Operation MockingBird : ปฎิบัติการ CIA ทำการควบคุมสื่อสารมวลชน



ในปี 1948 Frank Wisner ได้ทำการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ผู้อำนวยการพิเศษในการทำโครงการต่างๆ หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนชื่อเป็น OPC จึงเป็นจุดกำเนิดของการจารกรรมและเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยต่อต้านการข่าวกรองในสาขาของ CIA ทางด้าน Wisner ได้พูดถึงการสร้างองค์กรที่ “ทำการโฆษณาชวนเชื่อ ,ทำสงครามเศรษฐกิจ การดำเนินการควบคุมป้องกัน ประกอบไปด้วยการก่อวินาศกรรม,การต่อต้านการก่อวินาศกรรม ,การโค่นล้มและการอพยพ การล้มล้างประเทศฝ่ายศัตรู ประกอบไปด้วยการสนับสนุนต่อต้านรัฐบาลโดยใช้องค์กรใต้ดิน และทำการสนับสนุนองค์กรต่อต้านคอมมิวนิสต์ในแต่ละประเทศที่ทำการสนับสนุนคอมมิวนิสต์”

ปีต่อมาทางด้าน Wisner ก็ได้ก่อตั้งโครงการ Mockingbird ซึ่งเป็นโปรแกรมทำการครอบงำสื่อสารมวลชนในประเทศอเมริกา ซึ่ง Wisner ได้ใช้นอมินี Philip Graham (หนังสือพิมพ์ Washington Post) ให้ดำเนินการโครงการภายในอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ ตัว Graham เองก็ได้ใช้นอมินีคนอื่นๆที่ทำงานเป็นหน่วยข่าวกรองทางด้านการทหารระหว่างช่วงสงครามด้วย ซึ่งประกอบไปด้วย James Truitt, Russell Wiggins, Phil Geyelin, John Hayes กับ Alan Barth. เช่นเดียวกับ Stewart Alsop, Joseph Alsop กับ James Reston ก็เป็นนอมินีภายใน Georgetown Set สอดคล้องกับ Deborah Davis ผู้เขียนหนังสือ Kathrine The Great (1979) ได้กล่าวถึงในช่วงก่อนปี 1950 ว่า Wisner ได้เป็นหนี้บุญคุณกับสมาชิกต่างๆหลายคนในหนังสือพิมพ์ New York Times ,Newsweek,CBS กับสื่อสารมวลชนที่อื่นๆ

ในปี 1951 Allen W.Dulles ก็ได้ทำการเกลี้ยกล่อม Cord Meyer ให้เข้าร่วมทำงานกับ CIA อย่างไรก็ตามก็มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าเขาทำงานเป็นนอมินีมาเป็นเวลาหลายปีก่อนหน้านี้และยังเป็นสายลับให้กับองค์กรต่างๆที่เขาเป็นสมาชิกในช่วงหลังปี 1940 สอดคล้องกับ Deborah Davis ได้รายงานว่า Meyer ได้ทำงานให้กับโครงการ Mockingbird

นักหนังสือพิมพ์หลายคนก็อยู่ภายใต้การดำเนินการโครงการ Mockingbird คนหนึ่งก็คือ Joseph Alsop ซึ่งเป็นคนเขียนบทความให้กับหนังสือหลายแห่งกว่า 300 ชิ้น นักหนังสือพิมพ์คนอื่นๆก็ได้รับการสนับสนุนจาก CIA เช่น  Stewart Alsop (New York Herald Tribune), Ben Bradlee (Newsweek), James Reston (New York Times), C. D. Jackson (Time Magazine), Walter Pincus (Washington Post), Walter Winchell (New York Daily Mirror), Drew Pearson, Walter Lippmann, William Allen White, Edgar Ansel Mowrer (Chicago Daily News), Hal Hendrix (Miami News), Whitelaw Reid  (New York Herald Tribune), Jerry O'Leary (Washington Star), William C. Baggs (Miami News), Herb Gold (Miami News) กับ Charles L. Bartlett (Chattanooga Times) สอดคล้องกับ Nina Burleigh ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือ A Very Private Woman (1998) บางครั้งนักหนังสือพิมพ์หลายคนก็ได้ทำการเขียนบทความต่างๆโดยได้รับมอบหมายมาจาก Frank Wisner เช่นกันทางด้าน CIA ก็ได้ดำเนินการให้ข้อมูลกับพวกเขาสำหรับการปฎิบัติการนี้

หลังจากปี 1953 เครือข่ายก็มีการตรวจสอบโดย Allen W.Dulles  ผู้อำนวยการ CIA โดยในเวลานี้โครงการ Mockingbird ก็มีอำนาจอิทธิพลในการครอบงำหนังสือพิมพ์มากกว่า 25 ฉบับและก็มีเครือข่ายเชื่อมโยงไปยังเจ้าหน้าที่วงกว้าง ซึ่งองค์กรต่างๆเหล่านี้ก็มีการดำเนินการโดยผู้คนอย่างเช่น  William Paley (CBS), Henry Luce (Time Magazine and Life Magazine), Arthur Hays Sulzberger (New York Times), Helen Rogers Reid (New York Herald Tribune), Dorothy Schiff (New York Post) ,เพื่อนของ Alfred (เป็นบรรณาธิการบริหารของ Washington Post) ,Barry Bingham (Louisville Courier-Journal) และ James S. Copley (Copley News Services)

ทางด้าน OPC ก็ได้รับเงินทุนท่อน้ำเลี้ยงจากการดำเนินโครงการ Marshall เงินทุนบางส่วนนี้ก็มีการนำไปเป็นค่าใช้จ่ายติดสินบินให้กับนักหนังสือพิมพ์หลายคนกับสื่อสิ่งพิมพ์หลายแห่ง ทางด้าน Frank Wisner ก็มองหาแนวโน้มน้าวชักจูงประชาชนให้เกิดความหวาดกลัวต่อภัยคอมมิวนิสต์ ในปี 1954 Wisner ก็ได้จัดงบเงินทุนให้ดำเนินผลิตหนังฮอลลีวูดเรื่อง Animal Farm ซึ่งดัดแปลงมาจากหนังสือที่เขียนโดย George Orwell

สอดคล้องกับ Alex Constantine (Mockingbird : The Subversion Of The Free Press โดย CIA) ได้รายงานว่า ในช่วงปี 1950 “มีเจ้าหน้าที่จำนวน 3000 คนกับเจ้าหน้าที่ CIA สุดท้ายก็ได้ดำเนินปฎิบัติการโฆษณาชวนเชื่อ” เช่นกันทางด้าน Wisner เองก็ได้ทำการสกัดกั้นหนังสือพิมพ์หลายฉบับไม่ให้รายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจริง ตัวอย่างเช่น รายงาน CIA เกี่ยวกับแผนการโค่นล้มรัฐบาลที่อิหร่านกับกัวเตมาลา

ทางด้าน Henry Luce ซึ่งเป็นเจ้าของสื่อสารมวลชนยักษ์ใหญ่ถือเป็นกุญแจสำคัญสำคัญในการปฎิบัติการ Mockingbird โดยทางด้าน David Halberstam ได้เน้นย้ำในหนังสือ The Powers That Be (1979) เอาไว้ว่า “Luce เล่นการเมืองในช่วงหลังสงครามและ Time ก็สนับสนุนฝ่ายพรรครีพับลิกันอย่างเต็มที่ เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจกับการที่พาดหัวข่าวที่ว่า Truman พ่ายแพ้ให้กับ Dewey ในปี 1948 จากนั้นในช่วงปี 1949  ประเทศจีนก็ถูกโค่นล้ม ฝ่ายประชาธิปไตยล้มเหลวจากรัฐบาลเจียง  และดูเหมือนจะทำให้เขากังวลมากจนเกินไป ทางด้าน Truman หรือแม้แต่ Acheson ก็ได้จ่ายใต้โต๊ะให้กับ Time ในการดำเนินการเรื่องนี้และเชียร์ฝ่ายการเมืองที่เป็นพวกเดียวกัน กลิ่นเลือดจึงล่องลอยอยู่ในอากาศ และความกระหายตอนนี้ทำให้ Luce ได้ผลักดันให้พรรครีพับลิกันมีอำนาจมากขึ้น เหมือนกับว่า Luce กำลังยืนอยู่ตรงข้ามกับผู้นำฝ่ายตรงข้ามที่มาจากการเลือกตั้ง ผู้อยู่เบื้องหลังที่ล้มเหลวต่อการสร้างผู้นำ การที่รัฐบาลฝ่ายขวาของจีนถูกโค่นล้มและการเรืองอำนาจของฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ในช่วงหลังสงครามก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการต่อต้านฝ่ายพรรคเดโมแครตที่มีการดำเนินนโยบายอ่อนข้อกับคอมมิวนิสต์”

Luce ได้ใช้นิตยสารของเขาในการทำให้ Dwight D.Eisenhower ชนะเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีได้ ในปี 1953 Eisenhower ได้แต่งตั้งให้ Clare Booth Luce เป็นเอกราชทูตประจำประเทศอิตาลี ซึ่งถือเป็นผู้หญิงชาวอเมริกันคนแรกของประเทศ ทางด้าน Claudio Accogli นักประวัติศาสตร์ชาวอิตาลีก็ได้ทำการโต้แย้งว่า Luce เป็นคนที่มีความเชื่อมโยงในการเคลื่อนไหวต่อต้านคอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าที่ CIA อย่าง Larry Hancock ก็ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากการเคลื่อนไหวทางการเมืองกับการใช้จ่ายงบประมาณอย่างไร้ขีดจำกัด (ประกอบไปด้วยการสนับสนุนให้เงินทุนกับกองทัพใต้ดิน SIFAR/อิตาลี) ทางด้าน Luce กับ CIA ก็มีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการปกปิดการแทรกแซงกิจการของรัฐบาลฝ่ายซ้าย ซึ่งมีพันธมิตรระหว่างพรรคประชาธิปไตยคริสเตียน (DC) กับพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (PSI)

ทางด้าน Jonathan P.Herzog  ผู้เขียนหนังสือ The Spiritual-Industrial Complex : America’s Religious Battle Against Communism In The Early Cold War (2011) ก็ได้ทำการโต้แย้งว่า Luce ศรัทธาในศาสนา “แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์เหมือนกับ Mundt, Cardinal Spellman, และ Chambers ในฐานะที่เป็นพันธมิตร เขาก็มีมุมมองแนวคิดในหลักคอมมิวนิสต์ในทางที่แตกต่างกันไป ในมุมมองของเขาก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นภัยร้ายแรง เช่นเดียวกับภรรยาของเขา Clare ซึ่งเขามีเข้าใจในเรื่องความศรัทธาการยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คน หากว่าศาสนามีผู้คนศรัทธาน้อยลงเรื่อยๆ ก็จะมีความเชื่ออื่นๆเข้ามาแทนที่ จากนั้นความสำเร็จของคอมมิวนิสต์ไม่ได้มาจากการเผยแพร่ความเชื่อเท่านั้น แต่เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้คนเข้าใจได้ว่า จิตวิญญาณไม่สามารถค้นพบได้ในศาสนาคริสต์อีกต่อไป การโฆษณาชวนเชื่อสุดช็อคของฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์กับความเชื่อในประชาธิปไตยในอดีตก็แสดงให้เห็นว่า ทางด้านประเทศอเมริกาได้ล้มเหลวต่อการจับกุมฝ่ายลัทธิมาร์กซ์ที่เพิ่มมากขึ้น แต่หากว่าชาวอเมริกันปราศจากความเชื่อทางด้านจิตวิญญาณ หากพวกเขาทำให้ศาสนาที่พวกเขาศรัทธาเปรียบเหมือนกับเรื่องทางการทหารกับอำนาจทางเศรษฐกิจ คอมมิวนิสต์ก็จะค่อยๆมีบทบาทลดน้อยลง

ทางด้าน Warren Hinckle ได้ทำการโต้แย้งว่า “Henry Luce เชื่อว่าศีลธรรมได้ถูกบิดเบือนไปจากวิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งภาพเรือรบที่ทาง Luce ประจำการอยู่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทางช่างภาพหนังสือพิมพ์เข้าใจถึงความสำคัญได้ แม้ว่าข้อความที่ใส่ในรูปภาพต่างๆนั้น ก็จะมีประโยคหลายพันคำที่มีการบิดเบือนแนวคิดที่ทำให้เข้าใจผิดที่กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงขึ้นมา” ทางด้านนักเขียนการ์ตูนอย่าง Herbert Block ก็ได้ทำการวิพากษ์ว่า “Luce ต้องการที่จะช่วยเหลือนักหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกัน ก็คือเขาได้ยื่นมือช่วยเหลือผู้คนในหนังสือพิมพ์เมื่อวานและวันนี้ก็เปลี่ยนเศษขยะให้กลายเป็นของที่ดูมีค่า”

Thomas Braden หัวหน้า IOD ถือเป็นหัวหอกสำคัญในการปฎิบัติการ Mockingbird หลายปีต่อมาเขาก็ได้ทำการเปิดเผยให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ “หากผู้อำนวยการ CIA ต้องการที่จะยืดเวลาออกไปในการพูดกับผู้นำแรงงานในยุโรปที่คาดว่าเขาจะคิดตรงกัน ซึ่งเขาก็สามารถว่าจ้างด้วยเงินจำนวน 5 หมื่นดอลลาร์ให้กับผู้นำแรงงานได้ เขาเองก็เป็นคนทำงานดีและปฎิบัติหน้าที่ได้ดี เขาสามารถรับมือกับผู้นำแรงงานได้ และก็ไม่เคยคิดที่จะจับทุกๆคน ยังไม่มีข้อจำกัดสำหรับเงินที่ทำการใช้จ่ายและไม่มีข้อจำกัดสำหรับผู้คนในการว่าจ้างและไม่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวที่มีความจำเป็นไปสู่การยับยั้งการทำสงคราม สงครามลับซึ่งมีหลายประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง บางทีก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยนักหนังสือพิมพ์ถือเป็นเป้าหมายสำคัญ สหภาพแรงงานหลายแห่งก็ต้องเจาะจงเป้าหมายเฉพาะๆไปที่มีการเคลื่อนไหวสนับสนุนเงินทุนให้กับคอมมิวนิสต์”

ในเดือนสิงหาคม ปี 1952 ทางด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายกับเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการพิเศษ (ฝ่ายจารกรรม) ก็ได้ให้ความร่วมมือกับฝ่ายอำนวยการทางด้านการวางแผน (DPP) ทำให้ Frank Wisner ก็เป็นหัวหอกองค์กรใหม่นี้และทางด้าน Richard Helm ก็กลายเป็นหัวหน้าฝ่ายปฎิบัติการ ทำให้โครงการ Mockingbird ตอนนี้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ DPP

J.Edgar Hoover ก็กลายเป็นคนที่ไม่ไว้วางใจในผู้มีอิทธิพลใน CIA ซึ่งเขาได้อธิบายถึงฝ่าย OPC ในฐานะที่เป็น “แก๊งค์ของ Wisner” และก็ได้ทำการเริ่มสืบค้นเรื่องราวต่างๆของพวกเขาในอดีต ในไม่นานเขาก็พบว่า บางคนได้ทำการเคลื่อนไหวการเมืองให้กับฝ่ายซ้ายในปี 1930 ข้อมูลนี้ก็ได้กลายเป็นเครื่องมือในการโจมตีสมาชิกแต่ละคนที่อยู่ใน OPC เช่นกันทางด้าน Hoover ก็ได้ให้รายละเอียดเรื่องอื้อฉาวของ McCarthy ว่า Frank Wisner ได้ทำการเข้าพบกับเจ้าหญิง Caradja ที่ประเทศโรมาเนียในช่วงสงคราม Hoover ก็ได้กล่าวว่า Caradja เป็นสายลับให้กับโซเวียต

เช่นกันทางด้าน Joseph McCarthy ก็ได้กล่าวหาสมาชิกระดับสูงหลายคนใน CIA ที่ทำเรื่องเสี่ยงที่กระทบต่อภัยความมั่นคง McCarthy ได้กล่าวว่า CIA เป็น “หลุมยุบของคอมมิวนิสต์” และกล่าวว่า เขาพยายามที่จะทำลายโครงการหลายร้อยกว่าโครงการ เป้าหมายแรกที่เขามองก็คือ Cord Meyer ซึ่งยังคงทำงานให้กับโครงการ Mockingbird อยู่ ในเดือนสิงหาคม ปี 1953 Richard Helms ซึ่งเป็นผู้รักษาการแทน Wisner ที่ OPC ก็ได้บอกกับ Meyer ว่า Joseph McCarthy ได้กล่าวหาเขาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ทางด้าน FBI ก็ได้ทำการเพิ่มข้อมูลป้ายสีเขาโดยประกาศว่า ไม่ยอมรับกับสิ่งที่ Meyer ได้เรียกการกระทำแบบนี้ว่า “ชำระล้างภัยต่อความมั่นคง” อย่างไรก็ตาม FBI ก็ปฎิเสธที่จะอธิบายถึงหลักฐานที่พวกเขาได้ทำการหักล้าง Meyer ทั้ง Allen W.Dulles และทั้งคู่ต่างก็แก้ตัวให้กับเขาและก็ปฎิเสธที่จะให้ FBI สอบถามเกี่ยวกับ Meyer
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่