ปลูกรักในรั้วใจ โดยอิสวารายา (ตอนที่ 27,28)




ตอนที่ 27 หวงดวงใจ


          “ที่ผมเรียกคุณมาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากจะตกลงด้วย” ชลธีพูดกับสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉยติดออกจะแข็งกร้าวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างหนาในชุดสูทสีเทาเข้มเกือบดำเอนหลังพิงเก้าอี้พนักสูงด้วยท่าทางสบายๆขัดกับสีหน้าเคร่งเครียดแสดงให้รู้ว่าเรื่องที่บอกว่าจะตกลงด้วยนั้นมีเนื้อหาสำคัญและเป็นเรื่องที่คนฟังจะต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข
            เปรมยุตาหย่อนตัวลงนั่งช้าๆบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สายตาราบเรียบจับจ้องอยู่ที่สองมือของอดีตคนรักที่บรรจงแตะกาวกับกลีบดอกไม้ดินปั้นที่หักบิ่นให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ดูท่าทางเขาจะตั้งใจและประณีตกับงานฝีมือนี้เป็นพิเศษจนทำให้คนมองรู้สึกชาอยู่ในหัวใจ
            “อะไรเหรอคะ?” เสียงหวานถามกลับขณะเดียวกันก็มองกลับไปในนันย์ตาสีเหล็กอย่างค้นหา ชลธีชูตระกร้าดอกไม้ขึ้นตรวจตราอย่างอย่างละเอียดหลังจากประกอบชิ้นส่วนสุดท้ายของกิ่งดอกที่หักกลับเข้าที่เดิมจนมั่นใจว่ามันแข็งแรงทนทานดีแล้ววางไว้อย่างเก่า
            “เรื่องของผมกับแทนดาว... ไม่อ้อมค้อมก็แล้วกันนะ ผมขอให้คุณมองเธออย่างน้องสาวของเพื่อนและแฟนของเจ้านายคุณ...นั่นก็คือผม” ชลธีจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเยือกเย็น
            “น้องพลูไม่ใช่คนที่คุณจะตามไปหึงหวงหรือกวนใจให้เธอต้องไม่สบายใจ ผมตั้งใจกับการเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้มากและหวังว่าคุณจะไม่ทำตัวให้เราลำบาก” สายตาและสีหน้าที่ว่าเยือกเย็นแล้วแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเย็นชายิ่งกว่า มันเย็นเยียบจนคนฟังขนลุก
            “เธอฟ้องคุณเหรอคะ?”  เปรมยุตาบังคับเสียงไม่ให้สั่นขณะที่สายตาละไปมองตะกร้าดอกไม้ที่ตนเองทำตกเมื่อวานและเขาก็ซ่อมแซมมันจนกลับมาอยู่ในสภาพเดิม
            “เปล่า...ทั้งที่ผมอยากให้เธอฟ้องในทุกๆเรื่องแต่เธอไม่ทำ แต่ที่ผมรู้ก็เพราะว่ารู้จักนิสัยคุณดีไงล่ะ คุณเองก็รู้จักผมดีนี่นา...น่าจะรู้ว่าเวลาผมโกรธแล้วมันจะเป็นยังไง” น้ำเสียงเย็นชายังคงเชือดเฉือนอารมณ์ของคนฟังอย่างไม่ปราณี เปรมยุตาเจ็บลึกอยู่ในอกแล้วเมินหน้าไปเสีย ไม่อยากประสานกับแววตาเย็นเยียบคู่นั้น
            “คุณรักเธอมากเหรอคะ?” หล่อนถามกลับคล้ายจะประชดมากกว่าต้องการคำตอบ
            “เรื่องนี้คุณไม่จำเป็นต้องรู้”
            “งั้นปรางก็เข้าใจถูกแล้วว่าคุณไม่ได้รักเธอ แต่ที่ทำไปเพราะต้องการแก้แค้นในสิ่งที่ปรางทำไว้กับคุณ” เปรมยุตาจ้องมองลึกลงไปในดวงตาราบเรียบดุจสายน้ำนิ่งของเขาแล้วพบว่าตอนนี้มันกำลังโชติด้วยประกายไฟแห่งโมหะ
            “ไม่ใช่เลยปราง! มันไม่ใช่เลยสักนิด!” เขาลุกขึ้นยืนแล้วเคลื่อนตัวมากระชากไหล่หล่อนให้ลุกขึ้นประจันหน้าหน้ากัน
            “คุณอย่าคิดสำคัญตัวผิดมากกว่าไปกว่านี้เลย ที่ผมไม่ได้พูดออกมาจากปากตรงๆว่ารู้สึกยังไงกับน้องพลูก็เพราะว่าเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว...ผมเคยพูดพร่ำคำนี้กับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วสุดท้ายก็เจ็บเจียนจะตายเพราะความรักที่มีให้เธอ...” ชลธีรู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการกลืนน้ำลายลงคอ
            “พอฟื้นจากความตายมาได้...ก็ไม่กล้าบอกรักใครพร่ำเพรื่ออีก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความผมจะรักใครอีกไม่ได้” ชลธีผลักไหล่บางคู่นั้นออกห่างแล้วหันหลังให้อย่างไม่สนใจใยดี
            “คุณเป็นคนปากแข็งเสมอเลยนะคะ ใจก็แข็ง...ปากก็แข็ง แต่อีกไม่นานหรอก...ปรางจะทำให้คุณกลับมาอยู่ตรงนี้...” เปรมยุตาเดินมาหยุดตรงหน้าพร้อมกับชี้มือที่อกซ้ายของตัวเอง
            “อยู่ในที่เดิมที่คุณเคยอยู่อย่างมีความสุข  ที่ที่เรานอนหลับฝันไปด้วยกัน คุณไม่ได้รักเด็กนั่น...สักวันคุณต้องรู้ใจตัวเอง ความสัมพันธ์ที่คุณกำลังสานตอนนี้มันเป็นแค่เกราะที่สร้างขึ้นมาป้องกันตัวเองจากปราง!” เปรมยุตาแผดเสียงใส่เขาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ค่อยๆรินรด ชลธีส่ายหน้ากับความดื้อรั้นในความคิดของหล่อน
            “เกราะที่ว่ามันแข็งแรงกว่าที่คุณคิดมากมายนัก...” เขาเดินไปหยิบตะกร้าดอกไม้เล็กๆขึ้นมาดูอีกครั้ง นัยน์ตาที่เปล่งประกายโชติช่วงอ่อนแสงลงทันทีขณะเพ่งมองลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์ดอกกระจิริดที่ได้รับการซ่อมแซมอย่างดี
            “ไม่ว่าจะคุณจะพยายามทำลายมันด้วยวิธีไหนก็ไม่มีวันพังง่ายๆ อาจจะมีชำรุดบ้างแต่ผมก็จะซ่อมมันให้กลับเป็นอย่างเดิม พังอีกก็ซ่อมอีก...จนคุณเองที่ต้องเป็นฝ่ายหมดแรง...เปรมยุตา”

             วันนี้ปลายเดือนรับอาสาไปส่งน้องสาวที่โรงแรมในตอนเย็น ถึงจะเสียใจอยู่บ้างที่ไม่พบชลธีตอนที่ไปถึง พอพนักงานบอกว่าเขาออกไปข้างนอกกับเปรมยุตาก็เกิดไม่ชอบใจขึ้นมาเสียดื้อๆ ครุ่นคิดว่าทำไมเขาจะต้องออกไปธุระข้างนอกกับคนรักเก่าด้วย หรือชลธียังไม่สามารถดับถ่านไปเก่าให้มอดสนิทได้จริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น...ก็คงถึงเวลาแล้วที่หล่อนจะต้องช่วยเอาน้ำไปรดกองเถ้าถ่านให้หมดควันกรุ่นในเร็ววัน
            “คุณชลบอกหรือเปล่าว่าจะกลับเข้ามากี่โมง?” ปลายเดือนถามเลขานุการของชลธีที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องอย่างวางอำนาจจนลืมคิดไปว่าที่นี่ไม่ใช่ทวีกิจซึ่งไม่ควรแสดงตนข่มพนักงานของที่นี่
            “ตามตารางงานวันนี้น่าจะเสร็จประมาณหกโมงเย็นค่ะ แต่ว่าจะกลับเข้ามาที่นี่อีกหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ” พนักงานสาวตอบกลับอย่างเกรงๆในท่าทางและกิริยาดุจนางพญาของเพื่อนเจ้านายใหญ่คนนี้ แต่ในใจลึกๆก็อดที่จะนินทาไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ช่างไว้ตัวและเย่อหยิ่งต่างกับเจ้านายที่ถึงแม้จะดูเข้มงวดแต่ก็มีอัธยาศัยดี  
            “ฉันจะรอที่นี่ก็แล้วกัน” ปลายเดือนบอกแล้วก้าวฉับๆเข้าไปนั่งรออย่างใจเย็นในห้องประชุมกึ่งห้องรับแขกที่อยู่ตรงข้ามกัน
            “รอสัญญาณจากฉัน...แล้วอย่าให้พลาดล่ะ” ปลายเดือนยกโทรศัพท์คุยไม่ถึงห้าวินาทีแล้วก็วางสาย รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้าสวยสะคราญอย่างไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้

           แทนดาวเล่นเพลงอย่างมีความสุขตามปรกติ พอมาถึงบทเพลงสุดท้ายของวันนี้ก็เลยเลือกจังหวะครึกครื้นขึ้นมาหน่อยเพื่อส่งท้ายวันศุกร์แห่งชาติ ลูกค้าที่ส่วนมากมาเป็นกรุ๊ปทัวร์ดูค่อนข้างหนาตาเพราะเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่องไปจนถึงวันจันทร์ นิ้วมือกลมเรียวดั่งลำเทียนกดคีย์ตัวสุดท้ายพร้อมรอยยิ้มเช่นเคยแล้วค่อยๆเก็บข้าวของ
            “เล่นเพราะจัง...เล่นต่ออีกสักเพลงได้หรือเปล่า? เดี๋ยวให้ทิปพิเศษเลย” ชายรูปร่างสันทัดคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับส่งสายตาเจ้าชู้ให้ ในมือมีแก้วไวน์หรือเหล้าก็ไม่แน่ใจ
            “ขอบคุณนะคะ แต่ว่าวันนี้หมดเวลาแล้ว เดี๋ยวรอฟังเพลงจากนักดนตรีประจำดีกว่าค่ะ” แทนดาวตอบอย่างสุภาพอ่อนหวาน นับเป็นครั้งแรกที่มีลูกค้ามาพูดคุยด้วยตั้งแต่มาทำงานที่นี่เป็นเวลานับเดือนแล้ว
            “ว้า...เสียดายจัง...กำลังเพลินเลย ว่าแต่น้องสาวน่ารักคนนี้ชื่ออะไรเหรอครับ? มาวันไหนบ้าง?” ลูกค้าคนเดิมยังชวนคุยต่อ
            “ชื่อแทนดาวค่ะ จะมาเฉพาะวันพฤหัสฯกับศุกร์ ถ้ายังไงดิฉันขอตัวไปหาพี่สาวก่อนนะคะ” หญิงสาวตอบแล้วเบี่ยงตัวหลบคนที่ยืนขวางทางอยู่
            “ชื่อก็เพราะ เล่นเปียโนก็เพราะ เอ...มีแฟนหรือยังครับเนี่ย?” ชายคนนั้นถือวิสาสะจับข้อมือของหล่อนตอนที่กำลังเดินผ่านซึ่งสร้างความตกอกตกใจให้อยู่ไม่น้อย คิดว่าผู้ชายคนนี้ต้องเมาแน่ๆเพราะขนาดอยู่ไม่ใกล้มากแต่ก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์โชยฉุนเข้าจมูก
            “ขอโทษนะคะ ดิฉันต้องไปแล้วจริงๆ” แทนดาวพยายามจะสลัดมือที่ถูกยึดไว้แต่ก็ไม่สำเร็จและดูเหมือนฝ่ายนั้นยิ่งกำข้อมือแน่นขึ้น หล่อนรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียแล้ว ยืนหันรีหันขวางจะมองหาคนช่วยก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้นนอกจากลูกค้า เสียงเปียโนจากนักดนตรีประจำดังขึ้นกลบบทสนทนาในที่สุด
            “นั่งคุยเป็นเพื่อนผมก่อนสิ จะคิดค่าชั่วโมงก็ได้นะ...เท่าไหร่ก็เรียกมาได้เลย”
            “ดิฉันไม่ใช่เด็กนั่งดริ้งค์ ถ้าคุณจะมาหาความสำราญแบบนั้นควรไปที่อื่นดีกว่าค่ะ” แทนดาวเริ่มโมโหที่อีกฝ่ายยังพูดจาลามเลียไม่หยุด
            “แล้วน้องไม่อยากไปหาความสำราญอย่างว่ากับผมเหรอ? ไปมั้ย...ผมให้ค่าขนม” ชายคนเดิมยังตื๊อและเริ่มที่จะหนักข้อขึ้น
            “ไม่ไป! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไอ้บ้า!” แทนดาวหมดความอดทนเลยใช้สมุดโน้ตเล่มหนาฟาดไปที่ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยหนักๆหนึ่งทีเป็นจังหวะเดียวกับที่มือแข็งแรงดุจคีมเหล็กกระชากร่างบางให้ลงไปนั่งบนโซฟาพนักสูงที่สามารถบดบังสายตาของผู้คนแถวนั้นได้เป็นอย่างดี
            “ที่เล่นตัวนี่เพราะอยากอัพราคารึไง? เธอจะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา หรือถ้าทำถูกใจผมเลี้ยงดูเป็นรายเดือนก็ยังได้” ชายคนนั้นเริ่มส่งมือไม้ลูบไล้ลวนลาม แทนดาวได้กลิ่นเหม็นคลุ้งของน้ำเมาจากลมหายที่ทำให้รู้สึกขยะแขยงบวกสะอิดสะเอียน ใบหน้าที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเคราหยาบๆค่อยๆยื่นเข้ามาใกล้ใบหน้าของตน
            “ปล่อยนะ! ช่วยด้วยค่ะ...ช่วยด้วย!”  ความตระหนกตกใจจนทำให้ไม่รู้ว่าจะแก้สถานการณ์อย่างไรดีจึงตัดสินใจร้องตะโกนและไม่ถึงสองวินาทีความช่วยเหลือที่ร้องขอก็มา
            “ไอ้!” เสียงสบถดังลั่นลอยมาพร้อมๆกับมือที่กระชากคอเสื้อของชายแปลกหน้าจนตัวเกือบลอยขึ้นจากพื้น แล้วอึดใจต่อมาไอ้สารเลวคนนั้นก็ทรุดไปกองกับพื้นพร้อมๆกับเลือดสดๆไหลกบจมูก ได้ยินเสียงร้องจากคนที่เห็นเหตุการณ์แล้วจากนั้นคนอื่นๆก็พากันมามุงดูอยู่ห่างๆ
            “ไอ้เลว! กูจะกระทืบจนกว่าจะสร่างเมา” ชลธีคำรามเสียงกร้าวแล้วทำตามที่พูดโดยไม่รีรอ  ทั้งมือทั้งเท้าประเคนใส่คนที่นอนตัวงออยู่บนพื้น หน้าตาของเขาบูดบึ้งและเหี้ยมเกรียมที่สุด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่