การสปอยและย่อยเนื้อหาในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณ
ท่าน Kross_ISC และทาง Gaiar-FS ที่ให้คำปรึษาต่างๆนะครับ
โดยเฉพาะชื่อโรงเรียนสตรีนาวิกศาสตร์โยโกสุกะ เป็นชื่อที่เหมาะมากครับ
ท่าน whiteboard สำหรับชื่อเรียกตำแหน่งต่างๆบนเรือเพิ่มเติม และเรื่องการใช้หางเสือ
รุ่นน้องของผมที่เป็นนายทหารข่าวอากาศ กองทัพอากาศ สำหรับการอ่านพิกัดทางภูมิศาสตร์
-------------------------------------------------
ก่อนจะเริ่มเนื้อหาในตอนนี้เรามาสรุปเส้นทางเดินเรือของฮาเระคาเสะในตอนที่ 1 กันก่อน
จากพิกัดที่บอกไว้ในเรื่องคือ 28°10.5'N 139°33.3'E
(28 องศา 10.5 ลิปดา เหนือ 139 องศา 33.3 ลิปดา ตะวันออก)
หลังจากยิงตอร์ปิโดใส่ซารุชิมะ และถอนตัว ขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
จุดหมายปลายทางคือ 10 ไมล์ นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะโทริชิมะ
เริ่มต้น ep 2
ที่ห้อง ผอ.มุเนทานิ เรื่องการก่อกบฏของฮาเระคาเสะทำเอาตกใจน่าดู ผอ.เองก็กระวนกระวายมาก
พอถามว่าทำไมพวกเขาถึงจมเรือซารุชิมะก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเพราะ ครูฝึกฟุรุโชวยังไม่ได้สติ
(จากตอนที่แล้วเห็นว่าเรือเอียง น้ำมันรั่วออก สรุปแล้วจมเลยนะครับ)
ทางฮาเระคาเสะก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่า แล้วไหงเราถึงดป็นกบฏไปได้ ไอ้ที่ยิงเราก่อนมีซารุชิมะไม่ใช่เรอะ
ชิโระจังถามโคโคะจังว่าแล้วแท็ปเล็ตที่ถืออยู่มันจะไม่ได้ส่งสัญญานบอกตำแหน่งเราให้คนอื่นรู้หรอ
ซึ่งโคโคะจังก็ได้ปิดไปตามคำสั่งกัปตันเรียบร้อยแล้ว
---ตัดเข้าเพลง OP---
ฉายย้อนอดีตสมัยชิโระจังยังเด็ก น่าจะอายุพอๆกับพวกมิเกะจังในช่วงต้นตอนที่ 1
ครอบครัวมุเนทานิมากันที่ศาลเจ้าสุวะได ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่อยู่ใกล้ๆกับกองบัญชาการกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเล
(ซึ่งในเรื่องใช้เป็นโรงเรียนสตรีนาวิกศาสตร์โยโกสุกะ)
ก็อารมณ์ประมาณทหารเรือบ้านเรา เวลาพาลูกหลานไปฐานทัพเรือสัตหีบก็มักจะขึ้นเขาไปไหว้เสด็จเตี่ยกันนั่นแหละครับ
ตรงนี้ทำให้รู้ว่าชิโระจังเป็นลูกของ ผอ.มุเนทานิ และยังมีพี่สาวอีก 2 คน
แม่ของชิโระจังเล่าว่าหลังจบสงคราม รัสเซีย-ญี่ปุ่น
พวกก๊าซมีเทนไฮเดรตจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทำให้แผ่นดินญี่ปุ่นยุบตัว
ผู้คนก็เลยสร้างเรือขนาดใหญ่เพื่อเป็นเมืองลอยน้ำขึ้น และก็ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศแห่งการเดินเรือ
ส่วนพวกเรือรบของทางทหารก็ถูกโอนมาให้กับฝ่ายพลเรือน และเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกเอาไปใช้ทำสงครามก็เลยกำหนดให้กัปตันเป็นผู้หญิง
เป็นที่มาของ Blue Mermaid
กัปตันหญิงคนแรกคือยายทวดของชิโระจัง และผู้หญิงตระกูลมุเนทานิแต่ละรุ่นนั้นก็จะได้เป็น Blue Mermaid ทุกคน
เมื่อขึ้นมายังจุดชมวิว แม่ของชิโระจังก็บอกว่าครั้งหน้าจะเป็นการออกเรือครั้งสุดท้าย เพราะอยากจะไปเป็นครูฝึกแทน
ลูกๆทั้ง 3 คนก็อยากจะเข้าเรียนโรงเรียนที่คุณแม่เป็นคนสอน
คุณแม่ถอดหมวกมาให้ชิโระจังใส่ แต่แล้วก็ถูกลมพัดปลิวไป
ชิโระจังในปัจจุบันก็รำพึงรำพันว่า ตั้งแต่ตอนนั้นก็โชคร้ายมาตลอด แม้แต่การออกเรือครั้งแรกนี้เองก็ด้วย
มาทางดาดฝ้าเรือมีมี่จังหัวหน้าฝ่ายบัญชี
ฮิเมะจัง โมโมะจัง เจ้าหน้าที่ป้องกันความเสียหายก็มาดูดาดฟ้าเรือที่เสียหายจากการปะทะครั้งก่อน เพื่อประเมิณและทำการซ่อมแซม
ระหว่างนั้นเองทางด้านมีมี่จังก็เอาแต่เพ้อถึงมัจจิ (สาวแว่นที่คอยสังเกตการณ์อยู่บนรังกา)
มีรูปที่ถ่ายกับมัจจิ (โดยที่เจ้าตัวมัจจินั่งเป็นแบ็คกราวน์เฉยๆ) ที่เธออยากส่งให้น้องสาวดู แต่เพราะไม่มีสัญญานเลยส่งไม่ได้
อีกสองคนเห็นว่ามีมี่อาการหนักพูดอะไรก็ไม่ฟังก็ทำหน้าเหนื่อยใจ
ระหว่างนั้นมิเกะจังก็มาถามถึงความเสียหาย แล้วก็บอกว่าไว้เดี๋ยวจะมาช่วยทีหลัง
จากนั้นก็ไปที่ห้องเครื่อง เพราะตอนที่แล้วโกยแน่บหนีมาด้วยความเร็วสูงสุด ฮาเระคาเสะที่เครื่องยนต์ไม่เสถียร
เครื่องก็เลยมีปัญหาต้องแก้ไขกันยกใหญ่
ต่อมาก็มาที่ห้องพยาบาลเพื่อดูว่ามีใครบาดเจ็บบ้าง มีเพียงพลศูนย์ฮิคาริจังที่บาดเจ็บที่ขาเท่านั้น
จากนั้นก็มารายงานให้กับโคโคะจังที่สะพานเดินเรือเพื่อจดบันทึก
ดาดฟ้าเรือเกิดความเสียหาย
ระเบิดน้ำลึกเหลือ 1 ลูก
ตอร์ปิโดหมดเกลี้ยง
แต่โคโคะจังเอาแต่ถ่ายรูปอิโซโรคุ เลยโดนชิโระจังดุเข้า
จากนั้นทุกคนบนสะพานเดินเรือก็ปรึกษากันว่าจะเอายังไงต่อดี โดยตอนนี้ฮาเระคาเสะกำลังมุ่งหน้าขึ้นไปยังเกาะโทริชิมะ
(อยู่ทางตะวันออกเฉียงหนือจากจุดปะทะครั้งก่อน)
ชิโระจังเสนอว่ายังไงเราก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะเป็นกบฏ ต้องหาทางอธิบายให้ทางการเข้าใจให้ได้
และน่าจะหาท่าเรือที่ใกล้ที่สุดก่อนดีกว่า
ทางมิเกะจังก็ถามรินจังว่าถ้ากลับไปที่โยโกสุกะจะใช้เวลาเท่าไหร่ รินจังก็บอกว่า ราวๆ 38 ชั่วโมง
ชิโระจังก็บ่นๆว่าทำไมต้องมาอยู่ชั้นเรียนนี้ด้วยนะ
เมจังไม่พอใจ ลูกเรือฮาเระคาเสะเป็นพวกคะแนนต่ำก็จริง แต่ชิโระจังก็อยู่นี่ด้วยไม่ใช่หรอ
ทางชิโระจังก็บอกว่า จริงๆแล้วตอนสอบน่ะเธอทำคะแนนได้ดีมากแน่ๆล่ะ แต่ดันพลาดไปรันคำตอบข้ามไปข้อนึง
(ประมาณว่าเราจะตอบ ข้อ 5 ว่าข้อ ก. แต่ดันพลาดไปตอบในข้อ 6 แทน จากนั้นข้อต่อๆมาก็รันผิดไปหมด จะมารู้ตัวเอาก็ตอนทำถึงข้อสุดท้ายแล้ว)
ทุกคนเลยรู้สึกว่าชิโระจังนี่ซวยจริงๆ
ทางด้านฝ่ายสหโภชน์ ในห้องครัวก็แจ้งให้ทุกคนมากินอาหาร
เมนูวันนี้คือข้าวแกงกะหรี่ทำให้ทุกคนรู้ว่าวันนี้คือวันศุกร์
*ตรงนี้เป็นประเพณีของทหารเรือญี่ปุ่นที่จะกินแกงกะหรี่กันทุกวันศุกร์ครับ
เพราะแกงกะหรี่นั้นใช้แค่วัตถุดิบพื้นๆก็ทำได้แล้ว และเวลาออกเรือนานๆจะนับวันไม่ถูก
ดังนั้นการทำแกงกะหรี่ทุกวันศุกร์จึงเป็นการย้ำเตือนลูกเรือว่า ถึงวันศุกร์แล้วนะ
มิเกะจังก็บอกให้ทุกคนผลัดกันไปกินข้าวก่อน
แต่ทันใดนั้นเองมัจจิก็สังเกตเห็นเรือที่ใกล้เข้ามาจากทางกราบขวา ระยะ 30,000 เมตร
เรือลำนั้นคือ Admiral Spee
ทางโคโคะจังบอกว่าเป็นเรือของนักเรียนแลกเปลี่ยนจากทางเยอรมัน
กำลังแล่นเข้ามาด้วยความเร็ว 20 นอต
*เรือ Admiral Spee มีต้นแบบมาจากเรือลาดตระเวณหนัก Admiral Graf Spee ของกองทัพเรือเยอรมัน (Kriegsmarine)
เป็นเรือลำดับที่ 3 ในชั้นด๊อยทซ์ลันด์
เนื่องจากช่วยที่สร้างติดเรื่องสนธิสัญญาแวร์ซายทำให้เรือถูกจำกัดไม่ให้ขนาดใหญ่เกินไป จึงมีขนาดแค่เรือลาดตระเวณเท่านั้น
แต่ด้วยนวัตกรรมของเยอรมัน ทำให้ลดน้ำหนักโครงสร้างของเรือ เพื่อติดตั้งป้อมปืนใหญ่ของเรือประจัญบานได้
โดยเป็นปืนขนาด 28 cm จำนวน 2 ป้อม ป้อมละ 3 กระบอก
http://www.hai-furi.com/ships/
เรือ Admiral Graf Spee ของจริง
https://en.wikipedia.org/wiki/German_cruiser_Admiral_Graf_Spee
http://kbismarck.org/forum/viewtopic.php?t=467
มิเกะจังรีบสั่งให้ทุกคนประจำสถาณีรบ
ทาง Admiral Spee ทำการหันป้อมปืนมาทางฮาเระคาเสะเพื่อเตรียมยิงแล้ว
ไม่พูดไม่จากันสักคำ มิเกะจังให้มัจจิส่งทัศนะสัญญานด้วยธงขาว เพื่อให้รู้ว่าทางฝั่งนี้ไม่คิดจะต่อสู้
แต่ก็ไม่เป็นผลทาง Spee ได้ทำการเปิดฉากยิงเข้ามาแล้ว
มิเกะจังจึงให้ทำการเลี้ยวหลบทันทีโดยการสั่งใช้หางเสือขวาหมด เพื่อหันหัวเรือกลับ 180 องศา หนีจาก Spee
*การหันหางเสือเต็มที่นั้นหันได้ 30 องศา จะเรียกว่า หางเสือซ้าย/ขวาหมด
แต่จริงๆแล้วหางเสือสามารถหันได้ถึง 35 องศา เรียกว่า หางเสือฉกาจ แต่ไม่ปกติแล้วจะไม่ทำกัน
เพราะจะทำให้หางเสือขัดข้องภายหลังได้
สปี ยังคงยิงมาอย่างต่อเนื่อง
โคโคะจังพยายามหาข้อมูลของ Admiral Spee จากแท็ปเล็ตพบว่า
มีระวางขับน้ำ 12,100 ตัน
ความเร็วสูงสุด 28.5 นอต
ปืนหลักหนาด 28 cm x 6 กระบอก
ปืนรอง 15 cm x 8 กระบอก
ตอร์ปิโด 8 ท่อยิง และตัวเรือหนา 166 mm
ยิงกระสุนหนัก 300 kg ได้ไกลสุด 36,000 เมตร อัตรายิง 2.5 นัด/นาที
เรียกได้ว่าฮาเระคาเสะสู้ไม่ได้ทั้งอำนาจการยิงและเกราะเลย
ถ้าโดนเข้าไปนัดเดียวก็ได้เป็นเรือดำน้ำแน่ๆ
*ฮาเระคาเสะเป้นเรือพิฆาตชั้นคาเงโร่ มีปืนหลักขนาด 12.7 cm เท่านั้น
ทางเมจัง ต้นตอร์ปิโดก็ถามว่ายิงสู้ด้วยตอร์ปิโดไม่ได้หรอ
และนี่คือคำตอบที่ได้ครับ เมจังเอ๊ยยย ก็เพิ่งคุยกันอยู่แหมบๆ
มิเกะจังถามถึงความหนาของเกราะข้างของ Spee ว่าหนาเท่าไหร่
โคโคะจังก็บอก 80 mm
ดังนั้นจึงต้องเข้าไปในระยะ 3,000 เมตร เพื่อให้สามารถยิงเจาะเกราะได้
มิเกะจังถามทางห้องเครื่องว่าสามารถเร่งได้สูงสุดเท่าไหร่
มารอนจังบอกว่าได้ถึงระดับ 4
ชิโระจังลองคำนวนดู ระดับ 4 ก็คือ 27 นอต ซึ่งใกล้เคียงกับความเร็วสูงสุดของ Spee พอดี
ตอนนั้นเองทามะจังก็พูดขึ้นมาว่า คุรุคุรุ (หมุนวน)
ทำให้มิเกะจังคิดแผนออกคือแล่นวนไปวนมาเพื่อให้อีกฝ่ายกะระยะยิงไม่ถูก และใช้ม่านควันจากปล่องควันพรางตัว
มิเกะจังสั่งให้รินจังที่ถือท้ายอยู่หักหางเสือซ้ายหมด ขวาหมดสลับๆกันไป
เพราะว่าสิ่งที่ทำให้ฮาเระคาเสะได้เปรียบก็คือความเร็วและความคล่องตัว จึงต้องงัดออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
จากนั้นก็สั่งให้ทางห้องเครื่องทำให้เครื่องนต์เผาไหม้ ไม่สม่ำเสมอเพื่อสร้างควันให้มากขึ้น ทางมารอนจังก็เก็ททันที
แต่วิธีนี้เครื่องยนต์จะเกิดความเครียดสูงหน่อย
ระหว่างที่วนไปวนมาก็พยายามเข้าใกล้ Spee มากขึ้นเรื่อยๆ
มิเกะจังสั่งให้หันป้อมปืนเตรียมยิงไว้
ชิโระจังคัดค้านว่าเดี๋ยวก็ได้เป็นกบฏไปจริงๆหรอก แต่มิเกะจังบอกว่ามีแต่ต้องยิงกระสุนเจาะเกราะใส่เท่านั้นจึงจะหยุดพวกนั้นได้
เพราะเธอไม่อยากให้มีใครบนเรือบาดเจ็บอีก
ชิโระจังจึงยอมช่วยไขกุญแจปลดล็อคเพื่อใช้กระสุนจริงให้
รินจังกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ Spee โคโคะเลยเอามือปิดตาซะ เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว
รินจังกลัวหนักกว่าเดิมเพราะมืด มองไม่เห็นด้วย
*ต่อที่คอมเม้นท์ 1 ครับ*
[SPOIL] High School Fleet (Hai-Furi) ตอนที่ 2 - วิกฤตการณ์ขณะถูกไล่ล่า
ท่าน Kross_ISC และทาง Gaiar-FS ที่ให้คำปรึษาต่างๆนะครับ
โดยเฉพาะชื่อโรงเรียนสตรีนาวิกศาสตร์โยโกสุกะ เป็นชื่อที่เหมาะมากครับ
ท่าน whiteboard สำหรับชื่อเรียกตำแหน่งต่างๆบนเรือเพิ่มเติม และเรื่องการใช้หางเสือ
รุ่นน้องของผมที่เป็นนายทหารข่าวอากาศ กองทัพอากาศ สำหรับการอ่านพิกัดทางภูมิศาสตร์
-------------------------------------------------
ก่อนจะเริ่มเนื้อหาในตอนนี้เรามาสรุปเส้นทางเดินเรือของฮาเระคาเสะในตอนที่ 1 กันก่อน
จากพิกัดที่บอกไว้ในเรื่องคือ 28°10.5'N 139°33.3'E
(28 องศา 10.5 ลิปดา เหนือ 139 องศา 33.3 ลิปดา ตะวันออก)
หลังจากยิงตอร์ปิโดใส่ซารุชิมะ และถอนตัว ขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
จุดหมายปลายทางคือ 10 ไมล์ นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะโทริชิมะ
เริ่มต้น ep 2
ที่ห้อง ผอ.มุเนทานิ เรื่องการก่อกบฏของฮาเระคาเสะทำเอาตกใจน่าดู ผอ.เองก็กระวนกระวายมาก
พอถามว่าทำไมพวกเขาถึงจมเรือซารุชิมะก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเพราะ ครูฝึกฟุรุโชวยังไม่ได้สติ
(จากตอนที่แล้วเห็นว่าเรือเอียง น้ำมันรั่วออก สรุปแล้วจมเลยนะครับ)
ทางฮาเระคาเสะก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่า แล้วไหงเราถึงดป็นกบฏไปได้ ไอ้ที่ยิงเราก่อนมีซารุชิมะไม่ใช่เรอะ
ชิโระจังถามโคโคะจังว่าแล้วแท็ปเล็ตที่ถืออยู่มันจะไม่ได้ส่งสัญญานบอกตำแหน่งเราให้คนอื่นรู้หรอ
ซึ่งโคโคะจังก็ได้ปิดไปตามคำสั่งกัปตันเรียบร้อยแล้ว
---ตัดเข้าเพลง OP---
ฉายย้อนอดีตสมัยชิโระจังยังเด็ก น่าจะอายุพอๆกับพวกมิเกะจังในช่วงต้นตอนที่ 1
ครอบครัวมุเนทานิมากันที่ศาลเจ้าสุวะได ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่อยู่ใกล้ๆกับกองบัญชาการกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเล
(ซึ่งในเรื่องใช้เป็นโรงเรียนสตรีนาวิกศาสตร์โยโกสุกะ)
ก็อารมณ์ประมาณทหารเรือบ้านเรา เวลาพาลูกหลานไปฐานทัพเรือสัตหีบก็มักจะขึ้นเขาไปไหว้เสด็จเตี่ยกันนั่นแหละครับ
ตรงนี้ทำให้รู้ว่าชิโระจังเป็นลูกของ ผอ.มุเนทานิ และยังมีพี่สาวอีก 2 คน
แม่ของชิโระจังเล่าว่าหลังจบสงคราม รัสเซีย-ญี่ปุ่น
พวกก๊าซมีเทนไฮเดรตจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทำให้แผ่นดินญี่ปุ่นยุบตัว
ผู้คนก็เลยสร้างเรือขนาดใหญ่เพื่อเป็นเมืองลอยน้ำขึ้น และก็ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศแห่งการเดินเรือ
ส่วนพวกเรือรบของทางทหารก็ถูกโอนมาให้กับฝ่ายพลเรือน และเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกเอาไปใช้ทำสงครามก็เลยกำหนดให้กัปตันเป็นผู้หญิง
เป็นที่มาของ Blue Mermaid
กัปตันหญิงคนแรกคือยายทวดของชิโระจัง และผู้หญิงตระกูลมุเนทานิแต่ละรุ่นนั้นก็จะได้เป็น Blue Mermaid ทุกคน
เมื่อขึ้นมายังจุดชมวิว แม่ของชิโระจังก็บอกว่าครั้งหน้าจะเป็นการออกเรือครั้งสุดท้าย เพราะอยากจะไปเป็นครูฝึกแทน
ลูกๆทั้ง 3 คนก็อยากจะเข้าเรียนโรงเรียนที่คุณแม่เป็นคนสอน
คุณแม่ถอดหมวกมาให้ชิโระจังใส่ แต่แล้วก็ถูกลมพัดปลิวไป
ชิโระจังในปัจจุบันก็รำพึงรำพันว่า ตั้งแต่ตอนนั้นก็โชคร้ายมาตลอด แม้แต่การออกเรือครั้งแรกนี้เองก็ด้วย
มาทางดาดฝ้าเรือมีมี่จังหัวหน้าฝ่ายบัญชี
ฮิเมะจัง โมโมะจัง เจ้าหน้าที่ป้องกันความเสียหายก็มาดูดาดฟ้าเรือที่เสียหายจากการปะทะครั้งก่อน เพื่อประเมิณและทำการซ่อมแซม
ระหว่างนั้นเองทางด้านมีมี่จังก็เอาแต่เพ้อถึงมัจจิ (สาวแว่นที่คอยสังเกตการณ์อยู่บนรังกา)
มีรูปที่ถ่ายกับมัจจิ (โดยที่เจ้าตัวมัจจินั่งเป็นแบ็คกราวน์เฉยๆ) ที่เธออยากส่งให้น้องสาวดู แต่เพราะไม่มีสัญญานเลยส่งไม่ได้
อีกสองคนเห็นว่ามีมี่อาการหนักพูดอะไรก็ไม่ฟังก็ทำหน้าเหนื่อยใจ
ระหว่างนั้นมิเกะจังก็มาถามถึงความเสียหาย แล้วก็บอกว่าไว้เดี๋ยวจะมาช่วยทีหลัง
จากนั้นก็ไปที่ห้องเครื่อง เพราะตอนที่แล้วโกยแน่บหนีมาด้วยความเร็วสูงสุด ฮาเระคาเสะที่เครื่องยนต์ไม่เสถียร
เครื่องก็เลยมีปัญหาต้องแก้ไขกันยกใหญ่
ต่อมาก็มาที่ห้องพยาบาลเพื่อดูว่ามีใครบาดเจ็บบ้าง มีเพียงพลศูนย์ฮิคาริจังที่บาดเจ็บที่ขาเท่านั้น
จากนั้นก็มารายงานให้กับโคโคะจังที่สะพานเดินเรือเพื่อจดบันทึก
ดาดฟ้าเรือเกิดความเสียหาย
ระเบิดน้ำลึกเหลือ 1 ลูก
ตอร์ปิโดหมดเกลี้ยง
แต่โคโคะจังเอาแต่ถ่ายรูปอิโซโรคุ เลยโดนชิโระจังดุเข้า
จากนั้นทุกคนบนสะพานเดินเรือก็ปรึกษากันว่าจะเอายังไงต่อดี โดยตอนนี้ฮาเระคาเสะกำลังมุ่งหน้าขึ้นไปยังเกาะโทริชิมะ
(อยู่ทางตะวันออกเฉียงหนือจากจุดปะทะครั้งก่อน)
ชิโระจังเสนอว่ายังไงเราก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะเป็นกบฏ ต้องหาทางอธิบายให้ทางการเข้าใจให้ได้
และน่าจะหาท่าเรือที่ใกล้ที่สุดก่อนดีกว่า
ทางมิเกะจังก็ถามรินจังว่าถ้ากลับไปที่โยโกสุกะจะใช้เวลาเท่าไหร่ รินจังก็บอกว่า ราวๆ 38 ชั่วโมง
ชิโระจังก็บ่นๆว่าทำไมต้องมาอยู่ชั้นเรียนนี้ด้วยนะ
เมจังไม่พอใจ ลูกเรือฮาเระคาเสะเป็นพวกคะแนนต่ำก็จริง แต่ชิโระจังก็อยู่นี่ด้วยไม่ใช่หรอ
ทางชิโระจังก็บอกว่า จริงๆแล้วตอนสอบน่ะเธอทำคะแนนได้ดีมากแน่ๆล่ะ แต่ดันพลาดไปรันคำตอบข้ามไปข้อนึง
(ประมาณว่าเราจะตอบ ข้อ 5 ว่าข้อ ก. แต่ดันพลาดไปตอบในข้อ 6 แทน จากนั้นข้อต่อๆมาก็รันผิดไปหมด จะมารู้ตัวเอาก็ตอนทำถึงข้อสุดท้ายแล้ว)
ทุกคนเลยรู้สึกว่าชิโระจังนี่ซวยจริงๆ
ทางด้านฝ่ายสหโภชน์ ในห้องครัวก็แจ้งให้ทุกคนมากินอาหาร
เมนูวันนี้คือข้าวแกงกะหรี่ทำให้ทุกคนรู้ว่าวันนี้คือวันศุกร์
*ตรงนี้เป็นประเพณีของทหารเรือญี่ปุ่นที่จะกินแกงกะหรี่กันทุกวันศุกร์ครับ
เพราะแกงกะหรี่นั้นใช้แค่วัตถุดิบพื้นๆก็ทำได้แล้ว และเวลาออกเรือนานๆจะนับวันไม่ถูก
ดังนั้นการทำแกงกะหรี่ทุกวันศุกร์จึงเป็นการย้ำเตือนลูกเรือว่า ถึงวันศุกร์แล้วนะ
มิเกะจังก็บอกให้ทุกคนผลัดกันไปกินข้าวก่อน
แต่ทันใดนั้นเองมัจจิก็สังเกตเห็นเรือที่ใกล้เข้ามาจากทางกราบขวา ระยะ 30,000 เมตร
เรือลำนั้นคือ Admiral Spee
ทางโคโคะจังบอกว่าเป็นเรือของนักเรียนแลกเปลี่ยนจากทางเยอรมัน
กำลังแล่นเข้ามาด้วยความเร็ว 20 นอต
*เรือ Admiral Spee มีต้นแบบมาจากเรือลาดตระเวณหนัก Admiral Graf Spee ของกองทัพเรือเยอรมัน (Kriegsmarine)
เป็นเรือลำดับที่ 3 ในชั้นด๊อยทซ์ลันด์
เนื่องจากช่วยที่สร้างติดเรื่องสนธิสัญญาแวร์ซายทำให้เรือถูกจำกัดไม่ให้ขนาดใหญ่เกินไป จึงมีขนาดแค่เรือลาดตระเวณเท่านั้น
แต่ด้วยนวัตกรรมของเยอรมัน ทำให้ลดน้ำหนักโครงสร้างของเรือ เพื่อติดตั้งป้อมปืนใหญ่ของเรือประจัญบานได้
โดยเป็นปืนขนาด 28 cm จำนวน 2 ป้อม ป้อมละ 3 กระบอก
http://www.hai-furi.com/ships/
เรือ Admiral Graf Spee ของจริง
https://en.wikipedia.org/wiki/German_cruiser_Admiral_Graf_Spee
http://kbismarck.org/forum/viewtopic.php?t=467
มิเกะจังรีบสั่งให้ทุกคนประจำสถาณีรบ
ทาง Admiral Spee ทำการหันป้อมปืนมาทางฮาเระคาเสะเพื่อเตรียมยิงแล้ว
ไม่พูดไม่จากันสักคำ มิเกะจังให้มัจจิส่งทัศนะสัญญานด้วยธงขาว เพื่อให้รู้ว่าทางฝั่งนี้ไม่คิดจะต่อสู้
แต่ก็ไม่เป็นผลทาง Spee ได้ทำการเปิดฉากยิงเข้ามาแล้ว
มิเกะจังจึงให้ทำการเลี้ยวหลบทันทีโดยการสั่งใช้หางเสือขวาหมด เพื่อหันหัวเรือกลับ 180 องศา หนีจาก Spee
*การหันหางเสือเต็มที่นั้นหันได้ 30 องศา จะเรียกว่า หางเสือซ้าย/ขวาหมด
แต่จริงๆแล้วหางเสือสามารถหันได้ถึง 35 องศา เรียกว่า หางเสือฉกาจ แต่ไม่ปกติแล้วจะไม่ทำกัน
เพราะจะทำให้หางเสือขัดข้องภายหลังได้
สปี ยังคงยิงมาอย่างต่อเนื่อง
โคโคะจังพยายามหาข้อมูลของ Admiral Spee จากแท็ปเล็ตพบว่า
มีระวางขับน้ำ 12,100 ตัน
ความเร็วสูงสุด 28.5 นอต
ปืนหลักหนาด 28 cm x 6 กระบอก
ปืนรอง 15 cm x 8 กระบอก
ตอร์ปิโด 8 ท่อยิง และตัวเรือหนา 166 mm
ยิงกระสุนหนัก 300 kg ได้ไกลสุด 36,000 เมตร อัตรายิง 2.5 นัด/นาที
เรียกได้ว่าฮาเระคาเสะสู้ไม่ได้ทั้งอำนาจการยิงและเกราะเลย
ถ้าโดนเข้าไปนัดเดียวก็ได้เป็นเรือดำน้ำแน่ๆ
*ฮาเระคาเสะเป้นเรือพิฆาตชั้นคาเงโร่ มีปืนหลักขนาด 12.7 cm เท่านั้น
ทางเมจัง ต้นตอร์ปิโดก็ถามว่ายิงสู้ด้วยตอร์ปิโดไม่ได้หรอ
และนี่คือคำตอบที่ได้ครับ เมจังเอ๊ยยย ก็เพิ่งคุยกันอยู่แหมบๆ
มิเกะจังถามถึงความหนาของเกราะข้างของ Spee ว่าหนาเท่าไหร่
โคโคะจังก็บอก 80 mm
ดังนั้นจึงต้องเข้าไปในระยะ 3,000 เมตร เพื่อให้สามารถยิงเจาะเกราะได้
มิเกะจังถามทางห้องเครื่องว่าสามารถเร่งได้สูงสุดเท่าไหร่
มารอนจังบอกว่าได้ถึงระดับ 4
ชิโระจังลองคำนวนดู ระดับ 4 ก็คือ 27 นอต ซึ่งใกล้เคียงกับความเร็วสูงสุดของ Spee พอดี
ตอนนั้นเองทามะจังก็พูดขึ้นมาว่า คุรุคุรุ (หมุนวน)
ทำให้มิเกะจังคิดแผนออกคือแล่นวนไปวนมาเพื่อให้อีกฝ่ายกะระยะยิงไม่ถูก และใช้ม่านควันจากปล่องควันพรางตัว
มิเกะจังสั่งให้รินจังที่ถือท้ายอยู่หักหางเสือซ้ายหมด ขวาหมดสลับๆกันไป
เพราะว่าสิ่งที่ทำให้ฮาเระคาเสะได้เปรียบก็คือความเร็วและความคล่องตัว จึงต้องงัดออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
จากนั้นก็สั่งให้ทางห้องเครื่องทำให้เครื่องนต์เผาไหม้ ไม่สม่ำเสมอเพื่อสร้างควันให้มากขึ้น ทางมารอนจังก็เก็ททันที
แต่วิธีนี้เครื่องยนต์จะเกิดความเครียดสูงหน่อย
ระหว่างที่วนไปวนมาก็พยายามเข้าใกล้ Spee มากขึ้นเรื่อยๆ
มิเกะจังสั่งให้หันป้อมปืนเตรียมยิงไว้
ชิโระจังคัดค้านว่าเดี๋ยวก็ได้เป็นกบฏไปจริงๆหรอก แต่มิเกะจังบอกว่ามีแต่ต้องยิงกระสุนเจาะเกราะใส่เท่านั้นจึงจะหยุดพวกนั้นได้
เพราะเธอไม่อยากให้มีใครบนเรือบาดเจ็บอีก
ชิโระจังจึงยอมช่วยไขกุญแจปลดล็อคเพื่อใช้กระสุนจริงให้
รินจังกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ Spee โคโคะเลยเอามือปิดตาซะ เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว
รินจังกลัวหนักกว่าเดิมเพราะมืด มองไม่เห็นด้วย
*ต่อที่คอมเม้นท์ 1 ครับ*