ผู้รักษาศีลคือผู้รักตน

กระทู้สนทนา
ผู้รักษาศีลคือผู้รักตน

คำว่า  “ศีล”  ในที่นี้  ผู้เขียนหมายรวมไปถึงกรรมบถ ๑๐ ด้วย  เพราะในกรรมบถ ๑๐ นั้น  มีทั้งศีลและธรรมรวมกัน  นี่ว่าเฉพาะที่รู้ๆ แล้ว  ไม่ว่าศีล ๕ ศีล ๘ หรืออุโบสถศีล  ท่านก็เรียกว่า  “ธรรม”  เหมือนกันหมด

            เหตุใดผู้รักษาศีลจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้รักตน ?

            ประเด็นนี้  เป็นจุดที่น่าให้ความสนใจมาก เพราะถ้าใครเข้าใจประเด็นนี้ได้อย่างถูกต้องแล้ว  เขาจะสนใจศีลและหมั่นรักษาศีลไปตามลำดับขั้น  ตั้งแต่ศีล ๕  อุโบสถศีล  จนถึงกรรมบท ๑๐  ซึ่งมีครบทั้งกายวาจาและใจเลย  เรามาดูกันง่ายๆ  ไม่ต้องไปใช้วิชาคำนวณคำเนินอะไรให้มันเมื่อยมือ หรือเมื่อยสมองหรอก  เอากันที่ศีล ๕ ก่อน

    การไม่ฆ่าคน  เป็นเหตุให้เราไม่มีเวร ไม่ต้องคอยหลบซ่อนตัว กลัวเขาจะมาฆ่าตอบ หรือญาติมิตรของผู้ถูกฆ่าจะมาฆ่าตอบ  จะไปไหน ? จะกินจะนอนมันก็สบายไม่ต้องคอยหวาดระแวงภัย

    การไม่ลักขโมยของคนอื่น  ก็เป็นเหตุให้ไม่ต้องมีเรื่องฟ้องร้องขึ้นโรงศาล หรือถูกใส่ความเพราะความเป็นคนหัวขโมย  ไม่ต้องถูกจับใส่คุกเพราะเหตุอทินนาทาน

    การไม่เป็นคนเจ้าชู้ประตูดิน  ไม่เป็นคนเที่ยวยิ้มไม่ว่าผัวเขาหรือเมียใครไชไม่เลือก ก็จะไม่ต้องคอยระวังว่าผัวหรือเมียเขาจะมาฆ่าแกง เพราะเหตุว่าไปแย่งหรือล่วงเกินของรักของหวงของเขา  อันเป็นเหตุให้ไม่มีเรื่อง  “ศึกในมุ้ง”  ให้ขายหน้าไปทั่วแผ่นดิน  และครอบครัวก็ไม่ปกติสุขถึงต้องฆ่ากันตายด้วย

    การไม่พูดปด  ก็จะไม่เป็นเหตุให้ต้องถูกใส่ความหรือถูกฟ้องร้องหมิ่นประมาท  ทำให้คำพูดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ น่าเคารพ เป็นที่ไว้วางใจของคนทั่วไปในเรื่องคำพูด

    การไม่ดื่มน้ำนรก  นอกจากจะไม่เป็นต้นเหตุให้ก่อกรรมทำชั่วต่างๆ ได้มากมายแล้ว  ยังไม่เป็นเหตุให้บั่นทอนกำลังกาย และกำลังสติปัญญาของตนอีกด้วย  แถมยังจะปลอดโรคต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นมาจากการเป็นคนขี้เหล้าได้อีกมากมายด้วย

    ท่านยังพอจะมองเห็นหรือยังว่า  ศีลแต่ละข้อนั้นนอกจากจะไม่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน อันเป็นทางไหลมาของเวรกรรมต่างๆ แล้ว  ตัวเราเองก็จะมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข ปิดภัยและเวรต่างๆ เสียได้อย่างสิ้นเชิง ที่จะแสดงออกมาทางกายและวาจา  ด้วยเหตุดังกล่าวมา  ผู้ที่รักษาศีลจึงได้ชื่อว่ารักตน

    นี่เป็นอานิสงส์ของศีล ๕  เรามาดูอานิสงส์ของศีล ๘ หรืออุโบสถศีลกันสักหน่อยเป็นไร ?

    ความจริงศีล ๘ นี้  สำหรับชาวบ้านก็ไม่มีความจำเป็นอะไรมากนักที่จะต้องรักษา  โดยเฉพาะคนที่ยังอยู่ใน  “วัยงาน”  คือ ยังต้องประกอบสัมมาชีพเลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัวอยู่  โดยเฉพาะก็คนที่ยังไม่หมดในเรื่องของเพศหรือกามคุณ  ถ้าผัวหรือเมียยังหนุ่มหรือสาวอยู่  ใครขืนรักษาศีล ๘ เป็นประจำ  ถ้าเมียหรือผัวไม่มีชู้ และยังอยู่ด้วยกันได้ ก็ต้องจัดว่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง  ยกเว้นแต่ท่านผู้นั้นจะสำเร็จธรรมขั้นสูง คือ เป็นพระอนาคามีบุคคลไปแล้วเท่านั้น

    แต่สำหรับคน  “วัยงอม”  คือ วัยที่ปลดระวางแล้ว ก็สมควรที่จะรักษาศีล ๘ ได้แล้ว เพราะจะเป็นเหตุให้อายุยืนยาว  ถ้างดเว้นเรื่องการกินให้น้อยลง หรือกินให้ถูกต้องตามวัย  และงดเว้นกามกิจเสียได้  แต่ว่าศีลอุโบสถนี้  มีความสำคัญและจำเป็นแก่ทุกคนในแง่ของการพัฒนาชีวิต ถ้ามีโอกาสจะรักษาได้แม้นานๆ ครั้งก็ยังดี  เพราะอุโบสถศีลเป็น  “วัตร”  ชนิดหนึ่งที่ช่วยฝึกหัดขัดเกลานิสัยส่วนเกินได้อย่างดี  เมื่อเราได้รักษาศีล ๕ แล้ว ลองรักษาอุโบสถศีลแล้ว  ก็น่าจะชิมลองรักษา  “กรรมบถ ๑๐”   ดูบ้าง  ว่ามันจะมี รสชาติเป็นอย่างไร ?  มันจะยากง่ายแค่ไหน ?

    ที่ผู้เขียนให้ความสนใจแก่กรรมบถ ก็เพราะในกรรมบถนั้นมีกระบวนการ  “พัฒนาชีวิตครบวงจร”  กล่าวคือ มีการพัฒนากาย วาจาและใจไปพร้อมกัน  ไม่ต้องไปแยกทำทีละหนคนละคราว  (ท่านที่สนใจการรักษากรรมบถ ๑๐ ขอให้อ่านจากหนังสือ  “สุขสันต์วันเกิด”  ของผู้เขียนได้ เพื่อประหยัดกระดาษจึงไม่นำมาลงให้ซ้ำกัน)

    ที่เขียนมาทั้งหมดนี้  ผู้อ่านบางท่านคงเห็นแล้วว่าการล่วงละเมิดศีลนั้น  มิได้จะทำให้คนอื่นหรือสัตว์อื่นเดือดร้อนเท่านั้น แต่ตัวเองนั่นแหละเดือดร้อนก่อน เมื่อตัวเองสร้างเหตุด้วยการนำเวรภัยมาสู่ตนเอง หรือหาสิ่งมึนเมามาประทุษร้ายสติสัมปชัญญะของตนเองให้เกิดความเดือดร้อนเช่นนี้แล้ว  คนที่ล่วงศีลจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รักตนเองได้อย่างไรกัน ?  เพราะโดยปกติคนทั่วไป มักทำอะไรๆ ก็เพื่อจะให้ตัวเราสบายและสนุก ไม่เคยคิดถึงหัวอกของคนอื่นว่าเขาจะระทมขมขื่น หรือปวดร้าวหัวใจสักเพียงไหน ?  ถ้าไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็รู้ได้ยาก

            นี่ว่าเฉพาะเหตุผลในปัจจุบัน  ยังไม่ได้ว่าถึงผลแห่งกรรมที่ข้ามภพชาติ ที่เราจะต้องไปเสวยอีกนับไม่ถ้วนและยาวนาน  ซึ่งมีอยู่แน่ๆ แต่เราไม่รู้  เพราะเราไม่มีญาณพิเศษอย่างพระพุทธเจ้า  ด้วยเหตุดังกล่าวมา  การรักษาศีลนอกจากจะไม่เป็นการประทุษร้ายตนเองไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมแล้ว  ยังจะได้ชื่อว่าเป็นผู้รักตนเองและรักผู้อื่น (คือไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพราะตน)  อีกด้วย

            ดังนั้น  ผู้รักตนจึงควรรักษาศีล ๕  อุโบสถศีล  กรรมบถ ๑๐  ตลอดจนการเจริญธรรมต่างๆ  มีสติ สมาธิ และวิปัสสนา  เป็นต้น อยู่เป็นประจำเถิด  แล้วท่านจะพบกับความประเสริฐทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย  


ที่มา  หนังสือ ศีล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่