วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2567 (วันแรกที่ป็น)
ตื่นมาก็งงว่าทำไมเราปากเบี้ยว หรือจัดฟันแล้วมันล้ม (จัดตั้งแต่ 25+ ปีมาแล้ว) แปรงฟันบ้วนปากก็น้ำทะลักแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จนกระทั่งไปอาบน้ำตอนล้างหน้านี่แหละที่ว่าทำไมโฟมล้างหน้าและน้ำเข้าตาหมดจนแสบตา แต่ก็ยังคิดว่าคงไม่ได้เป็นอะไรอีกนั่นแหละ ระหว่างวันก็นั่งน้ำตาไหลไปตลอด ก็เอ๊ะตาเป็นอะไรหว่า แสบตาตลอด แต่ในวันก็ใช้ชีวิตปกติไป คิดว่าเดี๋ยวก็คงหาย
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2567 (วันที่2)
ตื่นมาก็อ้าวไม่หายนี่หว่า เราเลยเริ่มจากการค้นหาว่าเราเป็นอะไรจนได้มารู้จักกับโรคกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง เรียกให้มันดูนุ่มนวลแต่จริงๆ เขาเรียกกันว่า "กล้ามเนื้อใบหน้าอัมพฤกษ์ (อัมพาษ) ครึ่งซึก" เป็นระบบเส้นประสาทคู่ที่7 อักเสบ ที่คิดว่าใช่เพราะแสบตานี่แหละเพราะใช้ชีวิตลำบากที่สุด การกิน การดื่มยังพอได้ น้ำลายยังไม่ได้ขนาดไหลออกจากปาก ทุกอย่างยังดี แต่ตานี่คิดว่าไม่ไหว ไปหาหมอดีกว่า
เราไปหาหมอประกันสังคมนะคะ หมอก็บอกว่าเป็นโรคนี้แหละรักษาโดยการทานยาแก้อักเสบเสตียรอยด์ เช้า-กลางวัน-เย็นหลังอาหารทันที ครั้งละ 2 เม็ด และให้วิตามินบี 1 6 12 กับน้ำตาเทียมมา แต่สิ่งที่เราได้จากหมอคือไม่มีกำลังใจเลยหมอบอกโรคนี้หาย 50 50 นะ และหายก็ไม่ถึง 100% แต่เราคิดเสมอว่าเราต้องเป็นคนที่หายใน 50 ให้ได้ และจะต้องหายอย่างสมบูรณ์ที่สุด หมอแนะนำว่าให้ทำกายภาพ และบางคนไปฝังเข็ม ช้อตไฟฟ้า ลองดูนะ แต่ใดๆ ทางโรงพยาบาลไม่มีส่งตัว ต้องไปเสียเงินรักษาเพิ่มเอา แค่มา follow up อาการ และดูว่าต้องเพิ่มหรือลดยา
กลับบ้านก็คิดว่าทานยาทำยังไงให้หายให้ได้แต่ก็คิดไม่ออก ไม่กล้าบอกแฟนกลัวว่าจะเครียด แต่สุดท้ายก็บอกในตอนเกือบค่ำเพราะเขาเป็นห่วงหาแต่คลิปดูแลตาให้เพราะเราไม่ได้บอกว่าเราเป็นโรคนี้อยู่ เท่านั้นแหละ แฟนและเราเพิ่งสังเกตว่าปากเบี้ยวลงไปเยอะมาก โชคดีว่าได้น้องที่รู้จักเป็นพนักงานนวดหน้าแต่เขานวดแบบนวดกล้ามเนื้อไม่ใช่เหมือนนวดหน้าตามคลินิกนะ สอนวิธีให้แฟนนวดว่าต้องบริหารยังไง ลงน้ำหนักมือยังไง พร้อมกับประคบสมุนไพรไป
วันพุธที่ 29 มกราคม 2567 (วันที่3)
เราก็แบบเครียดมาก หาข้อมูลจากในเนต (ก็พันธ์ทิพย์นี่แหละ) ว่ากันว่าโรคนี้อยู่ๆก็เป็น อาจจะนอนน้อย พักผ่อนน้อย หรืออาจจะเพราะว่าติดเชื้อไวรัสพวกเริม งูสวัส แต่ถ้ารีบรักษาทานยาภายใน 72 ชั่วโมงหายแน่นอน พอบอกแฟนก็เลยชวนกันไปหาหมอแผนโบราณ (ที่คราวก่อนพี่เขยแฟนเป็นงูสวัสลามเข้าตาแล้วหาย) ได้ความว่าไม่ได้เป็นที่ติดเชื้อไวรัสพวกงูสวัส หรือใดๆ แต่ก็ได้รับยาแผนโบราณพวกขับลม รับประทานก่อนอาหาร 3 เม็ด เช้า-เย็น และยาอีก1กระปุกที่ไม่แน่ใจว่าคือยาอะไร เป็นหลังอาหาร ครั้งละ 3 เม็ด เช้า-เย็น และก็ยานวดคลายเส้นมาพร้อมแนะนำวิธีการนวด มีกำลังใจหน่อยหมอบอกมารักษาเร็วยังไงก็หาย (ค่ายา 600 บาท)
***เราน่าจะช่วงนี้นอนพักผ่อนน้อยลง
เนื่องจากเวลานวดเขาบอกให้นั่งตัวตรงๆ ไม่รู้เพราะอะไรมีแต่คนทักว่านั่งตัวเอียงเลยแนะนำอีกว่าให้ไปจัดกระดูกให้ตรง ก็เลยไปจัดกระดูก จัดกระดูกเสร็จก็ได้รับคำแนะนำว่าคงไม่สามารถช่วยเรื่องกายภาพ หรือรักษาใบหน้าอ่อนแรงนี้ได้ แต่รู้จักหมอฝังเข็มเก่งที่ว่าน้ำตาไหลตลอดที่ไปฝังเข็มมาแล้วหาย ก็เลยโอเครพรุ่งนี้ไปดู (ค่าจัดกระดูก 600 บาท)
วันพฤหัสที่ 30 มกราคม 2567 (วันที่ 4)
มาหาหมอแต่เช้า เพิ่งรู้ว่าหยุดตรุษจีน แต่คุณหมอใจดีบอกไม่เป็นไรมาฝังเข็มให้ก็ได้ หมอบอกไม่ต้องเครียดคิดมาก มาเร็วยังไงก็หาย เราฝังเข็มเน้นใบหน้าอ่อนแรง บ่า โดนปักที่หัวด้วย (ราคา 600 บาท ปกติ 400 บาท แต่พอดีเป็นวันหยุด โอเครเลยยอมเสีย)
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2567 (วันที่ 5)
เราไปทำงานปกติ พร้อมกับตาที่แสบน้อยกว่าเดิม แต่น้ำตายังไหล ต้องพยายามฝึกให้กระพริบตาบ่อยๆ ไม่รอสมองสั่งการ
***ในทุกๆวันไม่ว่าเราจะทำอะไรตื่นขึ้นมาสิ่งที่ต้องทำคือ
1. ทานยาก่อนอาหาร (ยาแผนโบราณ)
2. เนื่องจากประคบสมุนไพรจะอยู่ได้ดีในประมาณ 2 วัน ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนแผนเป็นเปิดเตาใส่สมุนไพร พวกใบมะกรูด ตะไคร้ (สนใจทักหลังไมล์มาจะถามแฟนให้นะคะ แฟนเป็นคนเตรียมทุกอย่าง) แล้วก็อังไฟทั้งหน้าเลยค่ะ แรกๆก็จะไม่ค่อยรู้สึกร้อนหน้าค่ะ ทำไปทุกๆวัน อย่างน้อย เช้า-เย็น
3. กายภาพบำบัดใบหน้า หาดูคลิปที่เขาสอนสำหรับโรคนี้โดยเฉพาะนะคะ โดยเราเป็นด้านซ้ายนะคะก็จะมีนวดดังนี้
a ใช้2นิ้วชี้และกลางนวดขึ้นเพื่อให้สามารถยักคิ้วได้
b ใช้2นิ้วชี้และกลางนวดวางบนหัวคิ้วป้ายไปปลายคิ้ว
c ใช้2นิ้วชี้นวดวางบนปลายดวงตา แต่ไม่ทับลูกกะตานะคะ ป้ายไปต้นดวงตา (ทั้งด้านบนและด้านล่างดวงตา)
d ใช้2นิ้วชี้วางด้านล่างข้างปลายจมูกรูดขึ้น
e ใช้นิ้วโป้งวางบนริมฝีปากป้ายไปด้านที่ไม่เป็น
f ใช้นิ้วโป้งวางตรงคางใต้ริมฝีปากล่างป้ายไปด้านที่เป็น
g ใช้4นิ้ว ยกเว้นนิ้วโป้งวางใต้ใบหูแล้วรูดลงมา
h ใช้น้ำมันที่หมอแผนโบราณให้นวดคลึงที่หน้าผากข้างที่เป็น มาที่ใบหน้า และหลังหู พร้อมเอามือประสานดมน้ำยาให้น้ำตา น้ำมูกไหลโดยที่ลืมตาอยู่
4. ทานข้าว ทานยาเช้า
5. แฟนนวดหน้ากายภาพต่อตอนเช้า หากไม่ได้ไปทำงาน แต่ถ้าทำงานก็จะไม่ได้ทำ
6. ระหว่างวันให้หาหมากฝรั่งมาเคี้ยวด้านที่เป็นเพื่อกระตุ้นให้ใบหน้าทำงาน ถ้าว่างก็จับนวดๆหน้า และเราซื้อเจลร้อนพกพาแบบกดแผ่นแล้วร้อนเลยมาประคบไว้ด้วย (เวลาไม่ได้อังไฟ ไม่สะดวก นั่งท้าวคางที่ออฟฟิศไป)
7. กลางวันไม่ได้ทำไรมาก นอกจากมีแค่ทานยาอักเสบกับวิตามินหลังอาหารกลางวัน
8. อยากหายเร็วต้องออกกำลังกายเราก็ออกกำลังกายท่าคาดิโอทั่วไปประมาณ 35 นาที
9. รับประทานยาก่อนอาหารเสร็จแล้วก็เอาหน้าอังสมุนไพร ระหว่างรอให้ร่างกายเย็นลงเพื่ออาบน้ำ
10. รับประทานอาหาร ทานยาเรียบร้อย ก็ได้เวลาที่จะต้องนวดหน้ากายภาพโดยแฟนทำให้
วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 6)
ที่พึ่งทางใจตอนนี้ก็คือฝังเข็ม มาครั้งที่2 ได้ขอให้ฝังเข็มลดลิ้นชา และเพิ่มเกี่ยวกับปากให้มีแรงขึ้น (สำหรับเราว่ามันก็ดีขึ้นนะ หรือใครจะว่าคิดไปเอง ส่วนตัวไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ อยากหายก็ต้องทำหลายทาง ที่สำคัญราคาไม่แพงมาก) ครั้งละ 400 บาท วันนี้ที่นี่ครึกครื้นมาก เที่ยงแล้วมีคิวเป็น 25+คิวละ สุดยอดเลย เพิ่มความน่าเชื่อถือ และรู้สึกดีว่าต้องหายแน่ๆ เดี๋ยวจะมาบอกว่าดีขึ้นไหม
วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 7)
ปฎิบัติเหมือนทุกวันที่ต้องทำ มีแม่ และพี่ๆมาเยี่ยม
***แต่ฝังเข็มแล้วความรู้สึกเรื่องลิ้นชาเหมือนดีขึ้นนะ เดี๋ยวต้องหาเวลาไปอีกสักครั้ง หรือ2ครั้ง
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 8)
ไปทำงานปกติ
***ทุกวันที่ตื่นกลางดึกมาจะรู้สึกว่ามันดีขึ้นนะ อาจจะไม่มาก ปากยังเบี้ยว แต่ก็มีความรู้สึกว่ามันไม่ตึง มันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆวันละอย่างน้อย 1-5% แต่มีความรู้สึกก็ดีกว่าไม่รู้สึกว่าดีขึ้นเลย
วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 9)
ไปหาหมอประกันสังคมมาวันนี้ได้เจาะเลือด และพบหมอเพื่อ follow up อาการกับหมอ หมอพูดเหมือนเดิมโรคนี้ไม่หายหรอก 100% เตรียมใจไว้ (คุณหมอคะไม่ให้กำลังใจผู้ป่วยเลยค่ะ) ยังหลับตาได้ไม่สนิท เลยยังทานยาต่อไป เริ่มคิดถึงเรื่องต้องเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และต้องฝึกการใช้ประสาทสัมผัสเพิ่ม เพราะว่าวันนี้ยังไม่สามารถสั่งให้ปิดตาได้ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง มันจะลืมตาตลอดไม่ได้นะ มันต้องสามารถหลับตาสลับข้างกันได้ไปมา (ตัวการคือไขมันในเลือดสูงหรือเปล่าน๊า นอกนั้นเบาหวาน ความดันหายห่วง)
วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 10)
เราเริ่มลดการกายภาพลงบ้างแต่ยังทำอยู่ แล้วหันมาลองสั่งปิด เปิดตา ทำให้ตาที่เปิดอยู่ปิดมิดขึ้น แต่ยังมีบ้างที่หลับตายังเห็นตาขาวอยู่แต่น้อยลงมากแล้ว เปลือกตาเริ่มจะแข็งแรงขึ้น จะรู้ได้ตอนที่ล้างหน้าเพราะว่าเราจะยังไม่สามารถวนล้างรอบดวงตาได้มากเพราะมันแข็งแรงไม่พอที่จะทำให้ปิดตาสนิท
เวลาพูดปากยังรู้สึกตึงๆ อยู่ของอีกฝั่งที่ไม่ได้เป็น ตอนนี้เราเพิ่มอังไฟทั้งหน้าไม่เน้นเฉพาะด้านซ้ายอย่างเดียวแล้ว
วันพฤหัสที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 11)
เปลือกตาเริ่มแข็งแรงขึ้น ปากเริ่มตึงน้อยลง ปากเบี้ยวเริ่มหายแล้ว เรามองว่ามันดูดีขึ้นนะ เพียงเราแค่ยิ้มกับมันให้ได้ ตอนนี้เรามองคนปกติก็ไม่เห็นว่าทุกคนจะยิ้มแล้วปากเท่ากันเลย 555
วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 12)
วันนี้มีประชุมบริษัท ตอนบ่ายหาเวลามาพิมพ์ดีกว่า อยากเป็นวิทยาทานแก่คนที่เพิ่งเป็นหรือเป็นอยู่แล้วอยากหายว่าเราลงแรงอะไรไปบ้าง สำหรับเราตอนนี้เราว่าไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นโรคนี้อยู่ และเราถือว่าหายแล้วเกิน 80% ตอนนี้ก็แค่รอ follow up กับหมอเพื่อค่อยๆลดยา และให้ชัวร์ว่าหายแล้ว 100%
***อยากเป็นกำลังใจ และอยากให้สู้ๆ อย่าท้อแท้ เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องนิดเดียวไปเลยถ้าไปนึกถึงโรคสโตรกที่ทำให้แขนขาอ่อนแรงไปด้วย
เมื่อฉันเป็นกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง (Bell Palsy) มาให้กำลังใจและแนะนำคนที่เป็นอยู่นะคะ
ตื่นมาก็งงว่าทำไมเราปากเบี้ยว หรือจัดฟันแล้วมันล้ม (จัดตั้งแต่ 25+ ปีมาแล้ว) แปรงฟันบ้วนปากก็น้ำทะลักแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จนกระทั่งไปอาบน้ำตอนล้างหน้านี่แหละที่ว่าทำไมโฟมล้างหน้าและน้ำเข้าตาหมดจนแสบตา แต่ก็ยังคิดว่าคงไม่ได้เป็นอะไรอีกนั่นแหละ ระหว่างวันก็นั่งน้ำตาไหลไปตลอด ก็เอ๊ะตาเป็นอะไรหว่า แสบตาตลอด แต่ในวันก็ใช้ชีวิตปกติไป คิดว่าเดี๋ยวก็คงหาย
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2567 (วันที่2)
ตื่นมาก็อ้าวไม่หายนี่หว่า เราเลยเริ่มจากการค้นหาว่าเราเป็นอะไรจนได้มารู้จักกับโรคกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง เรียกให้มันดูนุ่มนวลแต่จริงๆ เขาเรียกกันว่า "กล้ามเนื้อใบหน้าอัมพฤกษ์ (อัมพาษ) ครึ่งซึก" เป็นระบบเส้นประสาทคู่ที่7 อักเสบ ที่คิดว่าใช่เพราะแสบตานี่แหละเพราะใช้ชีวิตลำบากที่สุด การกิน การดื่มยังพอได้ น้ำลายยังไม่ได้ขนาดไหลออกจากปาก ทุกอย่างยังดี แต่ตานี่คิดว่าไม่ไหว ไปหาหมอดีกว่า
เราไปหาหมอประกันสังคมนะคะ หมอก็บอกว่าเป็นโรคนี้แหละรักษาโดยการทานยาแก้อักเสบเสตียรอยด์ เช้า-กลางวัน-เย็นหลังอาหารทันที ครั้งละ 2 เม็ด และให้วิตามินบี 1 6 12 กับน้ำตาเทียมมา แต่สิ่งที่เราได้จากหมอคือไม่มีกำลังใจเลยหมอบอกโรคนี้หาย 50 50 นะ และหายก็ไม่ถึง 100% แต่เราคิดเสมอว่าเราต้องเป็นคนที่หายใน 50 ให้ได้ และจะต้องหายอย่างสมบูรณ์ที่สุด หมอแนะนำว่าให้ทำกายภาพ และบางคนไปฝังเข็ม ช้อตไฟฟ้า ลองดูนะ แต่ใดๆ ทางโรงพยาบาลไม่มีส่งตัว ต้องไปเสียเงินรักษาเพิ่มเอา แค่มา follow up อาการ และดูว่าต้องเพิ่มหรือลดยา
กลับบ้านก็คิดว่าทานยาทำยังไงให้หายให้ได้แต่ก็คิดไม่ออก ไม่กล้าบอกแฟนกลัวว่าจะเครียด แต่สุดท้ายก็บอกในตอนเกือบค่ำเพราะเขาเป็นห่วงหาแต่คลิปดูแลตาให้เพราะเราไม่ได้บอกว่าเราเป็นโรคนี้อยู่ เท่านั้นแหละ แฟนและเราเพิ่งสังเกตว่าปากเบี้ยวลงไปเยอะมาก โชคดีว่าได้น้องที่รู้จักเป็นพนักงานนวดหน้าแต่เขานวดแบบนวดกล้ามเนื้อไม่ใช่เหมือนนวดหน้าตามคลินิกนะ สอนวิธีให้แฟนนวดว่าต้องบริหารยังไง ลงน้ำหนักมือยังไง พร้อมกับประคบสมุนไพรไป
วันพุธที่ 29 มกราคม 2567 (วันที่3)
เราก็แบบเครียดมาก หาข้อมูลจากในเนต (ก็พันธ์ทิพย์นี่แหละ) ว่ากันว่าโรคนี้อยู่ๆก็เป็น อาจจะนอนน้อย พักผ่อนน้อย หรืออาจจะเพราะว่าติดเชื้อไวรัสพวกเริม งูสวัส แต่ถ้ารีบรักษาทานยาภายใน 72 ชั่วโมงหายแน่นอน พอบอกแฟนก็เลยชวนกันไปหาหมอแผนโบราณ (ที่คราวก่อนพี่เขยแฟนเป็นงูสวัสลามเข้าตาแล้วหาย) ได้ความว่าไม่ได้เป็นที่ติดเชื้อไวรัสพวกงูสวัส หรือใดๆ แต่ก็ได้รับยาแผนโบราณพวกขับลม รับประทานก่อนอาหาร 3 เม็ด เช้า-เย็น และยาอีก1กระปุกที่ไม่แน่ใจว่าคือยาอะไร เป็นหลังอาหาร ครั้งละ 3 เม็ด เช้า-เย็น และก็ยานวดคลายเส้นมาพร้อมแนะนำวิธีการนวด มีกำลังใจหน่อยหมอบอกมารักษาเร็วยังไงก็หาย (ค่ายา 600 บาท)
***เราน่าจะช่วงนี้นอนพักผ่อนน้อยลง
เนื่องจากเวลานวดเขาบอกให้นั่งตัวตรงๆ ไม่รู้เพราะอะไรมีแต่คนทักว่านั่งตัวเอียงเลยแนะนำอีกว่าให้ไปจัดกระดูกให้ตรง ก็เลยไปจัดกระดูก จัดกระดูกเสร็จก็ได้รับคำแนะนำว่าคงไม่สามารถช่วยเรื่องกายภาพ หรือรักษาใบหน้าอ่อนแรงนี้ได้ แต่รู้จักหมอฝังเข็มเก่งที่ว่าน้ำตาไหลตลอดที่ไปฝังเข็มมาแล้วหาย ก็เลยโอเครพรุ่งนี้ไปดู (ค่าจัดกระดูก 600 บาท)
วันพฤหัสที่ 30 มกราคม 2567 (วันที่ 4)
มาหาหมอแต่เช้า เพิ่งรู้ว่าหยุดตรุษจีน แต่คุณหมอใจดีบอกไม่เป็นไรมาฝังเข็มให้ก็ได้ หมอบอกไม่ต้องเครียดคิดมาก มาเร็วยังไงก็หาย เราฝังเข็มเน้นใบหน้าอ่อนแรง บ่า โดนปักที่หัวด้วย (ราคา 600 บาท ปกติ 400 บาท แต่พอดีเป็นวันหยุด โอเครเลยยอมเสีย)
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2567 (วันที่ 5)
เราไปทำงานปกติ พร้อมกับตาที่แสบน้อยกว่าเดิม แต่น้ำตายังไหล ต้องพยายามฝึกให้กระพริบตาบ่อยๆ ไม่รอสมองสั่งการ
***ในทุกๆวันไม่ว่าเราจะทำอะไรตื่นขึ้นมาสิ่งที่ต้องทำคือ
1. ทานยาก่อนอาหาร (ยาแผนโบราณ)
2. เนื่องจากประคบสมุนไพรจะอยู่ได้ดีในประมาณ 2 วัน ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนแผนเป็นเปิดเตาใส่สมุนไพร พวกใบมะกรูด ตะไคร้ (สนใจทักหลังไมล์มาจะถามแฟนให้นะคะ แฟนเป็นคนเตรียมทุกอย่าง) แล้วก็อังไฟทั้งหน้าเลยค่ะ แรกๆก็จะไม่ค่อยรู้สึกร้อนหน้าค่ะ ทำไปทุกๆวัน อย่างน้อย เช้า-เย็น
3. กายภาพบำบัดใบหน้า หาดูคลิปที่เขาสอนสำหรับโรคนี้โดยเฉพาะนะคะ โดยเราเป็นด้านซ้ายนะคะก็จะมีนวดดังนี้
a ใช้2นิ้วชี้และกลางนวดขึ้นเพื่อให้สามารถยักคิ้วได้
b ใช้2นิ้วชี้และกลางนวดวางบนหัวคิ้วป้ายไปปลายคิ้ว
c ใช้2นิ้วชี้นวดวางบนปลายดวงตา แต่ไม่ทับลูกกะตานะคะ ป้ายไปต้นดวงตา (ทั้งด้านบนและด้านล่างดวงตา)
d ใช้2นิ้วชี้วางด้านล่างข้างปลายจมูกรูดขึ้น
e ใช้นิ้วโป้งวางบนริมฝีปากป้ายไปด้านที่ไม่เป็น
f ใช้นิ้วโป้งวางตรงคางใต้ริมฝีปากล่างป้ายไปด้านที่เป็น
g ใช้4นิ้ว ยกเว้นนิ้วโป้งวางใต้ใบหูแล้วรูดลงมา
h ใช้น้ำมันที่หมอแผนโบราณให้นวดคลึงที่หน้าผากข้างที่เป็น มาที่ใบหน้า และหลังหู พร้อมเอามือประสานดมน้ำยาให้น้ำตา น้ำมูกไหลโดยที่ลืมตาอยู่
4. ทานข้าว ทานยาเช้า
5. แฟนนวดหน้ากายภาพต่อตอนเช้า หากไม่ได้ไปทำงาน แต่ถ้าทำงานก็จะไม่ได้ทำ
6. ระหว่างวันให้หาหมากฝรั่งมาเคี้ยวด้านที่เป็นเพื่อกระตุ้นให้ใบหน้าทำงาน ถ้าว่างก็จับนวดๆหน้า และเราซื้อเจลร้อนพกพาแบบกดแผ่นแล้วร้อนเลยมาประคบไว้ด้วย (เวลาไม่ได้อังไฟ ไม่สะดวก นั่งท้าวคางที่ออฟฟิศไป)
7. กลางวันไม่ได้ทำไรมาก นอกจากมีแค่ทานยาอักเสบกับวิตามินหลังอาหารกลางวัน
8. อยากหายเร็วต้องออกกำลังกายเราก็ออกกำลังกายท่าคาดิโอทั่วไปประมาณ 35 นาที
9. รับประทานยาก่อนอาหารเสร็จแล้วก็เอาหน้าอังสมุนไพร ระหว่างรอให้ร่างกายเย็นลงเพื่ออาบน้ำ
10. รับประทานอาหาร ทานยาเรียบร้อย ก็ได้เวลาที่จะต้องนวดหน้ากายภาพโดยแฟนทำให้
วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 6)
ที่พึ่งทางใจตอนนี้ก็คือฝังเข็ม มาครั้งที่2 ได้ขอให้ฝังเข็มลดลิ้นชา และเพิ่มเกี่ยวกับปากให้มีแรงขึ้น (สำหรับเราว่ามันก็ดีขึ้นนะ หรือใครจะว่าคิดไปเอง ส่วนตัวไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ อยากหายก็ต้องทำหลายทาง ที่สำคัญราคาไม่แพงมาก) ครั้งละ 400 บาท วันนี้ที่นี่ครึกครื้นมาก เที่ยงแล้วมีคิวเป็น 25+คิวละ สุดยอดเลย เพิ่มความน่าเชื่อถือ และรู้สึกดีว่าต้องหายแน่ๆ เดี๋ยวจะมาบอกว่าดีขึ้นไหม
วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 7)
ปฎิบัติเหมือนทุกวันที่ต้องทำ มีแม่ และพี่ๆมาเยี่ยม
***แต่ฝังเข็มแล้วความรู้สึกเรื่องลิ้นชาเหมือนดีขึ้นนะ เดี๋ยวต้องหาเวลาไปอีกสักครั้ง หรือ2ครั้ง
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 8)
ไปทำงานปกติ
***ทุกวันที่ตื่นกลางดึกมาจะรู้สึกว่ามันดีขึ้นนะ อาจจะไม่มาก ปากยังเบี้ยว แต่ก็มีความรู้สึกว่ามันไม่ตึง มันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆวันละอย่างน้อย 1-5% แต่มีความรู้สึกก็ดีกว่าไม่รู้สึกว่าดีขึ้นเลย
วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 9)
ไปหาหมอประกันสังคมมาวันนี้ได้เจาะเลือด และพบหมอเพื่อ follow up อาการกับหมอ หมอพูดเหมือนเดิมโรคนี้ไม่หายหรอก 100% เตรียมใจไว้ (คุณหมอคะไม่ให้กำลังใจผู้ป่วยเลยค่ะ) ยังหลับตาได้ไม่สนิท เลยยังทานยาต่อไป เริ่มคิดถึงเรื่องต้องเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และต้องฝึกการใช้ประสาทสัมผัสเพิ่ม เพราะว่าวันนี้ยังไม่สามารถสั่งให้ปิดตาได้ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง มันจะลืมตาตลอดไม่ได้นะ มันต้องสามารถหลับตาสลับข้างกันได้ไปมา (ตัวการคือไขมันในเลือดสูงหรือเปล่าน๊า นอกนั้นเบาหวาน ความดันหายห่วง)
วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 10)
เราเริ่มลดการกายภาพลงบ้างแต่ยังทำอยู่ แล้วหันมาลองสั่งปิด เปิดตา ทำให้ตาที่เปิดอยู่ปิดมิดขึ้น แต่ยังมีบ้างที่หลับตายังเห็นตาขาวอยู่แต่น้อยลงมากแล้ว เปลือกตาเริ่มจะแข็งแรงขึ้น จะรู้ได้ตอนที่ล้างหน้าเพราะว่าเราจะยังไม่สามารถวนล้างรอบดวงตาได้มากเพราะมันแข็งแรงไม่พอที่จะทำให้ปิดตาสนิท
เวลาพูดปากยังรู้สึกตึงๆ อยู่ของอีกฝั่งที่ไม่ได้เป็น ตอนนี้เราเพิ่มอังไฟทั้งหน้าไม่เน้นเฉพาะด้านซ้ายอย่างเดียวแล้ว
วันพฤหัสที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 11)
เปลือกตาเริ่มแข็งแรงขึ้น ปากเริ่มตึงน้อยลง ปากเบี้ยวเริ่มหายแล้ว เรามองว่ามันดูดีขึ้นนะ เพียงเราแค่ยิ้มกับมันให้ได้ ตอนนี้เรามองคนปกติก็ไม่เห็นว่าทุกคนจะยิ้มแล้วปากเท่ากันเลย 555
วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 (วันที่ 12)
วันนี้มีประชุมบริษัท ตอนบ่ายหาเวลามาพิมพ์ดีกว่า อยากเป็นวิทยาทานแก่คนที่เพิ่งเป็นหรือเป็นอยู่แล้วอยากหายว่าเราลงแรงอะไรไปบ้าง สำหรับเราตอนนี้เราว่าไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นโรคนี้อยู่ และเราถือว่าหายแล้วเกิน 80% ตอนนี้ก็แค่รอ follow up กับหมอเพื่อค่อยๆลดยา และให้ชัวร์ว่าหายแล้ว 100%
***อยากเป็นกำลังใจ และอยากให้สู้ๆ อย่าท้อแท้ เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องนิดเดียวไปเลยถ้าไปนึกถึงโรคสโตรกที่ทำให้แขนขาอ่อนแรงไปด้วย