เกลียด......ปลุกนรก ...1

กระทู้สนทนา
================
เกลียด......ปลุกนรก

================

:  Psycho G.




             “ใครก็ได้ ไปหยิบผักกาดในตู้เย็นมาให้แม่ที ...แม่มือไม่ว่าง”

             เสียงของแม่ผู้กำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัวตะโกนออกมายังห้องนั่งเล่น เด็กชายวัยเก้าขวบกำลังนั่งกระดิกเท้าดูทีวีอย่างมีความสุขอยู่หันไปมองพี่ชายผู้มีอายุมากกว่าปีเศษอย่างเป็นต่อ แล้วถ่ายทอดคำสั่งไปยังผู้เป็นพี่ชายด้วยสีหน้าท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง

             “พี่เต้ไปหยิบเลย”

             “ต้านั่นแหละไปหยิบ” ผู้เป็นพี่สวนคืนทันทีเช่นกัน ไม่ยอมละสายตาจากจอทีวี

             “พี่เต้นั่นล่ะ.....” ผู้เป็นน้องไม่ยอมลดราวาศอกทำให้

              ผู้เป็นพี่ถลึงตามองน้องชายอย่างไม่พอใจ แต่ในที่สุดก็ยอมลุกขึ้นเดินไปในห้องครัวโดยดีแม้จะไม่เต็มใจ  เพราะไม่อยากเปิดศึกสายเลือด และรู้ต่อไปเลยว่าว่าถ้าอิดออดต่อความยาวสาวความยืดต่อไปตัวเองจะโดนเลขเด็ดจากคุณแม่แน่นอน ฐานเอาเปรียบน้องในไส้  แม่ก็เหมือนทุกวันกับการกำลังทำอาหารอย่างไม่สนใจอะไร หันหลังสับบางอย่างโครมครามอยู่กับเขียงใกล้หน้าเตาแก๊ส ไม่ได้สนใจสงครามเย็นระหว่างลูกชายทั้งสอง สงครามซึ่งก่อตัวอย่างเลือดเย็นมานานหลายปี

             เด็กชายผู้พี่เดินไปเปิดประตูตู้เย็นอย่างไม่เต็มใจ

             สิ่งที่วางรออยู่ท่ามกลางไอเย็นสีขาวไหลออกมาจากภายในตู้คือศีรษะของผู้เป็นพ่อซึ่งถูกตัดขาดออกจากร่าง ใบหน้าซีดจนขาวราวซากศพเศษเนื้อบางส่วนยังห้อยรุ่งริ่งห้อยย้อยลงมาจากชั้นวางของท่ามกลางไอเย็น นัยน์ตาขุ่นมัวกลอกกลิ้งไปมาจนในที่สุดแน่นิ่งลืมตาเหลือกค้างเหลือแต่ตาขาว ริมฝีปากอ้ากระตุกสั่นระริกเหมือนพยายามเค้นเสียงผ่านฟองเลือดออกมาแหบแห้ง

             “เต้ ช่วยหยิบหัวพ่อออกไปที...พ่อหนาว"     

              เด็กชายรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนกะทันหันยืนตัวแข็งทื่อ กระทั่งเสียงร้องก็ไม่หลุดรอดออกจากลำคอ ศีรษะของพ่อหล่นลงมายังพื้นใกล้เท้า...เงยหน้าเหลือกตาขึ้นมามอง ความเย็นเฉียบยิ่งกว่าน้ำแข็งชอนไชคืบคลานขึ้นมาตามไขสันหลังเข้าสู่สมอง แล้วริมฝีปากของผู้เป็นพ่อเริ่มขยับกระตุกเป็นรอยยิ้ม

              เด็กชายเต้ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ความกลัวความตกใจปะทุเลื่อนลั่น แต่ยังรวบรวมสติหันไปหาแม่พลางพยายามเค้นเสียงร้องออกมาจนได้

             “แม่..!"

             แม่หันมามองด้วยสีหน้าเย็นชาผิดปกติ หันมามองโดยเฉพาะส่วนของศีรษะในสภาพตัวแข็งทื่อหันหลังให้เช่นเดิมด้วยใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก  เต้หน้ามืดวูบสมองหมุนติ้วยืนตัวแข็งเป็นหุ่นปั้นต่อไปด้วยความตกใจกลัวเกินกว่าวุฒิภาวะทางอารมณ์จะรับไหวกับเหตุการณ์ยิ่งกว่าฝันร้าย ทำให้ความรู้สึกหวาดกลัวเปลี่ยนเป็นชาด้านไประยะหนึ่ง

            มีเสียงดังเสียดประสาทบริเวณโต๊ะทำอาหารเหมือนโลหะขูดลงบนพื้นผิวอะไรสักอย่าง  มือข้างหนึ่งถือมีดทำครัวเปื้อนเลือดค่อยโผล่พ้นขอบโต๊ะขึ้นมาอย่างแช่มช้าแต่ชัดเจน ตามด้วยใบหน้าแสยะยิ้มอย่างประสงค์ร้ายของเจ้าต้าน้องชายตัวเล็ก ชโลมไปด้วยสีแดงของคราบเลือดเป็นดวงด่างเปื้อนตามใบหน้าและเสื้อผ้า ขับเน้นประกายตาชั่วร้ายเกินวัย

             “ฉันจะฆ่าแก..ไอ้พี่เต้ตัวแสบ"

             ร่างเล็กของน้องชายตัวแสบค่อยคลานขึ้นมาบนโต๊ะราวตุ๊กแกขนาดใหญ่ ขยับหัวไปมาพลางแลบลิ้นตวัดเลียริมฝีปากอย่างหิวกระหายก่อนกระโดดลงมายืนบนพื้นห้องแล้วย่างสามขุมคุกคามเข้ามาใกล้...มีดคมวาวในมือเงื้อขึ้นสูงเหมือนในหนังสยองขวัญไม่มีผิด  ผู้เป็นพี่ใจหายวาบปากอ้าตาค้างราวคนสติแตก สมองชาด้าน ไม่มีแม้แต่ความคิดจะหลบหลีก มันเกิดบ้าอะไรขึ้นในบ้านหลังนี้กันแน่ ทุกคนดูวิปริตผิดเพี้ยนไปจนหมด น้องชายสภาพไม่เหมือนคนธรรมดาเลยสักนิด แต่เหมือนปีศาจกระหายเลือดจากนรกมากกว่า

             มีดให้มือของผู้เป็นน้องก็เสียบเข้าเต็มอกของพี่ชายอย่างไม่มีโอกาสหลบหลีก


            “เฮ้ย เต้..เป็นอะไรไป ร้องลั่นเลย"

             เพื่อนนักเรียนสองสามคนเขย่าตัวเด็กชายไปมา เสียงเพื่อนหลายคนดังรุมล้อมรอบตัว

             “ทะลึ่งดันนั่งหลับในห้อง กลับบ้านได้แล้ว"

             เด็กชายเต้เงยหน้าขึ้นมาอย่างมึนงง เหงื่อซึมเปียกตัวจนชุ่มโชก นึกอะไรไม่ออกเหมือนประสาทหยุดทำงานไปชั่วขณะจนอึดใจต่อมาจึงรู้สติว่าตัวเองยังนั่งอยู่ในห้องเรียนกับเพื่อนซึ่งเป็นเวรประจำวันหลายคน สงสัยคงนั่งหลับในห้องเรียนอีกตามเคย ดีว่าเป็นช่วงเลิกเรียนไม่อย่างนั้นคงโดนคุณครูเทศนาสั่งสอนอีกหลายขนาน

             “เต้ไม่สบายหรือเปล่าวะ" เสียงเพื่อนถามอย่างเป็นห่วง เขาไม่ตอบ ยกมือลูบหน้าไปมาเหมือนจะลบภาพสยดสยองที่เกิดขึ้นในความฝันให้ออกไปจากความรู้สึก พักนี้เด็กชายฝันร้ายบ่อย และนับวันความฝันจะชัดเจนมากขึ้นทุกที กระทั่งในห้องเรียนมันยังตามมาหลอกหลอนรบกวน  และตัวการของการรบกวนจิตใจคนสำคัญคือเจ้าต้าน้องชายตัวแสบสามัญประจำบ้านนั่นเอง ความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย หลังเลิกเรียนเขาต้องกลับบ้านไปเผชิญหน้ากับน้องชายตัวแสบทุกวันอย่างช่วยไม่ได้

              ข้างนอกอาคารลมพัดแรง เป็นสายลมหน้าแล้งพัดพาไอร้อนมาด้วย วูบหนึ่งเด็กชายรู้สึกว่าสายลมนั้นให้ความรู้สึกแฝงด้วยความชั่วร้ายแอบแฝงมากับสายลมอันร้อนระอุแม้จะเป็นยามเย็นแล้วก็ตาม

             “ไม่เป็นไร..." เด็กชายสั่นหัวบอกเพื่อน “พวกแกกลับบ้านไปก่อนเถอะ"  

             เพื่อนของเขาซักถามอยู่ครู่หนึ่งก่อนแยกย้ายกันไปทางใครทางมันบ้านใครบ้านมันหลังจากทำเวรประจำวันเสร็จเรียบร้อย

              ถนนนอกเมืองกลืนหายไปกับฝุ่น ลมร้อน..ทิวไม้..และสีแดงฉานของแดดยามเย็น ดูเหมือนม่านเลือดในความฝัน วันนี้ผู้คนเคยเดินตามถนนไม่ทราบว่าหายไปไหนกันหมด ทั้งที่เป็นถนนเคยเดินกลับบ้านทุกวัน เด็กชายไม่ใช้รถประจำทางเนื่องเพราะอยู่ในระยะพอเดินกลับถึงบ้านได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพารถรา  และสำคัญคือต้องการยืดเวลาในการกลับสู่นรก...ซึ่งก็คือบ้าน ให้นานห่างไกลออกไปให้มากที่สุด

              เสียงคำรามครั่นครืนมาจากท้องฟ้าด้านทิศตะวันตก เด็กชายหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ เมฆก้อนใหญ่ดำทะมืนก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วและกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามาใกล้ เขามองเห็นสายฟ้าแลบสว่างวูบวาบอยู่ในกลุ่มเมฆราวกับจะประกาศอานุภาพยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ  มองแล้วเกิดจินตนาการเห็นภาพใบหน้าของผู้คนกำลังบิดเบี้ยวทรมานทุกขเวทนาเหลือแสน...เด็กชายรู้สึกตกใจกับความคิดน่ากลัวของตัวเอง

              สายลมเริ่มพัดกระโชกแรง ต้นข้าวสีเหลืองเกรียมข้างทางลู่ลมส่งเสียงราวคร่ำครวญหวนไห้..เศษฟางเศษหญ้าลอยหมุนรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนไปตามแรงลมในบรรยากาศหนักอึ้งหม่นมัว ฝูงนกบินลอยเป็นวงกลมอยู่บนท้องฟ้า

              เสียงเครื่องยนต์แผดร้องสนั่นอยู่ใกล้ ๆ เด็กชายสะดุ้งเฮือกสุดตัว กระโดดหลบลงข้างทางแทบไม่ทัน รถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาด้านหลังโดยไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่นึกอะไรในใจเพลิน แทบจะเฉี่ยวชนแบบหวุดหวิดหวาดเสียว ก่อนวิ่งเลยไปไม่ห่างนักก็เข้าจอดชิดริมถนน บางทีคนขับอาจจะต้องการเอ่ยคำขอโทษ ..เด็กชายพยายามคิดในทางที่ดี

              ท่ามกลางฝุ่นกระจายตามแรงลม คนขับชะโงกหน้าออกมาจากหน้าต่างด้านคนขับหันกลับมามอง ปิดดวงตาทั้งคู่ไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำตัดผิวหน้าขาวซีดราวใบหน้าของศพ

              ไม่มีคำขอโทษ แต่ใบหน้านั้นแสยะยิ้มกว้างเต็มหน้าค้างคาเนิ่นนาน รอยยิ้มดูแล้วชวนขนลุกขนพองสยองเกล้าอย่างบอกไม่ถูก... ดูเหมือนว่าปากของเขาจะกว้างกว่าคนปกติทั่วไปถึงยิ้มน่ากลัวกว้างแบบนี้ได้

              แค่นั้นจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรอีก คนขับแค่จอดรถเพื่อหันมายิ้มให้ด้วยรอยยิ้มกว้างอันเร้นลับก่อนขับรถต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กชายมองตามอย่างงุนงงและเพิ่งสังเกตว่ารถคันนั้นเป็นรถเก็บศพ มีโลงศพวางอยู่ท้ายรถชัดเจน

              แสงแดดเปลี่ยนเป็นสีเลือดอาบไปทั่วทุกหนทุกแห่ง..พายุฝนกำลังจะมา เขาหันไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง เมฆฝนก้อนใหญ่ลอยเข้ามาใกล้เต็มที ด้วยสีดำทะมืนอาบด้วยสีแดงบางส่วนทำให้ดุคล้ายอสูรร้ายกำลังต้องการกัดกินมนุษย์

              “ไอ้หนู...มานี่สิ"

             เสียงร้องเรียกทำให้เด็กชายหันไปมองตามทิศทางของเสียงอย่างไม่ตั้งใจ

             บนศาลาพักริมถนนฟากตรงข้าม ชายชราผู้หนึ่งนั่งก้มหน้าง่วนอยู่กับตะกร้าเบื้องหน้า ท่าทางเหมือนคนกำลังหาที่หลบพายุและเหมือนเป็นพ่อค้าเร่ตระเวนขายของ เด็กชายเดินตรงไปเหมือนถูกสะกด หมวกใบใหญ่สวมปิดหน้าปิดตาชายชราทำให้มองหน้าไม่ถนัด แต่สิ่งของในตะกร้าใบใหญ่ทั้งสองใบของคุณลุงลึกลับน่าสนใจกว่า

             มีทั้งซากสัตว์รูปร่างพิกลวิปริตเหมือนหลุดออกมาจากนรก ใบมีดรูปร่างหงิกงอด้ามมีดแกะสลักเป็นใบหน้าสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวหนังสือเก่าแก่ปกเขียนด้วยพยัญชนะประหลาดแบบไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน ตุ๊กตา กรรไกร แก้วน้ำ รวมทั้งของใช้จุกจิกจิปาถะ เพียงแต่สิ่งของแต่ละชิ้นรูปร่างอัปลักษณ์น่าขยะแขยงมากกว่าจะสวยงามวางปะปนกันอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบ

              “สนใจสินค้าพวกนี้หรือเปล่าไอ้หนู" แกผายมือเชิญชวน

              เด็กชายล้วงกระเป๋าดูเศษเงินไปมาครู่หนึ่ง ก่อนนั่งลงสำรวจสิ่งของในตะกร้าก่อนมีสีหน้าขบคิดแล้วส่ายหน้าบอก

              “ผมมีเงินไม่พอครับ"

              “ของบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินซื้อ"

              ชายชราบอกพลางหัวเราะขลุกขลักในลำคอ หยิบของชิ้นหนึ่งจากตะกร้ายื่นมาตรงหน้า

              "เช่นของชิ้นนี้ให้หนูฟรีเลยก็ได้"

              เต้ขมวดคิ้วอย่างสงสัย รับของนั้นมาพิจารณาดูอย่างไม่ค่อยสนใจนัก

              นาฬิกาปลุกเก่าแก่เรือนไม้โตไม่เกินฝ่ามือ สีดำหม่นคล้ำเหมือนชโลมด้วยเลือดก่อนนำไปผึ่งแดดจนแห้ง รูปนูนสูงสลักประดับลงไปบนเนื้อไม้เป็นภาพใบหน้ามนุษย์กำลังอ้าปากกว้างบิดเบี้ยวราวเจ็บปวดแสนสาหัส ยามสัมผัสให้ความรู้สึกเย็นชืด เด็กอย่างเขาคำนวณอายุของมันไม่ถูก รู้แต่ว่าคงเก่าแก่มาก เข็มบอกเวลาหงิกงอนิ่งสนิท แต่คล้ายได้ยินเสียงหวีดร้องออกมาจากปากอ้ากว้างของรูปสลัก ราวกับว่ามันกำลังกรีดร้องเสียงแหลมสูงยาวนานเสียดประสาท ก่อนจะรู้ว่ามันเป็นเพียงเสียงลมพัดผ่านกระเบื้องบนหลังคาของศาลาริมทาง แต่ทำไมเสียงลมมันช่างคร่ำครวญคล้ายเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานเหลือเกิน

              “ลุง...มันเจ๊งไปแล้ว...นาฬิกาเรือนนี้ เข็มมันไม่กระดิกเลย"

              เด็กชายบอกขณะพลิกดูไปมา และอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่าทั้งที่รูปร่างออกจะน่าเกลียดน่ากลัว  เขากลับชอบมันจนไม่อยากเลือกดูสินค้าชิ้นอื่นอีกเลย ราวกับมีอะไรมาดลใจให้ชื่นชอบมันเป็นพิเศษ

              “มันไม่ได้เสีย เพียงแต่มันยังไม่ได้ไขลาน"

              เด็กชายมองหน้าชายชรา แล้วทำท่าจะไขลานนาฬิกา

              “เดี๋ยว..."

              ชายชรายกมือห้าม เงยหน้ามามองเป็นครั้งแรก พอดีกับฟ้าผ่าเปรี้ยงลงบนต้นไม้ตายซากต้นหนึ่งซึ่งห่างออกจากศาลาออกไปเกือบร้อยเมตร เสียงกึกก้องกัมปนาทจนหัวใจแทบหลุดกระดอนกระเด็นแสงสว่างวาบจากสายฟ้าพอดีสาดจับไปยังใบหน้าของชายชราผู้กำลังเงยหน้าขึ้นมากับ ใบหน้าเก่าแก่อาจพอกับสิ่งของในตะกร้า เห็นชัดกับโครงหน้าซูบผอมโหนกแก้มสูงดวงตาทั้งคู่จมลึกลงในเบ้าตาเป็นจุดแดงราวปีศาจ

              “มันยังไม่ถึงเวลา...เมื่อกลับถึงบ้านเธอจะต้องไขลานนาฬิกาและตั้งเวลาให้มันปลุกเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดีเท่านั้น แล้วเรื่องที่เธอต้องการ..จะสมหวังทุกประการ"

      

             ........มีต่อครับ.....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่