คืนนรก......3

กระทู้สนทนา
บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/35082291

   ทันใดนั้นเสียงตึก..ตึก... ของหัวใจอุบาทว์ก็เริ่มกระหน่ำขึ้นอีกครั้ง เสียงของมันก้องไปทั่วทางเดินเหมือนกราดเกรี้ยวโกรธแค้นต่ออะไรบางอย่างซึ่งมันไม่อาจคว้าจับไว้ได้ พื้นใต้เท้าสั่นไหวไปตามอาการเต้นของเสียงนรก ลมหอบหนึ่งผ่านวูบมาจากด้านหลัง สายลมเหมือนลมหายใจภูตผีปีศาจกำลังก้มหน้าขนาดยักษ์ลงมาใกล้แทบจรดต้นคอ กลิ่นสาบสางคละคลุ้งไปทั่ว


==========
คืนนรก
บทที่ 3

==========



             แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นอะไรชัดเจน แต่ความรู้สึกบอกว่ามีสิ่งชั่วร้ายอันไร้ลักษณ์ไร้รูปกำลังเคลื่อนมาอย่างมุ่งร้ายตามทางเดินของหอพักเด็กสาวรู้สึกเหมือนคนกำลังจะเป็นลมหมดสติ บังเอิญว่าแผ่นหลังแนบอยู่กับประตูห้องพักห้องหนึ่ง หูแว่วเสียงเคาะหนักๆ หลายครั้ง ก่อนประตูห้องด้านหลังจะเปิดออก ภัทราแทบจะกลิ้งตัวเข้าไปแบบสมองไม่ต้องสั่งการเพระรู้สึกจวนเจียนคับขันกับความน่ากลัวซึ่งกำลังจะเข้าถึงตัวอยู่แล้ว

             พอเข้าไปในห้องบานประตูปิดลงทันทีราวกับจะปกป้องผู้เข้ามาหลบภัยชั่วคราว ความหนักอึ้งอันชวนขนพองสยองเกล้าเคลื่อนผ่านหน้าห้องไปอย่างขุ่นเคืองผิดหวัง

             ภัทรารู้สึกว่าตัวเองเหมือนอยู่ในความฝันหม่นมัวเลือนราง สติไม่ได้อยู่ในสถาพสมบูรณ์เต็มที่ อันจะเนื่องมาจากผลของการเผชิญหน้ากับความน่าประหวั่นพรั่นพรึงขนพองสยองเกล้ามากเกินไป หรือเพราะอะไรก็สุดจะคาดเดา แต่อย่างน้อยก็มีข้อดีคือทำให้ความรู้สึกมึนชาไปหลายส่วนคล้ายคนเมาเหล้า ทำให้ไม่ถึงขั้นตกใจกลัวจนหมดสติอย่างควรจะเป็น จะบอกว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับภูติผีปีศาจก็ไม่อยากทำใจยอมรับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ เพียงแต่ยังหาคำอธิบายไม่ได้เท่านั้น

             เด็กสาวหลับตาแนบหูเข้ากับบานประตู  กลืนก้อนสะอื้นฝืนใจไม่ให้ร้องออกมา ด้วยสัญชาตญาณระวังภัยทำให้พยายามยังคับตัวเองให้นิ่งที่สุด คอยฟังเสียงลมหายใจแห่งนรกพัดผ่านบริเวณหน้าห้องไปอนู่พักใหญ่ ทุกอย่างจึงสงบลง จะมีเพียงเสียงฟ้าคำรามอยู่เป็นระยะและแสงสว่างวูบวาบจากลำแสงแห่งสายฟ้าเป็นครั้งคราว

             แต่ความหม่นมัวในสติสัมปชัญญะยังไม่สร่างซาลง

             “พี่คะ..”

             เสียงใสๆแว่วเข้าหู เด็กสาวสูดลมหายใจลึกก่อนรวบรวมความกล้าหันไปมองรอบห้อง แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกตินอกจากความมืด เสียงของเด็กหญิงลึกลับทำให้รู้สึกถึงความเป็นมิตรอย่างชัดเจน

             ไม่ว่าหนูน้อยเจ้าของเสียงจะเป็นใครหรือเป็นอะไรก็ตาม เธอจะต้องอยู่อย่างเงียบเหงามานานและเผชิญหน้ากับภัยคุกคามร้ายกาจเพียงลำพัง

             ภัทรารู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด  รู้สึกเหมือนไม่ได้หลงทางอยู่ในห้วงนรกเพียงลำพังแม้ว่าจะมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาเจ้าของเสียงก็ตาม

             “หนูอยู่ไหนจ๊ะ”

             เสียงถามแผ่วเบาจนตัวเองแทบไม่ได้ยิน แต่ก็มีเสียงโต้ตอบราวกระซิบข้างหู

             “พี่สาวต้องกลับไปห้องนะคะ ในห้องจะปลอดภัยที่สุด พวกมันพยายามล่อลวงให้พี่สาวออกมาจากห้อง”

             ภัทรานึกถึงเหตุการณ์สุดสยองของภาพผู้หญิงน่ากลัวโผล่ขึ้นมาจากเตียงนอนพร้อมธารเลือดไหลนองยังแจ่มชัดในความรู้สึก ทำไมจะต้องกลับไปหาห้องแห่งความหลอนผวาอีก

             “หนูเป็นใคร อยู่ไหนจ๊ะ”

             คำถามต่อมามีความเงียบเป็นคำตอบจนทำให้อยากจะคิดว่าเป็นอาการหลอนวิปลาสไปเอง เด็กหญิงผู้ชวนให้สงสัยดูว่ากำลังท่องเที่ยวอยู่ในโลกแห่งความเร้นลับไม่เคยจะอยู่กับที่มีการเลื่อนย้ายไปมาตลอดเวลา

             สายตาเริ่มชินกับความมืดภายในห้องโดยมีแสงจัดจ้าจากเบื้องบนเป็นตัวช่วยทำให้เด็กสาวพบว่าห้องพักแห่งนี้ก็คล้ายๆกับห้องพักของเธอ มีเตียงและตู้เสื้อผ้าวางอยู่ในรูปแบบเดียวกันไม่มีผิด ทำให้ใจนึกถึงประสบการณ์ชวนสยองให้ห้องขึ้นมาทันใด จะห้องไหนๆก็คงเหมือนกัน ความคิดแบบนี้ทำให้แทบจะเห็นภาพผู้หญิงผมยาวดิ้นรนตะกายขึ้นมาจากเตียงเสียให้รู้แล้วรู้รอด จะได้หมดเรื่องหมดราวสว่างกระจ่างชัดกันไปเสียเลยว่าผีมีจริงจะได้ไม่ต้องสงสัยค้างคาใจ

             ความคิดของตนเราบางทีก็หลอนตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ หางตาคล้ายเห็นความมืดในห้องกำลังเริ่มปรึกษาหารือกันแล้วรวมตัวเป็นรูปร่างสั่นไหวไปมาราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต จะทำอย่างไรดีถ้าบนเตียงมีผู้หญิงกำลังนั่งหันหลังอยู่ขอบเตียงพลางกำลังหวีเส้นผมอันยาวเหยียดอย่างช้าๆ ค่อยเอียงคอหันมามองด้วยใบหน้าขาวซีดเหมือนพอกด้วยแป้งเต็มหน้าแล้วลุกขึ้นเดินตรงมาหา ถ้านั่งงอตัวเอามือปิดหน้าด้วยึวามอกสั่นขวัญแขวน ไม่ต้องรู้ไม่ต้องเห็นอะไร  แต่เวลาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งจะเห็นใบหน้ามองเมียงเอียงคอผมปรกหน้าอ้าปากกว้างจนผิดธรรมชาติกรีดร้องเสียงแหลมบาดหูอยู่ใกล้ๆ  อย่างที่เคยเห็นในหนังผีหรือไม่

             ความเยือกเย็นพัดผ่านร่างก่อนความคิดจะก่อตัวให้เห็นเป็นรูปร่างเต็มตา ภัทราตัดสินใจกระชากประตูเปิดออกและกระโดดพรวดออกมาจากห้องผีสิงทันทีด้วยอาการขนลุกขนพอง

             พอออกมาอยู่ทางเดินในอาการ ความวิปริตเหมือนกำลังรอคอยโอกาสเวลาอยู่อย่างอดทนเยือกเย็นได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง สายลมเริ่มหอบละอองฝนอันหนาวเหน็บพุ่งมาจากลานบันไดพร้อมกับอาการสะท้านไหวเล็กน้อยของอาคาร  ถ้าจะเชื่อคำแนะนำของหนูน้อยในความมืด ก็ควรจะกลับห้องของตัวเอง นั่นเป็นสิ่งที่ควรทำแต่ไม่อยากทำ เด็กสาวคิดว่าควรจะหาทางออกจากหอพักนรกแห่งนี้ให้ได้เท่านั้น

             เสียงคำรามครืนผสมผสานไปกับเสียงคำรามของอสุนีบาตสะท้านสะเทือนกึกก้องไปตามทางเดิน เสียงใสๆแว่วดังในความรู้สึกอีกครั้งราวเป็นการเตือนสติ

             “พี่วิ่งตรงไปเลย กลับไปห้องไม่ทันแล้ว”

             ความเยือกเย็นของอากาศเปลี่ยนเป็นลมหายร้อนเหม็นราดรดบนใบหน้ากับเสียงคำรามเครือต่ำระงมอยู่ด้านบน คราวนี้ไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรอีกแล้ว ภัทราออกวิ่งทันที ด้วยอาการหรี่ตาลงเกือบปิดสนิทด้วยความกลัวว่าจะพบพานสิ่งน่าสะพรึงกลัวจนทำให้ช้อกตายไปได้

             ทางเดินบิดเบี้ยวสั่นไหวส่ายไปมาเหมือนเป็นลำตัวอสรพิษขนาดยักษ์ขยับไหว เด็กสาวเซถลาไปมาสองมือพยายามเกาะผนังในความมืดแม้จะมองไม่เห็นอะไรแต่รู้สึกว่าสิ่งกำลังสัมผัสอยู่หยุ่นเหนียวเปียกลื่นน่าขยะแขยงเหมือนกำลังแตะร่างกายของสิ่งมีชีวิตบางอย่างซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร พื้นทางเดินใต้ฝ่าเท้ากระตุกและขยับไหวทำเอาสะดุ้ง รีบดึงมือออกมาจากผนังล้มลุกคลุกคลานตะกายต่อไปเหมือนคนเสียสติ เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วทางเดิน


             มารู้ตัวอีกครั้ง เธอกำลังทรุดตัวคลานเข่าอยู่หน้าประตูห้องแห่งหนึ่งที่กำลังถูกเปิดออก แสงไฟสว่างออกมาทำให้ตาพร่าพรายไปชั่วขณะ
จนตั้งสติได้ก็พบว่าเป็นอาจารย์เพ็ญแขนั่นเอง

             ทั้งสองเผชิญหน้ากันโดยมีช่องประตูเป็นเส้นกั้น หนึ่งคุกเข่าอยู่พื้นกับใบหน้าซีดเผือดตระหนกขวัญกระเจิงเหมือนคนใกล้เสียสติเต็มที  หนึ่งยืนถือเชิงเทียนใบหน้าเย็นชาราวรูปสลักจากหินจารึกบนหลุมฝังศพ เค้าหน้าแรเงาดำจากแสงเทียนวูบไหวดูน่ากลัวเหมือนใบหน้ามีไฟฉายส่องจากใต้คางอย่างที่พวกเธอเคยแกล้งหลอกเพื่อนกันบ่อยๆด้วยวิธีนี้

             “ผี..”

             เด็กสาวพูดออกมาได้พยางค์เดียว เพราะลิ้นชาด้านจนพูดอะไรไม่ออก เจ้าของห้องยังคงยืนจ้องมองไปในความมืดด้วยท่าทางไม่ได้มีอาการตกใจแปลกใจอะไรแม้สักนิด

             “ในที่สุด เธอก็มาหาฉันเอง”  

             เสียงของอาจารย์แหบพร่าเหมือนแฝงความหมายบางอย่างฟังแล้วรู้สึกถึงความน่ากลัว จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเร้นลับครู่หนึ่งก่อนพูดด้วยเสียงห้วนสั้นว่า

             “เข้ามาสิ”   

             เด็กสาวความรู้สึกรางเลือนสะลืมสะลือเหมือนคนจะเป็นลม เหตุการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะเกิดบ่อยจนเคยชินเสียที่ไหน แต่พยายามฝืนใจเดินตามอาจารย์เข้าไปในห้องพักอย่างมึนงง กัดฟันข่มใจระงับความวิตหวาดกลัวุดชีวิตจิตใจ

             กลิ่นสาบจางๆลอยปนอยู่ในอากาศห้อมล้อมรอบตัว  เงามืดเต้นระริกไหวอยู่ตามผนัง อากาศชื้นและอับทึบอาจารย์คนนี้ไม่เคยทำความสะอาดห้องเลยหรืออย่างไร ภัทรานึกสงสัย ในห้องจุดเทียนอยู่หลายเล่มตามโต๊ะรับแขก แต่แสงของเทียนดูหม่นหมองสลัวทึมอย่างบอกไม่ถูก ดูเหมือนว่าถัดจากห้องรับแขกขนาดเล็กไปจะเป็นห้องนอนของอาจารย์แต่ตอนนี้ประตูปิดสนิท

             อาจารย์เพ็ญแขชี้นิ้วเป็นเชิงบอกให้นั่งลงบนเก้าอี้บุนวมตัวหนึ่ง เด็กสาวมองหน้าก่อนนั่งลงอย่างงงงัน

             “เสียงของเธอร้องดังก้องไปทั้งหอพัก”

             “ผี...ผี...หลอกหนู”

             เด็กสาวพูดตะกุกตะกักเสียงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ บางอย่างปะทุขึ้นภายใน น้ำตาทะลักออกจากเบ้าหนดไหลมาตามร่องแก้ม เหตุการณ์ชวนสยดสยองยังฝั่งเด่นชัดพลุ่งพล่านในความรู้สึกอย่างยากจะอธิบาย

             “เธอเชื่อเรื่องผีๆ ด้วยเหรอ”

             อาจารย์เพ็ญแขยืนกอดอก มองนักศึกษามาใหม่อย่างคนเก็บอาการ  น้ำเสียงไม่แสดงความรู้สึก

             “ฉันไม่อยากเชื่อว่า เด็กสมัยใหม่อย่างเธอจะเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ”

             “หนูไม่รู้..”

             ภัทราไม่รู้จริงๆว่าอะไรกันแน่ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอ มันยากจะทำใจให้เชื่อ

             “ไม่ต้องอธิบายอะไรก็ได้ ดูท่าทางเธอคงผ่านเรื่องร้ายมามาก”

             น้ำเสียงเนิบนาบราบเรียบของอาจารย์แม่มดดังมาอีก ขณะหยิบแก้วและขวดน้ำลงมาจากชั้นวางของแบบติดผนัง

             “เธอคงคอแห้ง ฉันไม่มีอะไรต้อนรับ ดื่มน้ำก่อนก็แล้วกัน”

             อาจารย์รินน้ำออกจากขวดรูปร่างแปลกพิกลและยื่นส่งให้ด้วยท่าทางแกมบังคับอยู่ในที

             “อย่าดื่มนะคะ”

            เสียงใสๆของเด็กผู้หญิงคุ้นหูอย่างประหลาดดังขึ้นในความรู้สึกน้ำเสียงใสฟังดูเป็นมิตรอย่างรู้สึกได้ ภัทราสะดุ้งเฮือกเด็กสาวสะดุ้งเย็นวาบไปทั้งตัว แม้จะแผ่วเบาปานใดยังจำได้ว่าเป็นเสียงของหนูน้อยลึกลับอย่างไม่ต้องสงสัย ประสาทตื่นตัวขึ้นมาทันที เงยหน้ามองอาจารย์เพ็ญแขก็รู้สึกว่าอาจารย์ไม่ได้สำเหนียกเสียงประหลาดอย่างที่เธอได้ยินเลยแม้แต่น้อย

             “น้ำอะไรคะ”

              เด็กสาวรับแก้วน้ำมาถือไว้ แต่ยังลังเลใจไม่ยอมดื่ม มองหน้าเจ้าของห้องพลางถามอย่างสงสัย

             “แล้วเธอคิดว่าเป็นน้ำอะไร “อาจารย์ย้อนเสียงต่ำ จ้องมองเขม็ง

             “กลัวว่าฉันจะวางยาแล้วเอาตัวส่งไปขายชายแดนหรือไง.....มันก็แค่น้ำธรรมดา ดื่มเข้าไปอย่าเรื่องมาก”

             “อย่าดื่มนะคะ”

             เสียงใสแผ่วเบาดังเตือนขึ้นมาในหัวอีกครั้ง อาการประสาทหลอนเริ่มขึ้นอีกหรืออย่างไร..เด็กสาวเอามือกุมหัวอย่างมึนงง ความหวาดระแวงเริ่มคืบคลานเกาะกุมจิตใจ ระบายลมหายใจยาวออกมาอย่างสับสน แม้แต่อาจารย์ประจำหอพักยังจะไว้ใจไม่ได้หรืออย่างไร

             “เร็วๆเข้าจะได้เก็บแก้วเข้าที่”

             เสียงของอาจารย์เพ็ญแขสำทับมาอีก ตอนนี้แกกำลังหลังให้และง่วนอยู่กับการทำอะไรบางอย่างบนชั้นวางของ เด็กสาวค่อยวางแก้วลงบนโต๊ะ
ทันทีที่ก้นแก้วกระทบโต๊ะ อาจารย์หันขวับมาอย่างรวดเร็วนัยน์ตาลุกจ้าราวแสงไฟพร้อมกับตะคอกเสียงใส่

             “ฉันบอกให้รีบดื่ม เรื่องมากอยู่ได้”

             เด็กสาวสะดุ้งสุดตัวกับเหตุการณ์จู่ๆอาจารย์ก็หันขวับมาอย่างรวดเร็วแบบรวด เร็วจนเหมือนกับว่าศีรษะแกหมุนบิดสะบัดกลับมาโดยลำตัวยังหันหลังให้ด้วยซ้ำไป ดวงตาน่ากลัวดุดันเต็มไปด้วยพลังอำนาจลึกลับคุกคามราวกับอสรพิษจับจ้องสะกดจิตเหยื่อก่อนจะเขมือบลงไปในท้อง

             “หนูไม่หิว”

              เธอส่ายหน้าหลบตาพยายามบอกปฏิเสธเสียงสั่นอย่างเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

        
     



             มีต่อครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่