อาถรรพ์พงไพร

กระทู้สนทนา
มือปราบสัมภเวสี  ตอน  ปริศนาอาถรรพ์พงไพร (EP.1)
 
 
 
คุณเคยได้ยินเรื่อง ‘ผีตาโขน’ ไหม? ภูตแห่งพงไพร ที่ปิดบังใบหน้าตนเองตาด้วยหน้ากากไม้ ตกแต่งหน้ากากด้วยสีสันสดใส มีปากและดวงตาที่น่าเกรงขาม หลายคนอาจเข้าใจว่า ผีตาโขน เป็นเพียงเรื่องเล่าที่อยู่ในมหาเวสสันดรชาดก แต่แท้จริงแล้วมันกลับมีอะไรมากกว่านั้น หลายพันปีก่อน ในป่าลึกมีศพจำนวนมากที่ไม่ได้รับการทำพิธีอย่างถูกต้อง นานวันเข้าดวงวิญญาณเหล่านั้นก็ค่อยๆสูญเสียงความเป็นตัวเองไปทีล่ะนิดๆ จนเหลือเพียงสัญชาตญาณของนักล่า วนเวียน และ หิวโหยอยู่ในป่าเป็นจำนวนมาก 
 
มนุษย์จึงได้สร้างประตูภพขึ้น เพื่อกักขัง และ ป้องกันไม่ให้พวกภูตผีออกมาทำร้ายมนุษย์ได้ และ จัดพิธีเส้นไหว้ให้แก่ผีป่าเพื่อรักษาความสงบสุขระหว่างสองภพ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ผู้คนต่างหลงลืมประเพณีนี้ไปจนสิ้น แต่สิ่งที่ไม่หายไปตามกาลเวลานั้นก็คือเหล่าดวงวิญญาณอันหิวโซ ที่นับวันยิ่งทวีความหิวมากยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้เหล่าภูติผีพยายามที่จะข้ามมาอีกภพหนึ่ง เพื่อกำจัดความหิวโหยด้วยตนเอง ส่วนตัวมนุษย์เองก็ได้จัดตั้งองค์กรโลกวิญญาณขึ้นเพื่อคอยควบคุม และ จัดการเหล่าดวงวิญญาณที่เล็ดลอดออกมายังภพมนุษย์ แต่ถึงกระนั้นองค์กรก็ไม่มีความสามารถมากพอ ที่จะควบคุมความปลอดภัยของประตูภพได้ตลอด...
 
ลึกเข้าไปในป่า ณ ประตูภพโบราณที่ถูกกางข่ายเวทย์มนต์ กลับเกิดบางอย่าขึ้นจากด้านหลังประตู คลื่นรังสีบางอย่างถูกแผ่ออกมา พร้อมกับ แรงสั่นสะเทือนที่ค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้น จนกระทั่งข่ายเวทย์มนต์ขาดออกจากกันจนหมด เสียงร้องคำรามดังก้องจากภพแห่งความมืด พร้อมกับ ลมพัดกรรโชกที่ส่งกลิ่นเหม็นของซากศพคละคลุ้งไปทั่ว ร่างทมึฬค่อยๆย่างก้าวออกมาจากประตูภพ และทันทีที่อสูรกายสูงสองเมตรเหยียบลงบนพื้นโลกมนุษย์ เสียงของเหล่าสัตว์ป่าก็เงียบสงัดลงในทันที ดวงตาแดงก่ำที่สว่างไสว ภายใต้หน้ากากไม้สีซีด กรงเล็บแหลมขูดไปกับต้นไม้เป็นทางยาว ร่างนั้นค่อยๆเคลื่อนเข้าไปในป่า และ           หายลับไปกับความมืดของพงไพรยามค่ำคืน
 
เวลาย่างเข้าตีห้า ณ ถนนเส้นเล็กๆไม่ไกลจากประตูภพ ครูเอก ครูสอนนาฏศิลป์ประจำโรงเรียนแห่งหนึ่งที่กำลังปั่นจักรยาน ผ่านป่าทึบ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เขาใช้ประจำเวลาไปสอนหนังสือเป็นประจำ แต่วันนั้นกลับมีบางสิ่งที่ต่างออกไป เพราะเขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังจดจ้องเขาอยู่ เงาทมึฬตามเขาไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงโรงเรียน ณโรงเรียนเวลาตี 5 ยังไม่มีใครนอกจาก ครูเอก และ ยามสองสามคน 
 
“มาเช้าเหมือนเดิมเลยนะครู” ยามทักครูเอก
 
“มีข้อสอบต้องตรวจน่ะพี่เริง” ครูเอกพูดพลางก้มลงล็อกจักรยาน ก่อนจะเดินเข้าตึกเรียนไป
 
บรรยากาศที่เงียบสงัดของโรงเรียน ทำให้ครูเอกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
 
“วันนี้มันอะไรเนี่ย ทำไมมันเย็นๆแปลกๆนะ” 
 
ครูเอกเดินลิ่วไปเปิดห้องนาฏศิลป์ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอื้อมมือไปเปิดไฟ ครูเอกก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ร่างดำทมึฬสูงกว่าสองเมตร ดวงตาแดงฉานจดจ้องครุเอกเหมือนจะกลืนกินเขาไปทั้งตัว ไม่ทันได้ตั้งตัว ครูผู้โชคร้ายก็ถูกกรงเล็บแหลมฉีกทึ้งร่างออกเป็นชิ้น และ กลืนกินเขาเข้าไปอย่าหิวกระหาย ไม่เหลือไว้แม้กระทั่งคราบเลือด
 
ความหิวกระหายยังไม่ลดลงจากอสูรตนนั้นแม้แต่น้อย อสูรร้ายตนนั้นยังคงต้องการอาหารอยู่ แต่แสงแรกของดวงอาทิตย์ที่ฉายขึ้นบนขอบฟ้าเริ่มส่องแสงสว่างเจิดจ้า ผีร้ายจ้องมองหน้าต่างที่ค่อยๆมีแสงอาทิตย์ลอดเข้ามา ร่างทมึฬสลายกลายเป็นของเหลวสีดำ และ ไหลย้อนกลับเข้าไปในหน้ากากนั้นอย่ารวดเร็วก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นพ้นขอบฟ้า ทุกอย่างในห้องกลับมาเป็นปกติ หน้ากากผีร้ายที่ตกอยู่บนพื้น ถูกนักเรียนเข้าใจผิด ว่าเป็นของๆครูเอกจึงถูกนำไปแขวนไว้ตรงผนังห้องนาฏศิลป์นั้นเอง โดยที่เด็กๆเหล่านั้นไมได้รู้ตัวเลยว่า ภายใต้หน้ากากสีซีดนั้น คือ ดวงวิญญาณอันหิวโหย ที่รอคอยให้ดวงอาทิตย์หายลับจากขอบฟ้านั่นเอง 
 
เวลาผ่านไป ณ อีกด้านหนึ่งที่ประตูภพ
 
 “เชี่ยเอ๊ย เอาอีกแล้วหรอวะ” เสียงสบถของ เจื่อน เด็กหนุ่มผมแสกกลาง ผู้ดูแลประตูภพที่ เดินนำของเส้นมาที่ประตูภพอย่างที่เขาทำเป็นประจำ แต่ทันทีที่เห็นสภาพของประตูที่ขาดรุ่งริ่ง เจื่อนก็ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ดวงตาจดจ้องไปยังดวงอาทิตย์ เจื่อนทิ้งของเส้นเหล่านั้นลงบนพื้น และ รีบวิ่งกลับไปตามอาจารย์ของตนเองอย่ารีบร้อน และ ไม่นานพวกเขาก็กลับมายังจุดเกิดเหตุ
 
 “ครั้งก่อนก็ว่าปิดผนึกดีแล้วนี่นา ทำไมสายสิญจน์ถึงขาดอีกล่ะ” หมคง หรือ คงกระพัน นภาเพชร หนึ่งในมือปราบสัมภเวสีมากฝีมือขององค์กร ก้มลงตรวจสอบประตูภพทันทีที่มาถึง 
 
 “เมื่อคืนนี้ เจ้าอาวาส นวชัยโย พระเกจิอาจารย์ที่ช่วยปิดผนึกประตูนี้ ท่านพึ่งมรณภาพไป อาคมของที่นี่จึงเสื่อมถอยลง พวกผีคงใช้โอกาศนั้นพังประตูออกมา” 
 
หมอคง กับ ไอ้เจื่อนยืนอยู่หน้าประตูภพ สีหน้าของหมอคงไม่สู้ดีนักทันทีที่เห็นสภาพของสายศีลที่ขาดรุ่งริ่ง 
 
“เวลาไม่คอยท่า รีบโยงสายศีลใหม่เร็ว เดี๋ยวฟ้ามืดแล้วจะไม่ทันการ” หมอคงแหงนหน้ามองท้องฟ้าในยามโพล้เพล้ กับแสงอาทิตย์ที่ร่อยหรอ
 
 “ครับ”
 
 
พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆจนกระทั้งแสงสุดท้ายหายลับจากขอบฟ้า การจัดเตรียมปะรำพิธีกินเวลาไปนานพอสมควร ทำให้รอบๆปะรำพิธีตอนนี้ เหลือเพียงแสงเทียนจากบริเวณพิธีที่พอให้แสงสว่างอยู่บ้าง เจื่อนกำลังผูกสายศีลทั้งห้าให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม โดยมีหมอคงพนมมือท่องบทสวดอยู่ข้างหลัง และในตอนนั้นเองที่หมอคงหยุดท่องบทสวด และลืมตาขึ้น....
 
 
 “ไอ้เจื่อน ท่องคาถาต่อไปอย่าหยุด พวกมันมาแล้ว”
 
 
 เจื่อนพยักหน้าหน้าเหมือนรู้งาน พึมพำท่องคาถาต่อไป หมอคงลุกขึ้นเดินลอดสายศีลเข้ามายังเขตของภูตผี บรรยากาศทุกอย่างแต่ต่างไปจากเมื่อกี้ลิบลับกลิ่นเหม็นฉุนคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ  เสียงเหยียบใบไม้แห้งดังอยู่รอบๆตัว เคล้าคลอไปกับเสียงโหยหวนของเหล่าอสูรร้าย หมอคงไม่รอช้า ชักปืนข้างเอวขึ้นพนมมือร่ายคาถา
 
 
หมอคง   “โอม ตะปะ ถังปะกาสังข์โค ตะถาอาหะ สิงห์หะนาทัง นะโมพุทธายะ วินาศสันตะโร” 
 
สิ้นสุดคาถา หมอคงลั่นไกนัดแรกแสกหน้าผีโป่งตนหนึ่งที่วิ่งเข้ามา พร้อมกับนัดที่สองโป่งตนที่สองที่กระโจนมาจากด้านหลัง ร่างทั้งสองที่โดนกระสุนอาคมแหลกสลายเป็นฝุ่นผงนทันที แต่นั้นยังไม่มากพอที่จะทำให้พวกผีร้ายเกรงกลัว พวกมันยังคงถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว หวังจะข้ามไปยังโลกมนุษย์ให้จงได้ หมอคงเอี้ยวตัวหลบการโจมตีเหล่านั้น และหมุนตัวกลับมายิงเหล่าผีร้ายจนหมดแม็ก ร่างของผีโป่งร่วงระนาวลงไปกับพื้นเหมือนใบไม้ร่วง และ แหลกสลายเป็นธุลีปลิวหายไปตามลม หมอคงเก็บปืนเข้าซองก่อนจะ ชักมีดอาคมขึ้นมาตั้งท่าเตรียมสู้ต่อ  
 
 “ถ้าพวกยังคิดจะลองดีกับกู จะเป็นเหมือนไอ้พวกนี้” 
 
เหล่าผีโป่งเริ่มหวาดกลัว และ ล่าถอยหายกลับไปในความมืด เหลือเพียงดวงตาสีแดง และ เสียงขู่คำรามในลำคอ                    
หมอคงเห็นพวกผีล่นถอยกลับไป ก็รีบหันหลังเดินข้มกลับมา พอดีกับเจื่อนที่มัดสายศีลเส้นสุดท้ายเสร็จ พร้อมกับพรมน้ำมนต์ 
 
 “เท่านี้ก็เรียบร้อยคงพอกั้นไว้ได้ชั่วคราวน่ะครับ ที่เหลือก็รอองค์กร...” 
เจื่อนลุกขึ้นยืนดูผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิ ก่อนจะหันไปมองอาจารย์ของตนที่ เดินไปทำอะไรขยุกขยิกที่ต้นไม้อีกฝั่ง
 
“อาจารย์ทำอะไรน่ะครับ” เจื่อนถาม
 
 “ผูกหุ่นพยนต์ มีพวกมันเฝ้าไว้อย่างนี้กูอุ่นใจกว่า” หมอคงว่าจบก่อนจะก้มลงตั้งหุ่นพยนต์สองตนลงที่พื้นหน้าประตูภพ
 
 “จะว่าไป ถ้าเป็นโซนนี้....คงจะเป็นผีเปรตใช่ไหมครับ” 
 
เจื่อนหยิบสมุดตำราผีในย่ามมาเปิด ปรากฏรายชื่อ ผี สาง และ อสูรกาย อยู่ในสมุดมากมาย ทั้งข้อมูล รูปภาพ ระดับควาอันตราย
 
 “ไม่ใช่...” คำตอบของอาจารย์ตนเอง ทำให้ เจื่อนเงยหน้ามอง
 
 “รอยแบบนี้ไม่ใช่เปรตหรอก ไหนจะรอยเท้าพวกนี้อีก” หมอคงลูบผิวของต้นไม้ที่ถูกเล็บกดลากเป็นแนวยาว และ ตรวจสอบ
รอยเท้าที่มีขนาดเล็กกว่าผีเปรตมากโข 
 
“ไม่สังเกตหรอว่าทำไมวันนี้ป่าถึงเงียบแปลกๆ” ในจังหวะนั้นเอง ลมกรรโชกแรงพุ่งเข้าปะทะทั้งสอง เป่าให้เทียนทั่วทั้ง  
บริเวณดับลงพร้อมๆกัน
 
 “มีตัวยุ่งยากหลุดออกมาจนได้” หมอคงพึมพำกับตนเอง
 
 “แจ้งศุนย์ใหญ่ ว่ามีผีไม่ทราบชนิด หลุดออกมา ถ้าพังประตูภพเละแบบนี้ได้เจ้าตัวนี้ต้องไม่ธรรมดา ให้ส่งคนออกตระเวนหา
หมอคงเงยหน้ามองขึ้นฟ้าที่ตอนนี้ปกคลุมได้ด้วยความมืดมิด มองไม่เห็นแม้กระทั่งแสงจันทน์ 
 
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อครับ” เจื่อนถาม
 
 
“เรา....จะตามรอยพวกนี้ไป” หมอคงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จ้องมองรอยเท้าที่เดินหายเข้าไปในป่ามืด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่