>> ตอนที่ 1 - เฮเทอร์ (1/2)
http://ppantip.com/topic/35130752
กลิ่นควันไฟและไอแดดนั้นราวกับจะปลุกผู้ที่หลับใหลให้ตื่นคืนมา หญิงสาวค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น เมื่อได้สอดส่ายมองสิ่งรอบกาย คิ้วเรียวก็ขมวดเข้มยามพยายามยันกายให้ลุกขึ้น ทว่ายังดูอ่อนเพลียเกินกว่าจะทำได้ง่ายๆอย่างใจนึก
“ตื่นแล้วรึ”
องค์ฟาโรห์เอ่ยขึ้น ทำให้ผู้ถูกทักถึงกับสะดุ้ง
“ข้า..เอ่อ” นางพยายามจะตอบ ทว่าดูจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“รู้สึกยังไงบ้าง” พระองค์เอ่ยถามขณะจ้องมองอากัปกิริยาของนางซึ่งดูอ่อนเพลียและสับสน
“ปวดหัว...ท่าน เอ่อ” นางตอบและพยายามจะถามกลับ
“ข้า?”
“ท่าน เอ่อ ท่าน เป็นใคร” ในที่สุดนางก็ถามคำถามที่เป็นคำถามจริงๆได้เสียที
ฟาโรห์เมรเรนฮอร์ซีซิสหันซ้ายหันขวา กวาดสายตาไปทั่วห้องเพื่อให้แน่ใจว่านางกียาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ก่อนตอบคำถามด้วยเสียงอันเบากว่าเดิม
“ข้ามีนามว่า นาเมส”
ครั้นเห็นว่านางยังดูงุนงง จึงกอดอก และโน้มตัวเข้าใกล้ แทบจะต้องการ ‘กระซิบ’ มากกว่าจะพูดคุยธรรมดา
“เมื่อหลายชั่วโมงที่แล้วข้าช่วยเจ้าขึ้นมาจากน้ำ เจ้ามีนามว่าอะไร มาจากไหนรึ”
คำถามง่ายๆนั้น แต่กลับทำให้คนถูกถามนิ่ง ตะลึง
หญิงสาวเงียบงันไปชั่วครู่ แววตานั้นสั่นระรัวเช่นคนที่กำลังพบบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ตื่นกลัวมากขึ้นทุกที
“ข้า” น้ำเสียงนั้นสั่นไหว “ข้าไม่รู้”
ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วกลับซีดหนักเข้าไปอีก ลนลานถามพระองค์กลับ
“ท่าน ท่านไม่รู้จักข้า แล้วท่านช่วยข้าไว้ได้อย่างไร”
“ไม่รู้สิ อยู่ๆเจ้าก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำตรงนั้น” ตรัสพร้อมกับชี้มือประกอบไปทางแม่น้ำ ทรงตวัดพระเนตรมองนางที่เริ่มมีน้ำตาเอ่อที่ดวงตาคู่น้อย “อย่าบอกนะ ว่าเจ้าจำอะไรไม่ได้เลย”
นางพยักหน้าแทบคำตอบ น้ำตาปริ่มจะไหลลงมาจากขอบตา
“เอาเถอะ เจ้าคงยังสับสน พรุ่งนี้อาจนึกออกก็ได้”
มือน้อยคู่นั่นยังสั่นเทาอยู่ ดูก็รู้ว่านางกำลังสับสนอย่างหนักแต่มิพักจะฟูมฟาย ความรู้สึกบางอย่างแล่นวูบเข้ามา ทรงรู้สึกอยากจะดึงนางมากอดเสียแทนคำปลอบประโลมทั้งหมด แต่นั้นคงเป็นการกระทำที่ร้ายกาจสำหรับชายหนุ่มหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกัน โดยเฉพาะในเวลาที่อีกฝ่ายกำลังสับสนรุนแรง
“กินเสียสิ”
ที่สุดก็ทรงดึงความสนใจด้วยการยื่นขนมปังอบแผ่นใหญ่ให้นาง อดนึกตำหนิองค์เองไม่ได้กับความรู้สึกเมื่อครู่
หญิงสาวหันมองพระองค์ด้วยดวงตาเหม่อลอย น้ำตาที่รื้นอยู่ขอบตาพลันไหลรินอาบแก้ม ฟาโรห์ทรงกำหัตถ์ข้างหนึ่งไว้ บังคับองค์ให้เข้าใกล้นางเพียงขอบขนมปังเท่านั้น
ในที่สุดนางก็รับอาหารไปด้วยท่าทางสับสน ดูว่าจะไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรอยู่ สมาธิและความกังวลทั้งหลายอยู่กับความทรงจำที่หายไปเสียแล้ว ทว่าเมื่อขนมปังคำแรกเข้าปาก ความหิวก็ราวกับจะจู่โจมนางในทันใดเช่นกัน หญิงสาวคงจะเพิ่งรู้ตัวว่าหิวมาก จึงหันไปสนใจกับอาหารราวกับไม่ได้กินสิ่งใดมาเป็นแรมปี
ฟาโรห์ทรงมองนางอย่างสงบ โล่งพระทัยเล็กน้อยที่ขนมปังทำหน้าที่ดึงความสนใจนางได้ในตอนนี้ นางรีบกินแต่ไม่มูมมาม ทรงยื่นขนมปังอีกแผ่นให้ ทว่านางกลับส่ายหน้า
“หากไม่รบกวน ข้าขอน้ำจะได้หรือไม่”
นางถามอย่างสุภาพและเกรงใจ พระองค์ทรงพยักพระพักต์และยื่นแก้วน้ำให้ หญิงสาวรับมาดื่มอย่างกระหายก่อนจะยื่นขออีกเป็นแก้วที่สอง
“ที่นี่บ้านของท่านหรือ”
นางเอ่ยถามเสียงเบา ดูท่าจะได้เรียนรู้ว่าไม่ควรเจรจาด้วยเสียงดังนักจากกิริยาของพระองค์เมื่อครู่
“ไม่ใช่” ทรงตอบพร้อมกับหันไปสำรวจรอบกายอีกครั้ง “ข้าเองก็เป็นคนต่างถิ่น ช่วยเจ้าแล้วจึงพามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าของบ้านหลังนี้”
หญิงสาวพยักหน้ารับ กิริยาของนางดูสงบดี แต่พระองค์ไม่แน่ใจว่าหากได้ยินสิ่งที่กำลังจะบอก นางจะยังรักษากิริยาอยู่ได้หรือไม่
“กียา เจ้าของบ้านหลังนี้คิดว่า เจ้า กับ ข้า เป็นสามีภรรยากัน”
หญิงสาวเบิ่งตามองพระองค์
“ทำไม”
น้ำเสียงคล้ายจะงุนงงมากกว่าจะไม่พอใจ
“คงจะเห็นว่าข้าอุ้มเจ้ามา แต่ข้าขอแนะนำว่าเจ้าควรปล่อยให้เขามั่นใจเช่นนั้น เพื่อความปลอดภัย”
คิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากัน นางคงสับสนไม่น้อย มือของนางขยุ้มกำเสื้อไว้อย่างไม่รู้ตัว
“หากไม่สบายใจก็แล้วแต่เจ้าเถิด ข้าเองก็ไม่ได้คิดฉวยโอกาส เพียงแค่เห็นแก่ความปลอดภัยเท่านั้น”
“ปลอดภัยเช่นไร”
นางเอ่ยถามซื่อๆ แต่องค์ฟาโรห์กลับนึกเอ็นดูนางขึ้นมาอย่างประหลาด
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ดีกว่าเป็นหญิงที่ข้าไม่เคยรู้จักและไร้ความทรงจำ ผู้คนหาประโยชน์ได้มากมายจากหญิงงามตัวคนเดียว”
ใบหน้าของหญิงสาวเป็นสีชมพูระเรื่อขึ้นมา หรือเพราะพระองค์เผลอหลุดปากเอ่ยคำว่า ‘หญิงงาม’ ตามที่พระองค์เห็นออกไป
ในที่สุด นางก็พยักหน้ารับ
พระองค์โล่งพระทัยไม่น้อย ที่ยามตื่นนางก็สงบเสงี่ยมไม่ต่างจากยามหลับ เช่นที่เคยหวังเอาไว้
>>ความทรงจำใต้ผืนทราย ตอนที่ 1 - เฮเทอร์ (2/2)<<
กลิ่นควันไฟและไอแดดนั้นราวกับจะปลุกผู้ที่หลับใหลให้ตื่นคืนมา หญิงสาวค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น เมื่อได้สอดส่ายมองสิ่งรอบกาย คิ้วเรียวก็ขมวดเข้มยามพยายามยันกายให้ลุกขึ้น ทว่ายังดูอ่อนเพลียเกินกว่าจะทำได้ง่ายๆอย่างใจนึก
“ตื่นแล้วรึ”
องค์ฟาโรห์เอ่ยขึ้น ทำให้ผู้ถูกทักถึงกับสะดุ้ง
“ข้า..เอ่อ” นางพยายามจะตอบ ทว่าดูจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“รู้สึกยังไงบ้าง” พระองค์เอ่ยถามขณะจ้องมองอากัปกิริยาของนางซึ่งดูอ่อนเพลียและสับสน
“ปวดหัว...ท่าน เอ่อ” นางตอบและพยายามจะถามกลับ
“ข้า?”
“ท่าน เอ่อ ท่าน เป็นใคร” ในที่สุดนางก็ถามคำถามที่เป็นคำถามจริงๆได้เสียที
ฟาโรห์เมรเรนฮอร์ซีซิสหันซ้ายหันขวา กวาดสายตาไปทั่วห้องเพื่อให้แน่ใจว่านางกียาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ก่อนตอบคำถามด้วยเสียงอันเบากว่าเดิม
“ข้ามีนามว่า นาเมส”
ครั้นเห็นว่านางยังดูงุนงง จึงกอดอก และโน้มตัวเข้าใกล้ แทบจะต้องการ ‘กระซิบ’ มากกว่าจะพูดคุยธรรมดา
“เมื่อหลายชั่วโมงที่แล้วข้าช่วยเจ้าขึ้นมาจากน้ำ เจ้ามีนามว่าอะไร มาจากไหนรึ”
คำถามง่ายๆนั้น แต่กลับทำให้คนถูกถามนิ่ง ตะลึง
หญิงสาวเงียบงันไปชั่วครู่ แววตานั้นสั่นระรัวเช่นคนที่กำลังพบบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ตื่นกลัวมากขึ้นทุกที
“ข้า” น้ำเสียงนั้นสั่นไหว “ข้าไม่รู้”
ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วกลับซีดหนักเข้าไปอีก ลนลานถามพระองค์กลับ
“ท่าน ท่านไม่รู้จักข้า แล้วท่านช่วยข้าไว้ได้อย่างไร”
“ไม่รู้สิ อยู่ๆเจ้าก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำตรงนั้น” ตรัสพร้อมกับชี้มือประกอบไปทางแม่น้ำ ทรงตวัดพระเนตรมองนางที่เริ่มมีน้ำตาเอ่อที่ดวงตาคู่น้อย “อย่าบอกนะ ว่าเจ้าจำอะไรไม่ได้เลย”
นางพยักหน้าแทบคำตอบ น้ำตาปริ่มจะไหลลงมาจากขอบตา
“เอาเถอะ เจ้าคงยังสับสน พรุ่งนี้อาจนึกออกก็ได้”
มือน้อยคู่นั่นยังสั่นเทาอยู่ ดูก็รู้ว่านางกำลังสับสนอย่างหนักแต่มิพักจะฟูมฟาย ความรู้สึกบางอย่างแล่นวูบเข้ามา ทรงรู้สึกอยากจะดึงนางมากอดเสียแทนคำปลอบประโลมทั้งหมด แต่นั้นคงเป็นการกระทำที่ร้ายกาจสำหรับชายหนุ่มหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกัน โดยเฉพาะในเวลาที่อีกฝ่ายกำลังสับสนรุนแรง
“กินเสียสิ”
ที่สุดก็ทรงดึงความสนใจด้วยการยื่นขนมปังอบแผ่นใหญ่ให้นาง อดนึกตำหนิองค์เองไม่ได้กับความรู้สึกเมื่อครู่
หญิงสาวหันมองพระองค์ด้วยดวงตาเหม่อลอย น้ำตาที่รื้นอยู่ขอบตาพลันไหลรินอาบแก้ม ฟาโรห์ทรงกำหัตถ์ข้างหนึ่งไว้ บังคับองค์ให้เข้าใกล้นางเพียงขอบขนมปังเท่านั้น
ในที่สุดนางก็รับอาหารไปด้วยท่าทางสับสน ดูว่าจะไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรอยู่ สมาธิและความกังวลทั้งหลายอยู่กับความทรงจำที่หายไปเสียแล้ว ทว่าเมื่อขนมปังคำแรกเข้าปาก ความหิวก็ราวกับจะจู่โจมนางในทันใดเช่นกัน หญิงสาวคงจะเพิ่งรู้ตัวว่าหิวมาก จึงหันไปสนใจกับอาหารราวกับไม่ได้กินสิ่งใดมาเป็นแรมปี
ฟาโรห์ทรงมองนางอย่างสงบ โล่งพระทัยเล็กน้อยที่ขนมปังทำหน้าที่ดึงความสนใจนางได้ในตอนนี้ นางรีบกินแต่ไม่มูมมาม ทรงยื่นขนมปังอีกแผ่นให้ ทว่านางกลับส่ายหน้า
“หากไม่รบกวน ข้าขอน้ำจะได้หรือไม่”
นางถามอย่างสุภาพและเกรงใจ พระองค์ทรงพยักพระพักต์และยื่นแก้วน้ำให้ หญิงสาวรับมาดื่มอย่างกระหายก่อนจะยื่นขออีกเป็นแก้วที่สอง
“ที่นี่บ้านของท่านหรือ”
นางเอ่ยถามเสียงเบา ดูท่าจะได้เรียนรู้ว่าไม่ควรเจรจาด้วยเสียงดังนักจากกิริยาของพระองค์เมื่อครู่
“ไม่ใช่” ทรงตอบพร้อมกับหันไปสำรวจรอบกายอีกครั้ง “ข้าเองก็เป็นคนต่างถิ่น ช่วยเจ้าแล้วจึงพามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าของบ้านหลังนี้”
หญิงสาวพยักหน้ารับ กิริยาของนางดูสงบดี แต่พระองค์ไม่แน่ใจว่าหากได้ยินสิ่งที่กำลังจะบอก นางจะยังรักษากิริยาอยู่ได้หรือไม่
“กียา เจ้าของบ้านหลังนี้คิดว่า เจ้า กับ ข้า เป็นสามีภรรยากัน”
หญิงสาวเบิ่งตามองพระองค์
“ทำไม”
น้ำเสียงคล้ายจะงุนงงมากกว่าจะไม่พอใจ
“คงจะเห็นว่าข้าอุ้มเจ้ามา แต่ข้าขอแนะนำว่าเจ้าควรปล่อยให้เขามั่นใจเช่นนั้น เพื่อความปลอดภัย”
คิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากัน นางคงสับสนไม่น้อย มือของนางขยุ้มกำเสื้อไว้อย่างไม่รู้ตัว
“หากไม่สบายใจก็แล้วแต่เจ้าเถิด ข้าเองก็ไม่ได้คิดฉวยโอกาส เพียงแค่เห็นแก่ความปลอดภัยเท่านั้น”
“ปลอดภัยเช่นไร”
นางเอ่ยถามซื่อๆ แต่องค์ฟาโรห์กลับนึกเอ็นดูนางขึ้นมาอย่างประหลาด
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ดีกว่าเป็นหญิงที่ข้าไม่เคยรู้จักและไร้ความทรงจำ ผู้คนหาประโยชน์ได้มากมายจากหญิงงามตัวคนเดียว”
ใบหน้าของหญิงสาวเป็นสีชมพูระเรื่อขึ้นมา หรือเพราะพระองค์เผลอหลุดปากเอ่ยคำว่า ‘หญิงงาม’ ตามที่พระองค์เห็นออกไป
ในที่สุด นางก็พยักหน้ารับ
พระองค์โล่งพระทัยไม่น้อย ที่ยามตื่นนางก็สงบเสงี่ยมไม่ต่างจากยามหลับ เช่นที่เคยหวังเอาไว้