Operation Chaos : ปฎิบัติการกำจัดผู้ประท้วงต่อต้านสงคราม



เป็นเวลามากกว่า 15 ปีแล้วที่ CIA พร้อมกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำนวนมากได้กระทำละเมิดกฎหมายภายใต้ปฎิบัติการที่ชื่อว่า Operation Chaos ซึ่งถือเป็นโปรแกรมใหญ่และมีการดำเนินการแพร่หลายไปทั่วประเทศ ระหว่างที่มีการปฎิบัติการ Chaos นั้น ทาง CIA ได้ทำการสอดแนมพลเมืองอเมริกันมากกว่าพันคน โดย CIA ก็ได้มีการดำเนินการลับๆนี้ระหว่างที่ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ดำรงตำแหน่งจนถึงนิกสันก็ได้ใช้ปฎิบัติการนี้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง

ปฎิบัติการ Chaos มีการเริ่มต้นขึ้นจนถึงปี 1959 เมื่อไอเซนฮาวร์ได้ใช้งาน CIA ในการฟังเสียงเหล่าผู้อพยพที่มาจากคิวบาหลังจากที่ฟิเดล คาสโตรได้ทำการปฎิวัติแล้ว ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มีการศึกษาสูงที่ดูเหมือนว่ามีใจเข้าข้างไปทางประเทศอเมริกา ทางด้าน CIA ก็ได้ทำการติดตามผู้อพยพและเริ่มจัดตั้งหน้าม้าจำนวนมากเพื่อใช้งานในการต่อต้านคาสโตรในอนาคต ทางด้านอเมริกาก็ได้พยายามอ้างเหตุผลต่างๆนาๆในการละเมิดกฎหมาย แม้ว่าไอเซนฮาวร์ได้สั่งการให้ผู้อำนวยการ FBI เจ.เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ได้ยอมรับการดำเนินการของ CIA ทางด้านสภากับประชาชนก็ไม่ได้สนใจว่าใครเป็นคนจัดตั้งขึ้น

ทางด้านฝ่ายความมั่นคงของ CIA ก็ได้ทำการติดตามกลุ่มอื่นๆในช่วงเวลานี้และก็ได้จัดตั้งเจ้าหน้าที่หลายคนสอดแนมกลุ่มการเมืองที่แตกต่างกันออกไปก็คือ CIA ได้ทำการตรวจสอบแทรกซึมไปยังกลุ่มต่างๆที่ไม่เห็นด้วยกับประเทศอเมริกาแม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวภายในประเทศอเมริกาก็ตาม ทั้ง CIA กับเจ้าหน้าที่หลายคนก็ได้ทำการติดต่อประสานไปกับผู้อพยพชาวคิวบาจนเป็นเรื่องปกติจนกระทั่งก่อรวมเป็นกลุ่มก้อน มีการเปิดรับสมัครตัวแทนก่อวินาศกรรมในการบุกรุกอ่าวหมูซึ่งไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไปที่รัฐฟลอริด้าตอนใต้ และก็ไม่เป็นความลับต่อฟิเดล คาสโตรรวมไปถึงพวกเราในเวลาต่อมา

การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ CIA จัดตั้งองค์กรต่างๆหลายแห่ง ทั้งเป็นเบื้องหน้าและดำเนินการลับๆกับผู้คนในประเทศ การดำเนินการเริ่มเข้มข้นมากขึ้นเมื่อประธานาธิบดีจอนห์สันได้อนุมัติให้ผู้อำนวยการ CIA จอนห์ แม็คคอนสร้างองค์กรใหม่ขึ้นภายใต้ชื่อ Domestic Operations Division (DOD) ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำขึ้นมาหลอกตารัฐสภาที่ยับยั้งไม่ให้ทาง CIA ดำเนินปฎิบัติการนี้ภายในประเทศ เรื่องนี้ถือเป็นการดูแคลนทางรัฐสภาเป็นอย่างมากในการให้ CIA เข้ามาแทรกซึมองค์ต่างๆ ทางด้านรัฐสภาไม่สามารถขัดขวางหรือไม่รู้ว่าทาง CIA กำลังทำอะไรอยู่ และไม่ว่าประธานาธิบดีหรือผู้อำนวยการ CIA จะบอกพวกเขายังไง ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นเจ.เอ็ดการ์ ฮูเวอร์หรือไม่ก็ตาม โดยทั่วไปก็จะต้องตระหนักแล้วว่า ทาง CIA กำลังใช้งาน FBI ดำเนินการอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถรับรู้ได้

ในเอกสารเกี่ยวกับ DOD นั้น ขอบเขตของการเคลื่อนไหวก็มีการควบคุมดูแลจากส่วนกลาง ทั้งมีการสนับสนุนและมีการทำงานประสานงานกันอย่างลับๆในการดำเนินการภายในประเทศอเมริกา ซึ่งส่วนหนึ่งมีการดำเนินการทางการทูตไปยัง NSA เช่นกัน CIA ก็ยังดำเนินการควบคุม DCS ส่วนหนึ่ง การดำเนินการมีการวางแผนทั้งหาข้อมูลและซักไซ้หาข้อมูลจากพลเมืองชาวอเมริกาที่เดินทางไปยังต่างประเทศในเขตที่ทางฝ่ายข่าวกรองให้ความสนใจ เนื่องจากมีการสอบถามในสนามบินแต่ละแห่งระหว่างบนเครื่องบินกับบริเวณควบคุมดูแลผู้อพยพ ในทางเทคนิคแล้วการดำเนินการไม่สามารถทำการสอบถามพลเมืองได้ เช่นกัน DCS ก็ได้ช่วยในการควบคุมดูแลการเดินทางโดยจับตาเฝ้าดูผู้มาถึงและแผนกตรวจคนเข้าเมืองและชาวต่างชาติ นอกจากนั้น CIA ก็ยังใช้อดีตเจ้าหน้าที่หลายคน ผู้มีความใกล้ชิดและเพื่อนๆในการช่วยปลอมตัวแอบแฝงโดยกลุ่มคณะศิษย์เก่าที่มีการจัดเตรียมโดย CIA เพื่อสร้างความไว้วางใจกับผู้คนในการดำเนินการผิดกฎหมาย


การให้เหตุผลแก้ตัว

ทั้ง DCS, DOD, เครือข่ายศิษย์เก่าและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของ CIA ก็ได้ดำเนินการโดยไม่ผ่านการอนุมัติทางรัฐสภาหรือไม่ให้สาธารณชนรับรู้ ทั้งหมดนี้ถือเป็นการกระทำที่นำไปสู่การคุกคามโดยอ้างถึงภัยความมั่นคงและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของประธานาธิบดี เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1965 เมื่อประธานาธิบดีจอนห์สันได้ให้คำแนะนำกับแม็คคอนทำการวิเคราะห์ปัญหาการประท้วงของกลุ่มนักศึกษาที่ต่อต้านสงครามเวียดนามที่เริ่มลุกลามบานปลายขึ้นมา ก่อนหน้านี้จอนห์สันก็ได้รับแหล่งข้อมูลจาก FBI ฝ่ายข่าวกรอง เขาได้รับข้อมูลบิดเบือนจากมุมมองแนวคิดของฮูเวอร์ ซึ่งบ่อยครั้งมักจะละเลยกับความจริงที่เกิดขึ้น เนื่องจากฮูเวอร์ยืนกรานว่า คอมมิวนิสต์ต่างประเทศอยู่เบื้องหลังกลุ่มนักศึกษาที่ทำการประท้วง จอนห์สันจึงออกคำสั่งให้ทาง CIA ว่าจะยืนยันหรือปฎิเสธคำชี้แนะนำของเขา ทั้งหมดนี้ก็นำไปสู่เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

การได้รับข้อมูลข่าวกรองก็มาจากตัวประธานาธิบดี เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของ CIA ฝ่ายต่อต้านข่าวกรองและกลุ่มที่สร้างขึ้นมาใหม่อย่าง DOD ที่ตอนนี้ก็ปลอมตัวเป็นกลุ่มคณะศิษย์เก่านักศึกษาในการให้ความช่วยเหลือ ส่วนใหญ่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่เก่าในการบริการวางแผนกลยุทธ์ให้กับผู้คนในธุรกิจ แรงงาน การธนาคารและตามสถาบันต่างๆ ในสถาบันนั้น CIA ก็ได้ทำการสอดแนมนักเรียนและตามวิทยาเขตมหาลัยที่ต่างๆ ทางด้าน FBI ก็ได้ทำการเก็บข้อมูลข่าวกรองตามสถาบันแห่งเดียวกัน  4.ความแตกต่างระหว่างการรวบรวมข้อมูลก็คือก็คือ การเก็บข้อมูลในช่วงกลางวันกับกลางคืน ทางด้านเจ้าหน้าที่พิเศษ FBI กับคนแจ้งข่าวก็ได้ทำการมองหาข้อมูลตามหลักทฤษฎีของฮูเวอร์ ซึ่ง CIA ยังมีเป้าหมายมากไปกว่านั้น


ในเดือนเมษายน ปี 1965 จอนห์สันได้แต่งตั้งพลเรือโทวิลเลี่ยม ราบอน เป็นผู้อำนวยการ CIA (DCI) กับริชาร์ด เฮมส์ เป็นรองผู้อำนวยการ สืบเนื่องจากวันที่ราบอนได้พบปะพูดคุยกับเฮมส์ในฐานะ CIA เขาก็ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องบ้าๆหรือสนับสนุนการดำเนินการแบบนี้ เขาจึงไม่ได้สนใจเฮมส์ในส่วนนี้ ในวงการเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองที่มีตำแหน่งระดับสูง (เขาเองก็เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนในปี 1962 และเป็นรองผู้อำนวยการ DCI ในช่วง 1965-66) และคนที่สามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้นั้น  เฮมส์ก็ได้เข้ามาใน DCI ในช่วงเดือนมิถุนายน ปี 1966 ในฐานะที่เป็นรองผู้อำนวยการ เขาก็ได้ดำเนินการให้ CIA ดำเนินการรวบรวมข่าวกรองอย่างช้าๆและทำความเข้าใจกับคำสั่งของประธานาธิบดีจอนห์สันเพื่อที่จะทำการรวบรวมข้อมูลข่าวกรองตามแหล่งมหาวิทยาลัยกับวิทยาเขต พร้อมกับได้รับคำแนะนำมากกว่าไปกว่า “อย่าให้ถูกจับได้” ตอนนี้เฮมส์ก็เป็นอิสระในการควบคุมคำสั่งของจอนห์สันและในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 1967 ทางด้านฝ่ายรวบรวมข้อมูลข่าวกรองก็ได้ทำการละเมิดกฎหมายอย่างกว้างขว้างและทำให้เขาสร้างกลุ่มปฎิบัติการพิเศษ (SOG) กลุ่ม SOG นี้ก็เป็นกลุ่มที่ทำการต่อต้านข้อมูลข่าวกรองของ DPP และทำการจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวอย่างสันติที่อเมริกาให้ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองปัจจุบันได้รับรู้

การรณรงค์ประท้วงต่อต้านสงครามได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ทางด้าน CIA ทำการตอบโต้กับผู้คนด้วย 2 วิธีด้วยกันก็คือ หนึ่งโครงการต่อต้านผู้ประท้วงได้มีการออกแบบโดย CIA จากการส่งตัวแทนรวบรวมข้อมูลต่างๆ ภายใต้โปรแกรมนี้ ทาง CIA ก็ได้ขอความร่วมมือกับผู้บริหารต่างๆในมหาวิทยาลัย ผู้ดูแลวิทยาเขตและตำรวจท้องถิ่นช่วยในการระบุข้อมูลของนักเคลื่อนไหวต่อต้านสงคราม ผู้ที่ไม่เห็นด้วยในนโยบายการเมืองและก็ฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง สุดท้ายข้อมูลก็ได้มีการรวบรวมทั้งหมดไปยังรัฐบาลจากตัวแทนแต่ละคนที่ได้ถูกส่งไปตามวิทยาเขตต่างๆ และยังมีกลุ่มลับ DOD ที่ได้เข้าไปแทรกซึมนักศึกษาหลายพันคนและอีกหลายกลุ่มด้วยกัน ทางด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง CIA ก็ได้สร้างโปรเจ็คที่มีชื่อว่า MERRIMAC เพื่อใช้ในการส่งสัญญาณเตือนของฝ่ายผู้ประท้วงที่ทำการต่อต้าน CIA หรือเจ้าหน้าที่ทำงานในแถบวอชิงตัน

ภายใต้การดำเนินการทั้ง 2 โปรเจ็คนี้ เจ้าหน้าที่หลายคนใน CIA ได้เข้าไปแทรกซึมองค์กรภาคพลเมืองหลายกลุ่มและกลุ่มนักเคลื่อนไหวต่างๆ โดยมีการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นหลายแผนกและเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองในการใช้ทักษะตำรวจและทำการเริ่มแทรกซึมสวมบทเป็นผู้ร้ายอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกข้อมูลไปในทางที่ผิด การวางระเบิด การป้ายสีหาว่าเป็นผู้ร้าย การแชร์ข้อมูลไต่สวนและให้ข้อมูลผิดๆ ทีมงาน CIA ได้ทำการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์.ให้กับกรมตำรวจจำนวนมากและก็ดูบันทึกสถิติในการจับกุม ทั้งดูรายชื่อผู้ต้องสงสัยและรายงานข้อมูลข่าวกรอง กรมตำรวจส่วนใหญ่มีการติดต่อประสานงานกับทาง CIA ในทางที่ผิดๆ โดยทำการตรวจค้นบ้านผู้ต้องสงสัยอย่างไม่มีเหตุผล จนถึงรายงานข้อมูลข่าวกรองไปยังประธานาธิบดีจอนห์สันและต่อมาก็ได้ขนานนามกลุ่มนักศึกษาว่าเป็นเด็กแก่แดด

กลุ่ม SOG มีการควบคุมโดยริชาร์ด โอเบอร์ซึ่งเป็นคนของ CIA ในการประเมินบันทึกปฎิบัติการข่าวกรองในสถานบัน เมื่อนิตยสาร Ramparts ได้เปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างสมาคมนักศึกษาแห่งชาติกับ CIA ในช่วงปี 1967 นั้น ทางด้าน โอเบอร์ก็ได้ทำการสืบสวนสมาชิกนิตยสารแต่ละคน ทั้งเพื่อนๆของพวกเขาและมีความเป็นไปได้ว่ามีความเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองต่างประเทศ

ในเดือนกรกฎาคม ปี 1968 เฮมส์ได้ตัดสินใจที่จะรวบรวมข้อมูลข่าวกรองที่ได้รับมาเอาไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน การปฎิบัติการใหม่ใช้ชื่อว่า CHOAS และโอเบอร์ก็ได้รับมอบหมายดูแลงานนี้ การดำเนินการเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้นไม่ใช่แค่กับประธานาธิบดีจอนห์สันเท่านั้น แต่ยังมีที่ปรึกษาหลักของเขาก็คือ ดีน รัสกับวอลต์ รอสโท ทั้งสองคนนี้ต่างโน้มน้าวว่าฮูเวอร์คิดถูกและบอกว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองต่างประเทศมีความเกี่ยวข้องกับการประท้วงต่อต้านการทำสงครามในประเทศอเมริกา จอนห์สันไม่ได้อยากหรือต้องการให้ทางฝ่ายข่าวกรอง CIA ถูกบงการคำสั่งโดยทาง FBI


คณะรัฐบาลของนิกสัน

หลังจากที่ริกชาร์ด นิกสันได้เข้ามาทำงานในเดือนมกราคม ปี 1969 เฮมส์ก็ยังดำเนินแผนการต่อไปพร้อมกับให้การรับรองว่า จะไม่ให้เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ตามสาธารณะ แต่ตัวเขาเริ่มเผชิญกับความกดดันกับสิ่งที่เขาได้ขัดแย้งกับ CIA

ส่วนหนึ่งทาง CIA ต้องการดำเนินปฎิบัติการนี้เข้มข้นขึ้นมาไปอีก แม้ว่าอีกส่วนหนึ่งก็อยากให้มองว่า Operation CHAOS และการดำเนินการแบบเดียวกันนั้นเป็นเรื่องเกินกว่าที่จะยอมรับได้ ทั้งในการละเมิดกฎหมายกับบทบัญญัติของ CIA ก็ดี ในการลดความขัดแย้งนี้ เฮมส์ได้ออกคำสั่งให้ทางโอเบอร์หยุดพูดคุยเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆให้กับเจ้านายของเขาในหน่วยฝ่ายต่อต้านข่าวกรอง เจมส์ เยซู อังเลตัน อย่างไรก็ตามการดำเนินการกับผู้ประท้วงก็ยังทำต่อไป ขณะเดียวกันนายทหารทำเนียบขาวและผู้ภักดีอย่างทอม ชาร์ลี ฮูตตัน ก็ได้เพิ่มมาตรการในการดำเนินการให้เข้มข้นขึ้นไปอีก

ฮูตตันมีความทะเยอทะยานที่จะยืดเวลาแผนการ CHAOS ซึ่งรวมไปถึงการให้เจ้าหน้าที่แทรกซึมทั่วประเทศและทำการแชร์ข้อมูลให้กับฝ่ายข่าวกรอง FBI ที่มีการควบคุมโดย วิลเลี่ยม ซูลิแวน ยังมีเจ้าหน้าที่อีก 50 คนเพิ่มขึ้นอีกจากแผนการ CHAOS ซึ่งส่วนใหญ่มีการมอบหมายภารกิจแต่ละสัปดาห์และทำการฝึกฝนปกปิดความลับจากกลุ่มฝ่ายซ้าย พวกเขาเองก็เคยกลับมาที่อเมริกาและทำการลงทะเบียนหลักสูตรมหาลัยและตามวิทยาเขตต่างๆโดยมีหลักฐานประกาศนียบัตรรับรองเอาไว้

ในเดือนมิถุนายน ปี 1970 นิกสันได้พบปะกับฮูเวอร์,เฮมส์,ผู้อำนวยการ NSA พลเรือเอก โนเอล เกรย์เรอร์ และเจ้าหน้าฝ่ายข่าวกรองทางด้านความมั่นคงพลตรีโดนัลด์ วี.เบนเน็ตต์ และทำการบอกกับพวกเขาว่า เขาต้องการทุกๆคนทำงานประสานกันและมีสมาธิในการทำงานจากแรงต้านทานของผู้คัดค้าน การทำแบบนี้ ทำให้เขาได้ก่อตั้งคณะกรรมการทางด้านข่าวกรอง ICI โดยมีประธานก็คือ ฮูเวอร์ มีรายงานครั้งแรกจาก ICI ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน มีการให้คำแนะนำว่า จะต้องดำเนินการตรวจค้น ดักฟังและทำการใช้ข้อมูลเปิดโปรแกรมดูข้อมูล ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ปี 1970 ฮูตตันได้บอกกับสมาชิกของ ICI ว่า คำแนะนำต่างๆเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากทำเนียบขาว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่