อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๓)

กระทู้สนทนา
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๓ เข้าป่า

แม้จะออกตัวว่าชอบเข้าป่าเที่ยวดงอะไรแบบนี้ แต่เอาเข้าจริงนิสัยบางอย่างของผมก็ดูไม่เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตในป่าสักเท่าไรนักหรอก อย่างหนึ่งก็คือการเป็นฅนที่เรียกว่ากินยากอยู่ยาก ซึ่งดูจะขัดกับนิสัยเลยนั่นแหละ แต่จะเรียกว่ากินยากอยู่ยากก็คงไม่ถูกต้องเสียทีเดียวนัก เพราะผมนั้นเติบโตมากับอาหารพื้น ๆ กินผักกินหญ้าเป็นหลักกันอยู่แล้ว เรียกว่าผักจิ้มน้ำพริกผมก็อิ่มอร่อยได้ ไอ้ที่ว่ากินยากหรือเลือกรับประทานนั้นผมหมายถึงพวกสัตว์ป่า หรือที่เรียกกันว่าอาหารป่านั่นต่างหากซึ่งผมจะไม่ถนัด 

‘เข้าป่าไม่กินของป่าก็สมควรอด’ 

ผมถูกต่อว่าด้วยคำนี้เป็นประจำ ซึ่งผมก็ยอมอดมากกว่ายอมกินนั่นแหละครับ ถึงจะเติบโตมากับป่าดงแต่ก็มีสัตว์ป่าไม่กี่ชนิดหรอกที่ผมจะกินได้อย่างสนิทใจ

.
หลังจากได้พักบนเกาะลอยสมใจแบบไม่คาดฝัน อันดับแรกก็ต้องสำรวจพื้นที่กันหน่อย มีโรงเรียนหลังเล็ก ๆ อยู่ไม่ห่างจากบ้านที่เรามาพักกันมากนัก เพียงแต่ตอนนี้มันกลายเป็นโรงเรียนร้างไปแล้ว สาเหตุเป็นเพราะไม่มีครูมาสอนนั่นแหละครับ ซึ่งเด็กที่นี่คงต้องรอจนกว่าครูฅนใหม่จะมาเมื่อไร 

เลยโรงเรียนออกไปจะมีร้านค้าเล็ก ๆ อยู่ร้านหนึ่ง ซึ่งผมได้ทราบว่า สามีเจ้าของร้านนั้นเป็นฅนบ้านเดียวกับผมซึ่งมาได้ภรรยาอยู่ที่นี่ด้วย

อย่างที่บอกว่าเกาะกงเคยเป็นจังหวัดหนึ่งของไทย ดังนั้นผู้ฅนที่นี่ส่วนหนึ่ง ประมาณ 25-30% จึงเป็นฅนไทยที่เรียกกันว่า ไทยพลัดถิ่น หรือไทยเกาะกง โดยฅนไทยเกาะกงนี้จะพูดได้ชัดเจนทั้งสองภาษา ไม่ว่าจะไทยหรือแขมร์ แต่ภาษาไทยจะเป็นสำเนียงแบบฅนอำเภอคลองใหญ่มากกว่า และบ้านที่ผมได้มานอนนี้ก็เป็นฅนไทยเกาะกงเช่นกัน

บ้านเรือนบนเกาะนี้มีไม่มากนัก และจะไม่ค่อยใหญ่โตสักเท่าไรด้วย โดยบ้านที่ผมได้มาพักนั้นถือว่าหลังใหญ่ที่สุดแล้วบนเกาะนี้ ซึ่งก็ใหญ่จริง ๆ นั่นแหละ เพียงแต่มีจุดที่ทำให้เราอดพูดถึงกันไม่ได้

“ดูสิ อยู่ในป่ามีอาชีพทำไม้แท้ ๆ บ้านกลับเอาไม้อัดมากั้นฝาเสียอย่างนั้น” ฅนหนึ่งในคณะของเราพูดพลางชี้ให้ผมดูฝาไม้อัดเคลือบลายที่คงจะสวยงามในสายตาเจ้าของบ้านเขานั่นแหละ หากในสายตาของเรา แม้มันจะเป็นฝาห้องซึ่งไม่โดนแดดโดนฝนก็จริง แต่คุณค่าความสวยงามและความคงทนนั้นเทียบกับไม้จริงไม่ได้เลย แถมการนำฝาไม้อัดพวกนี้มาจากเมืองไทย ก็ดูจะเป็นเรื่องลำบากลำบนมากกว่าเลื่อยไม้ในป่ามาตีแปะทีเดียว (อย่าลืมว่ายังเป็นช่วงสงครามนะครับ) 

คิดว่าเจ้าของบ้านคงไปเห็นตัวอย่างบ้านในเมืองจึงอยากจะมีบ้านที่เหมือนกับฅนเมืองอะไรแบบนั้น ซึ่งตรงนี้บ่งบอกถึงนิสัยของฅนเราได้เป็นอย่างดีว่า สิ่งที่อยู่กับเราใกล้ชิดจนชินชานั้น คุณค่าในความรู้สึกที่เรามีต่อมันมักจะน้อยลงจนแทบไม่เหลืออะไร ซึ่งบางทีกว่าจะรู้ค่าสิ่งนั้นก็ในวันที่หาไม่ได้แล้ว

ที่ว่านี่ไม่ได้หมายถึงเจ้าของบ้านหลังนี้แต่เท่านั้นนะครับ หากน่าจะรวมถึงทุกฅนไม่เว้นผมด้วยเช่นกัน เพียงแต่เวลาที่เกิดกับเราเรามักไม่ค่อยจะรู้ตัวกัน นอกจากเงาสะท้อนตัวเราจากฅนอื่นจึงจะเห็นได้ชัด

แฮ่ เขียนไปเขียนมาจะพาออกทะเลกันอยู่เรื่อย กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ...

.
หลังจากเดินเที่ยวกันสักพักเราก็กลับมาเตรียมตัวกินข้าวปลากัน อาหารมื้อเย็นนี้ไม่มีอะไรมาก นอกจากพวกน้ำพริกผักแล้วก็มีแกงอะไรอีกถ้วย ซึ่งเจ้าแกงถ้วยที่ว่านี้เอง ทันทีที่ผมตักเข้าปากก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เหลือบมองเพื่อนก็พออ่านสายตาได้ว่าความรู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไร เราต่างฝืนกลืนข้าวลงคอ และไม่มีใครตักแกงถ้วยนั้นขึ้นมาอีกเลย กระทั่งอิ่มแล้วจึงพากันมาเดินเล่นแถวท่าน้ำ ฝั่งตรงข้ามจะมองเห็นว่ามีวัดอยู่ หากแต่เมื่อก้มมองไปยังพื้นน้ำตรงหน้าเราก็ได้เจอมันพอดี หัวของไอ้ตัวที่เราเพิ่งกินเนื้อมันอย่างไม่ตั้งใจยังลอยนิ่งอยู่เลย

แมวป่า!

ถึงมันจะเป็นแมวป่า แต่ไม่ว่าอย่างไรผมว่ามันแทบแยกไม่ออกจากแมวบ้านหรอก ดีนะที่ยังนึกเอะใจ ไม่อย่างนั้นมื้อนี้คงได้กินแกงแมวป่าจนอิ่มหนำแน่นอน ต้องระวังเรื่องของกินให้มากขึ้นแล้วหากยังอยู่ที่นี่

.
หลังจากพักอยู่ที่นั่นสองสามวันก็ได้เวลาเข้าป่ากันเสียที เราเตรียมตัวกันแต่เช้าตรู่กับข้าวของพะรุงพะรังที่ต้องแบกต้องขนกันไป ทั้งอุปกรณ์ตัดไม้อย่างเลื่อยยนต์ น้ำมันเชื้อเพลิง ออโตลูป และน้ำมันดำสำหรับหล่อโซ่ 

ยังมีพวกเสบียงและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเรากันอีก ทั้งเสื้อผ้ามุ้งหมอน (ความจริงเราไม่พกหมอนกันหรอก เขียนตามคำคล้องจองมากกว่า แฮ่)

เรียกว่าเป็นเรื่องปกติของการเดินป่าที่มักจะไม่ได้เดินตัวเปล่าสบาย ๆ กันสักเท่าไรนัก
มีทหารไปกับเราด้วยฅนหนึ่งเพื่อชี้ป่าหรือจุดทำไม้ (ทหารเสรี)

การทำธุรกิจในช่วงสงครามโดยเฉพาะในป่าดงแบบนี้นั้นเราต้องยึดทหารเป็นหลัก แม้การมาของเราหนนี้จะเป็นการทำงานให้กับนายทุนในท้องที่ ไม่ได้เป็นบริษัทใหญ่โตอะไร แต่นายทุนที่ว่าก็ต้องเป็นฅนมีอิทธิพลอยู่พอควรเช่นกัน

.
เมื่อผ่านไร่ข้าวออกมาเส้นทางก็เริ่มมีความลาดชันมากขึ้น เราไต่ระดับขึ้นสู่ยอดเขากันอย่างทุลักทุเลกับข้าวของหนักอึ้งบนหลังไหล่ 

เมื่อขึ้นมาได้สำเร็จ ผมก็ได้พบกับความมหัศจรรย์รอท่าอยู่บนนั้น ใช่ มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับผมเลยทีเดียว กับสภาพทุ่งที่มีหญ้าบาง ๆ มีไม้ยืนต้นขึ้นอยู่ประปราย สิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในท้องทุ่งราบเรียบนี้ก็คือต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง มันมีอยู่ดาษดื่น ทั้งชนิดต้นเล็กและใหญ่ ขึ้นแซมกอหญ้าและพันธุ์ไม้แปลก ๆ ที่ผมไม่เคยเห็น 

บนต้นไม้ทีายืนต้นห่าง ๆ นั้นล้วนระโยงระยางไปด้วยกระจาดสีดา ซึ่งบ้านผมจะเรียกว่ากระปรอกสีดา บางฅนเรียกกระเช้าสีดาก็มี ซึ่งตรงนี้จะไปพ้องกับไม้เถาชนิดหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงในวรรณคดีมากกว่า

และที่ใช้คำว่าระโยงระยางนั้น ก็เพราะมันมีมากมายอยู่บนไม้ทุกต้น จนเกิดความรู้สึกเช่นนั้นทีเดียวนั่นแหละครับ

ใครเลยจะคิดว่าเมื่อขึ้นสู่ยอดเขาแล้วจะได้เจอท้องทุ่งแบบนี้ (มาทราบภายหลังว่ายอดเขาแถบนี้ส่วนใหญ่จะมีลักษณะยอดตัดเช่นที่ว่า) 

และท้องทุ่งนั้นจะเรียกว่าเป็นภาพอดีตสำหรับผมเลยก็ว่าได้ ด้วยผมนั่นเติบโตมากับทุ่งนาป่าเขา มันได้ค่อย ๆ เลือนหายไปจนหมดไม่มีเหลือแล้วในปัจจุบัน (ทั้งทุ่งนาและป่าเขานั่นแหละ) แถมท้องทุ่งบนยอดเขาแห่งนี้ยังมีลักษณะพิเศษตามที่กล่าว มันจึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับผมโดยแท้จริง

.
พ้นทุ่งออกมาก็เข้าสู่พื้นที่ป่าอันเป็นจุดหมาย เราสร้างที่พักด้วยการผ่าไม้เป็นแผ่นมาปูพื้นบนตอม่อที่ตัดไม้ปักและทำคานรับไว้ ส่วนหลังคาเราจะตั้งเสา ใช้ผ้าพลาสติกที่ฅนตราดเรียกว่าผ้ายาง ขึงกางกันน้ำค้างกันฝน

การเข้าป่าของผมหนนี้ดูจะได้แค่เที่ยวสมใจอย่างเดียวจริง ๆ เพราะเมื่อเรามาถึงฝนก็ตกหนักจนทำงานทำการกันไม่ได้ เรียกว่าในแต่ละวันได้แต่นั่งตีดัมมี่โขกหมากรุกผลาญเสบียงกันไป เสบียงหมดก็ลงเขาไปเอามาใหม่ เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อฝนค่อยซาเริ่มทำงานได้ ความเซ่อซ่าของผมยังก่อเรื่องขึ้นเสียอีก

.
เมื่อฝนพอเบาบางลงบ้างเราก็ได้เข้าป่าหาผ่าไม้กัน ซึ่งตามปกติเลื่อยยนต์นั้น นอกจากน้ำมันหล่อโซ่ที่ต้องมีแล้ว ในส่วนของน้ำมันออโตลูปยังต้องผสมรวมกับเบนซินซึ่งเป็นเชื้อเพลิง (เหมือนเครื่องตัดหญ้า) และเพื่อความสะดวกในการหยิบใช้ ออโตลูปจึงถูกผสมรวมในถังน้ำมันไว้เลย ทีนี้ถังที่ผสมออโตลูปแล้วกับถังซึ่งยังไม่ได้ผสมมันดันอยู่รวมกันนี่สิครับ ตรงนี้หากเป็นฅนอื่นก็จะมองออกว่าสีมันต่างกันนิดหน่อย ผมนั้นอย่างที่บอกว่าเคยเป็นเด็กปัดขี้เลื่อยมาก่อนหน้านี้ก็ต้องพอทราบบ้างแหละ แต่นานครั้งจะได้เข้าป่ากับเขาสักทีก็เลยหลงลืมไปบ้างเหมือนกัน เมื่อถูกใช้ให้เติมน้ำมันก็ดันไปหยิบเอาถังที่ยังไม่ได้ผสมเข้าเสียอีก ได้ผล สูบติดสิครับ ต้องเอาเครื่องลงมาซ่อมกันเป็นการด่วน ฅนที่ไม่มีปัญหาก็อยู่ทำงานกันต่อ

นั่นคือสาเหตุว่าทำไมผมต้องลงเขาก่อนกำหนด แถมไม่ได้ค่าจ้างค่าแรงอะไรเลย (ไม่ต้องชดใช้ค่าซ่อมเครื่องก็บุญแล้ว) แต่ถ้าว่ากันเรื่องของประสบการณ์ที่ได้รับ ผมว่ามันก็ยังคุ้มอยู่ดีนะครับ

ในบทนี้ก็เลยขอจบกันง่าย ๆ เพียงเท่านี้ ส่วนครั้งหน้าจะพาไปที่ไหนอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่