่าเพื่อนทโมน ซึ่งตัวเธอก็ทำมันได้ดีเสียจนมักถูกคุณยายค่อนเอาเสมอๆ
เสียบลวดหมุนๆอยู่เพียงไม่กี่ที ก็ได้ยินเสียงดังคลิ๊ก ก่อนที่แม่กุญแจจะหลุดออกจากกัน มุกรวีแทบจะโห่ร้องด้วยความดีใจ
“ฝึกไว้ก็ไม่เสียหลายนะคะ คุณยายขา”
มุกรวีดึงแม่กุญแจออก ก่อนเปิดประตูเข้าไปด้วยใจที่เต้นระทึก แล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ เมื่อตรงหน้าพบแต่เพียงความว่างเปล่า มีเพียงโต๊ะ เก้าอี้ที่มีเสื้อพาดไว้ กับถัดไปเป็นเตียงนอนดูลักษณะเจ้าของบ้านน่าจะอยู่คนเดียว
ข้าวของวางไว้ระเกะระกะไปหมด มีกล่องลังวางสุมๆอยู่ หญิงสาวไม่เข้าใจว่าเจ้าของบ้านอยู่ไปได้อย่างไร ขนาดหล่อนไม่ใช่คนมีระเบียบ ยังอดที่จะขัดใจกับสภาพที่เห็นไม่ได้ มุกรวีเดินไปรอบๆอย่างสงสัย
“เสียงมันก็ดังมาจากในนี้นี่นา”
กึก!
เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกระทบกันดังขึ้น หญิงสาวหันขวับไปมองทางต้นเสียงอย่างระแวง สมองก็เริ่มจินตนาการไปถึงสารพันหนังผีขึ้นมาอีกจนได้ หญิงสาวต้องสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไป
“ผีไม่มีบนโลก ไม่มีๆ” มุกรวีพึมพำ เหมือนเป็นการสะกดจิตตัวเองให้ฮึกเหิม ก่อนค่อยๆเดินไปที่กองลังกระดาษแล้วก็ได้เห็นอะไรบางอย่างสั่นดุ๊กดิ๊กอยู่หลังกล่องนั้น
“ต้อม!” หญิงสาวร้องขึ้นอย่างดีใจ ตรงเข้าไปหาเด็กชายที่นั่งคุดคู้อยู่ปากก็เอ่ยถาม
“มาอยู่นี่เอง รู้มั้ยเขาตามหาตัวกันให้ควัก แม่ก็เป็นห่วงเรามากเลยนะเนี่ย”
มุกรวีว่า แล้วก็จับตัวเด็กชายหมุนสำรวจรอบๆ แล้วก็ได้เจอรอยแดงเป็นปื้น สลับกับเขียวเป็นจ้ำๆ ซ้ำยังมีรอยแดงเป็นทางๆคล้ายรอยที่เธอเคยโดยก้านมะยมเมื่อสมัยเด็ก
“ให้ตายเถอะ ช้ำไปทั้งตัวเลย ใครทำอะไรเราเนี่ย”
“พี่สาว สวย..” เด็กชายพึมพำ
“ฮะ อ่า พี่เอง แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาชมกัน เรารีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่า”
มุกรวีดึงตัวเด็กชายออกมาจากกองลังกระดาษ ทำให้ลังใบหนึ่งตกตามลงมา ห่อพลาสติกขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ 3-4 ห่อ กลิ้งออกมาจากกล่อง มุกรวีหยิบขึ้นมาดู
“ห่อนี่มัน... ” โดยไม่ให้เสียเวลา หญิงสาวใช้ปลายตะปูแหลมที่ยื่นออกมาจากขาโต๊ะเจาะถุงแหวกขาดเป็นทางยาว
ทันทีที่ถุงที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอกขาด ผงสีขาวละเอียดก็ราวกราวลงมาตามการคาดเดาของหญิงสาว มุกรวีตะลึงอยู่เพียงครู่ ตั้งสติได้ก็หันไปค้นดูในลังอื่นๆ พบว่ามีห่อพลาสติกลักษณะเดียวกันวางเรียงอัดแน่นอยู่ภายในกล่อง หญิงสาวมองกล่องกระดาษอีกกว่าสิบกล่องที่วางกระจัดกระจายอยู่ราวกับเห็นผี ขณะที่สมองกำลังไตร่ตรองว่าจะทำอย่างไรดี เด็กชายต้อมก็ดึงมือหล่อนไว้ สีหน้าหวาดหวั่น
“อะไรหรอ”
“มาแล้ว..” ว่าพลางมองไปที่ด้านหลังของหญิงสาว มุกรวีหันกลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูด้วยกำลังมองมาด้วยสีหน้าที่ตกใจไม่แพ้กัน
“นายลิตร..”
“คุณ!”
มุกรวีดันเด็กชายตัวน้อยไปด้านหลัง ตัวเองก็ตั้งท่าจะสู้ แต่ยังไม่ทันขยับตัว ความรู้สึกเจ็บแปรบที่สีข้างก็แล่นเข้ามา ตามด้วยแขนขาทั้งสองข้างชา และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่สติจะดับวูบลง...
ตกบ่ายเขมินท์ และคุณศรัณย์กลับเข้าบ้านมา เจอคุณนายจันทร์ฉายที่รออยู่แล้วออกมาถามไถ่ด้วยความร้อนใจ
“เป็นยังไงบ้างคะคุณ เรียบร้อยดีมั้ย”
“ปรึกษากับสารวัตรสมชาญแล้ว ดูท่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เฮโรอีนห่อขนาดที่เราพบอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเฮโรอีนล็อตใหญ่ที่มาจากทางพม่า”
“ตายจริง”
“ทางตำรวจอาจจะเข้ามาที่ไร่เรานะครับแม่”
“เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำ เฮ้อ ทำไมบ้านเรามันถึงได้มีแต่เรื่องน้า” ผู้เป็นแม่ว่าอย่างเหนื่อยใจ ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนหันมองขึ้นไปบนชั้นสอง
“ยายหนูมุกยู่ข้างบนหรือครับแม่”
“หนูมุกยังไม่กลับมาเลย แม่ก็นึกว่าจะกลับมาพร้อมเรา”
“คงยังอยู่ที่ไร่”
“เขารอเราอยู่หรือเปล่า”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร หยิบโทรศัพท์มือถือกดหมายเลขแล้วโทรออกรอสายอยู่เพียงครู่ปลายทางก็รับ
“หนูมุก... อ้าว กำปอหรอ แล้วคุณมุกละ” ชายหนุ่มนิ่งฟังอีกฝ่ายที่กำลังพูดอะไรบางอย่าง คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากันมากขึ้นๆ จนมารดาแปลกใจ
“คุณมุกไม่ได้กลับมาที่บ้าน... ไม่ เขาไม่ติดต่อมาหาฉันเลย ...เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้นายตามหาคุณมุกรอบๆไร่ที ได้เรื่องยังส่งข่าวมาด้วย” ชายหนุ่มออกคำสั่ง ก่อนกดวางสายลง ด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
“หนูมุกหายไปหรือเขม”
“ไม่รู้จะเรียกว่าหายได้มั้ย แต่ตอนนี้ไม่มีใครเห็นเขาครับ อีกอย่างวันนี้ที่ไร่เกิดเรื่อง..”
“ไม่รู้ทำไม แม่ใจไม่ดีเลย” หญิงสูงวัยยกมือขึ้นทาบอก ชายหนุ่มนิ่งไป เอ่ยขอตัวกับมารดาก่อนผลุนผลันขึ้นรถขับออกไป
ใช้เวลาไม่นานเขมินท์ก็มาถึงไร่เร็วทันใจ ชายหนุ่มกระโดดลงจากรถ วิ่งเข้าไปในสำนักงาน เจอกำปอ พีรวิทย์ กับคนงานอีกสองสามคนกำลังยืนคุยกันอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณมุกละ” ชายหนุ่มถามอย่างร้อนใจ
“ถามคนงานทุกคนแล้ว ไม่มีใครเห็นเลยครับนาย” กำปอเป็นคนตอบชายหนุ่ม
“คนทั้งคน อยู่ๆจะหายไปได้ยังไง”
“หรือบางทีคุณมุกเธออาจเดินเล่นอยู่แถวนี้ก็ได้นะครับ ไร่เราออกจะกว้าง อาจจะหลงหูหลงตาไปบ้าง”
“กลับมาจะจับตีซะให้เข็ด” เขมินท์พูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะนึกขึ้นได้
“ก่อนคุณมุกจะหายตัวไปเธอเรียกคนงานคนหนึ่งเข้าไปคุยใช่มั้ย”
“ครับ มันชื่อไอ้ลิตรครับ”
“ไปตามมันมาหาฉัน”
เวลาผ่านไปจนค่ำมืดลูกชายคนโตก็ยังไม่กลับมาส่งข่าว ตัวมุกรวีนั้นยิ่งไร้วี่แวว คุณนายจันทร์ฉายที่ใจร้อนรุ่มด้วยความเป็นห่วง ลุกพรวดขึ้นเดินตรงเข้าไปทันทีที่เห็นลูกชายเดินเข้ามา
“น้องละเขม” สูงสูงวัยถามอย่างมีความหวัง มองเลยไปด้านหลังกลับไร้วี่แววของหญิงสาว ซ้ำผู้เป็นลูกยังส่ายหน้าสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“โธ่ หนูมุก หายไปไหน ดึกดื่นป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างก็ไม่รู้” คุณนายจันทร์ฉายว่าพลันแข้งขาก็เหมือนจะอ่อนแรงไปเสียดื้อๆ คุณศรัณย์เห็นดังนั้นจึงประคองภรรยาไปนั่งลงบนโซฟา
“ใจเย็นๆนะคุณ”
“เย็นยังไงไหวละคะ ลูกสาวเขาทั้งคน เขาอุส่าไว้ใจให้เรามาดูแล แล้วมาทำลูกเขาหายไปซะได้ อายุก็ปูนนี้แล้วจะไปมีปัญหาทำลูกสาวใช้เขาได้ยังไง”
คุณศรัณย์มองภรรยาเช็ดน้ำตาที่ซึมหัวตาปอยๆ ไม่รู้จะเห็นใจหรือนึกขันดี ได้แต่กอดปลอบประโลมอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปสืบสาวจากลูกชาย
“หายไปไม่มีร่องรอยอะไรเลยหรือ”
“ไม่เลยครับ กำปอบอกว่าหลังจากจัดการเรื่องพวกคนงานที่มาประท้วงกันได้ ยายหนูมุกก็เดินออกจากตัวสำนักงานไป ไม่ได้บอกใครด้วยว่าไปไหน”
“แล้วจะทำยังไงดีละ แม่จะบอกคุณอรุณยังไงว่าทำลูกสาวเขาหายนะ”คุณนายจันทร์ฉายโอด
“คุณนะเป็นตำรวจเก่าเสียเปล่า ช่วยอะไรบ้างสิ”
“โธ่ ทีนี้ละจะหาความเป็นตำรวจจากผมเชียว”
เขมินท์มองพ่อกับแม่คุยกันราวกับยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แม้จะไม่สบายใจอยู่แต่ก็อดยิ้มออกมาน้อยๆไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยตัดบท
“ผมขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไป มีมารดามองตามไป
“ทำไมเขมดูใจเย็นนัก” คุณนายจันทร์ว่าเอาอย่างขัดใจ หันไปมองสามี ก็ได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบกลับมา