ห้างยิงสัตว์ในดงกระท้อนห้วยตาตุ่น ร่ำลือกันปากต่อปากว่ามีอาถรรพ์พรรค์ลึก
"ไอ้อูกับอีสาวมันโดนทำนบพังทับตาย"
คนที่อยู่ในเพิงพักถึงกับลุกวิ่งไปตากฝนทันที พอไปถึงก็เจอคนงานเจ็ดแปดคน และมีเด็กชายคนหนึ่งร้องไห้อยู่ เป็นลูกชายของสองสามีภรรยาที่เสียชีวิต หญิงสาวชาวมอญที่รอดชีวิตกอดเด็กชายเอาไว้แน่น มะยีซึ่งน้องสาวของไอ้อูจึงรับเด็กชายมาปลอบโยน ทำนบฝังร่างทั้งสองไว้ก้นหลุมซึ่งลึกเกินกว่าที่จะทำพิธีทางศาสนาได้
"ไปที่ชอบๆ เถอะ"
ผู้คนต่างกล่าวคำไว้อาลัย มีเพียงดอกไม้ป่ากับธูปเทียนวางไว้เป็นสัญลักษณ์การสูญเสีย ความอาดูรถาโถม
หลังฝนหยุดตก ทุกคนก้มหน้าก้มตาขุดหาแร่แม้ความสูญเสียต่อคราวเคราะห์ของสามีภรรยา แต่ปากท้องสำคัญกว่า ชีวิตจึงมีราคาถูกกว่าแร่
หลังจากเหมืองเลิกเพราะแร่ราคาตกต่ำ กุศลผลบุญที่รับปากว่าจะกรวดน้ำอุทิศไปให้ก็พากันลืมไปเสียหมด ผู้คนต่างแยกย้ายกันไปแสวงโชคในที่ใหม่ๆ บ้างก็กลับบ้านเกิดเมืองนอน แต่ส่วนใหญ่ไม่ไปไหน ลงหลักปักฐานบุกเบิกที่ทำกินละแวกใกล้เคียงซึ่งอยู่ในที่ราบลุ่ม เหมืองต่างๆ ที่เคยคึกคักถูกปล่อยทิ้งร้างวังเวง
ทำนบที่เป็นหลุมศพสามีภรรยาก็ถูกดินทรายทลายลงกลบจนกลายสภาพเป็นป่ารกเรื้อไป เพิงพักถูกกลืนกินด้วยกาลเวลา ทั้งปลวก แมลง และความชื้น รุมทึ้งอย่างตระกราม เศษซากถูกย่อยสลาย ในโลกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืนจริงๆ
พวกคนเหมืองหลังจากจับจองที่ทางทำกินและอาศัยเรียบร้อยแล้ว เมื่อว่างจากงานก็แบกปืนเข้าป่าล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร เหลือมากก็ขายกันเองในหมู่บ้าน เรียกว่าแบ่งกันกินก็ยังได้ ชีวิตผู้คนที่นี่ดำเนินต่อไปอย่างปากกัดตีนถีบ รายได้เป็นกอบเป็นกำจากการทำแร่ไม่มีอีกต่อไปแล้ว
เด็กหนุ่มชื่ออำพันลูกครึ่งไทยมอญก็เหมือนกัน เมื่อว่างเว้นจากงานในไร่ ก็แบกปืนเข้าป่าหายิงสัตว์ต่างๆ
แต่วันที่ไปนั่งห้างในดงกระท้อนห้วยตาตุ่นเขาไปคนเดียว เพื่อนของเขาต้องอยู่เฝ้าไข้น้องสาวที่ป่วยเป็นมาลาเรีย
เด็กหนุ่มไปถึงดงกระท้อนเมื่อตะวันโพล้เพล้ เขาแวะตักน้ำใส่ขวดพลาสติกก่อนจะขึ้นห้าง ชายหนุ่มรีบไต่ต้นไม้ข้างๆ
ที่มีกิ่งพอได้อาศัยยึดเกาะ เมื่อขึ้นถึงยอดจึงโหนข้ามไปยังต้นซ่านซึ่งเขากับโชมาขัดห้างทิ้งไว้ตั้งแต่สี่ห้าวันก่อนหน้า
เขาเห็นหญิงชายคู่หนึ่งกำลังมุ่งตรงมายังดงกระท้อนป่า เมื่อถึงใต้ต้นไม้ที่เขาขัดห้างอยู่ หญิงชายคู่นั้นก็เงยหน้าขึ้น
ชายหนุ่มถึงตกตะลึงอ้าปากค้าง เพราะทั้งคู่คือไอ้อูกับอีสาวสองผัวเมียที่ถูกทำนบถล่มทับเมื่อเจ็ดแปดปีที่ผ่านมา
อาถรรพ์ห้างร้านผี
"ไอ้อูกับอีสาวมันโดนทำนบพังทับตาย"
คนที่อยู่ในเพิงพักถึงกับลุกวิ่งไปตากฝนทันที พอไปถึงก็เจอคนงานเจ็ดแปดคน และมีเด็กชายคนหนึ่งร้องไห้อยู่ เป็นลูกชายของสองสามีภรรยาที่เสียชีวิต หญิงสาวชาวมอญที่รอดชีวิตกอดเด็กชายเอาไว้แน่น มะยีซึ่งน้องสาวของไอ้อูจึงรับเด็กชายมาปลอบโยน ทำนบฝังร่างทั้งสองไว้ก้นหลุมซึ่งลึกเกินกว่าที่จะทำพิธีทางศาสนาได้
"ไปที่ชอบๆ เถอะ"
ผู้คนต่างกล่าวคำไว้อาลัย มีเพียงดอกไม้ป่ากับธูปเทียนวางไว้เป็นสัญลักษณ์การสูญเสีย ความอาดูรถาโถม
หลังฝนหยุดตก ทุกคนก้มหน้าก้มตาขุดหาแร่แม้ความสูญเสียต่อคราวเคราะห์ของสามีภรรยา แต่ปากท้องสำคัญกว่า ชีวิตจึงมีราคาถูกกว่าแร่
หลังจากเหมืองเลิกเพราะแร่ราคาตกต่ำ กุศลผลบุญที่รับปากว่าจะกรวดน้ำอุทิศไปให้ก็พากันลืมไปเสียหมด ผู้คนต่างแยกย้ายกันไปแสวงโชคในที่ใหม่ๆ บ้างก็กลับบ้านเกิดเมืองนอน แต่ส่วนใหญ่ไม่ไปไหน ลงหลักปักฐานบุกเบิกที่ทำกินละแวกใกล้เคียงซึ่งอยู่ในที่ราบลุ่ม เหมืองต่างๆ ที่เคยคึกคักถูกปล่อยทิ้งร้างวังเวง
ทำนบที่เป็นหลุมศพสามีภรรยาก็ถูกดินทรายทลายลงกลบจนกลายสภาพเป็นป่ารกเรื้อไป เพิงพักถูกกลืนกินด้วยกาลเวลา ทั้งปลวก แมลง และความชื้น รุมทึ้งอย่างตระกราม เศษซากถูกย่อยสลาย ในโลกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืนจริงๆ
พวกคนเหมืองหลังจากจับจองที่ทางทำกินและอาศัยเรียบร้อยแล้ว เมื่อว่างจากงานก็แบกปืนเข้าป่าล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร เหลือมากก็ขายกันเองในหมู่บ้าน เรียกว่าแบ่งกันกินก็ยังได้ ชีวิตผู้คนที่นี่ดำเนินต่อไปอย่างปากกัดตีนถีบ รายได้เป็นกอบเป็นกำจากการทำแร่ไม่มีอีกต่อไปแล้ว
เด็กหนุ่มชื่ออำพันลูกครึ่งไทยมอญก็เหมือนกัน เมื่อว่างเว้นจากงานในไร่ ก็แบกปืนเข้าป่าหายิงสัตว์ต่างๆ
แต่วันที่ไปนั่งห้างในดงกระท้อนห้วยตาตุ่นเขาไปคนเดียว เพื่อนของเขาต้องอยู่เฝ้าไข้น้องสาวที่ป่วยเป็นมาลาเรีย
เด็กหนุ่มไปถึงดงกระท้อนเมื่อตะวันโพล้เพล้ เขาแวะตักน้ำใส่ขวดพลาสติกก่อนจะขึ้นห้าง ชายหนุ่มรีบไต่ต้นไม้ข้างๆ
ที่มีกิ่งพอได้อาศัยยึดเกาะ เมื่อขึ้นถึงยอดจึงโหนข้ามไปยังต้นซ่านซึ่งเขากับโชมาขัดห้างทิ้งไว้ตั้งแต่สี่ห้าวันก่อนหน้า
เขาเห็นหญิงชายคู่หนึ่งกำลังมุ่งตรงมายังดงกระท้อนป่า เมื่อถึงใต้ต้นไม้ที่เขาขัดห้างอยู่ หญิงชายคู่นั้นก็เงยหน้าขึ้น
ชายหนุ่มถึงตกตะลึงอ้าปากค้าง เพราะทั้งคู่คือไอ้อูกับอีสาวสองผัวเมียที่ถูกทำนบถล่มทับเมื่อเจ็ดแปดปีที่ผ่านมา