*42.195 the project* ภารกิจพิชิตมาราธอนก่อนอายุ 20

*เราเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะเราว่าง ก็เลยอยากมาเล่าให้ฟัง เผื่อจะได้มีโอกาสเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆได้บ้าง ยิ้ม *

ถ้าพูดถึงเลข 42.195 สำหรับคนทั่วๆไปอาจจะคิดว่ามันก็คือจำนวนปกติๆทั่วไป
แต่สำหรับนักวิ่งทั้งหลายแล้ว เราเชื่อว่าครั้งนึงมันต้องเคยเป็นเป้าหมายของนักวิ่งหลายๆคนแน่นอน
เพราะว่า 42.195 กิโลเมตร เป็นระยะวิ่งฟูลมาราธอนนั่นเอง

ตอนเด็กๆเราเป็นเด็กเรียบร้อย555555 วันๆเล่นแต่อยู่ในบ้าน ไม่ค่อยเคลื่อนไหวไปไหน
ก็เลยพาลทำให้เกลียดการออกกำลังกายไปด้วย แต่ก็ร่างกายแข็งแรงดี ไม่ค่อยป่วย
ตัวเราเองเริ่มวิ่งเมื่อเดือนมีนาปีที่แล้วค่ะ ตอนนั้นไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกาแล้วอยากได้เพื่อนเยอะๆ ก็เลยไปสมัครเข้าทีม Track&field
ก็ซ้อมกับทีมมาเรื่อยๆ เป็นคนที่วิ่งช้าที่สุดในทีมแล้ว เหนื่อยง่ายมาก ท้อมาก (เพื่อนในทีมเพซ 3-4 ทั้งนั้น)
จนตอนหลังไม่ไหว ขอโค้ชย้ายไปปา shot put แทน 55555555

แต่ตอนนั้นมันก็เหมือนมีบางอย่างติดอยู่ในใจว่า ทำไมคนอื่นวิ่งได้แล้วเราวิ่งไม่ได้...
เราก็เลยตั้งเป้าหมายง่อยๆว่า จะวิ่ง 5 กิโลให้ได้ (ตอนนั้น 5กิโลคือดูยิ่งใหญ่มากนะ55555)
โดยมีเพื่อนร่วมภารกิจคือแอพในมือถือที่ชื่อว่า Nike running มันดีมาก อันนี้เราแนะนำเลยสำหรับคนเริ่มวิ่ง
มันเหมือนเล่นเกม เก็บแต้มไปเรื่อยๆ วันไหนได้ถ้วยรางวัลนี่จะดีใจมาก วันไหนมีเสียงชมตอนวิ่งเสร็จก็จะดีใจคูณสอง55555

เราใช้เวลาทั้งหมด1เดือนครึ่งในการพิชิต 5กิโลแรก ยาวนานและเหนื่อยที่สุด
และแน่นอน...มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โลภมาก ไม่เว้นแม้กระทั่งการออกกำลังกาย พอได้ 5กิโล ก็อยากได้มากกว่านั้น
ตอนนั้นใกล้กลับไทยพอดี เราก็เลยลงงานวิ่ง 5ไมล์ของ super sports ไว้ (ประมาณ 8กิโล)
และค่อยๆซ้อมเรื่อยมา ขยับทีละนิดทีละหน่อย
พอผ่านงาน super sports (ที่ฟีดแบคงานไม่ค่อยดี5555555)
เราก็ซ้อมไปฮาล์ฟมาราธอนเลยเพราะเป็นช่วงรอมหาลัยเปิดเทอมก็เลยว่างมากเป็นพิเศษ

ฮาล์ฟแรกของเราคือ human run 2015 ที่จัดที่มธ.ท่าพระจันทร์ค่ะ
งานนี้ดีมาก ปิดถนนดี น้ำเพียงพอ แต่ปล่อยตัวเช้าไปหน่อย(ถ้าจำไม่ผิดตี3) แทบจะไม่ต้องนอนกันเลยทีเดียว
งานนี้เราตั้งเป้าไว้ที่ 2:30 ชั่วโมง และจบที่เวลา 2:29 เย่ พอวิ่งเสร็จปรากฏว่าเราได้ที่1รุ่นอายุด้วย (ไม่เกิน19ปี)
เพราะทั้งรุ่นมีเราวิ่งคนเดียว ตอนที่เราเข้าเส้นชัยคือเค้าเกือบจะมอบรางวัลกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะดีใจดีรึเปล่า555555555


พอจบฮาล์ฟ เราก็อยากไปฟูลมาราธอนเลย และตั้งเป็น bucket list ของตัวเองไปด้วยเลย
ว่าอยากจะวิ่งฟูลมาราธอนให้ได้ก่อนอายุ 20 เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น เราก็คงจะผลัดไปผลัดมา
อ้างว่ายุ่งบ้างเรียนหนักทำงานหนักบ้าง จนทำให้ไม่ได้วิ่งซักที
เราหาข้อมูลจนมาเจอ Nagoya Women Marathon ที่ญี่ปุ่น ซึ่งพอดีมาก เพราะเรากำลังจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น
และงานก็จัดก่อนวันเกิดเรา 6 วัน และโชคดีไปอีกที่ปีนี้เค้าไม่จับฉลากแล้ว แต่ใช้ระบบสมัครก่อนได้ก่อน
เราก็เลยมั่นใจว่าจะได้ไปวิ่งแน่ๆ

เราใช้เวลาซ้อมทั้งหมด 6 เดือน เพราะเป็นมือใหม่ และขี้กลัว กลัวซ้อมในเวลาสั้นๆแล้วจะเจ็บ กลัวนู่นกลัวนี่(อันนี้ไม่ดี)
บวกกับทั้งเรียนทั้งทำงานไปด้วย ก็เลยเลือกตารางที่สบายต่อชีวิตมากที่สุด
แต่ถึงจะสบายที่สุดก็ทำเอาเราแทบจะบริหารเวลาไม่ทันอยู่เหมือนกัน
งานวิ่งจัดกลางเดือนมีนา เท่ากับว่าตารางซ้อมจะหนักช่วงเดือนมกรา-กุมภา ซึ่งตรงกับหน้าหนาวที่ญี่ปุ่น
ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนที่ชอบอากาศหนาวๆเย็นๆ แต่บางทีก็รู้สึกว่า หนาวเกินไปนะ...
วันไหน 7-10องศานี่แทบจะใส่ขาสั้นออกไปกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ

(วิ่งไปน้ำมูกไหลไปตลอดทาง)


แต่ก็นั่นแหละ...เราผ่านช่วงนั้นมาได้ด้วยประโยคที่ว่า
"If you wait for perfect conditions, you will never get anything done"
ทุกครั้งหลังเลิกเรียนต้องรีบแข็งใจฮึบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปวิ่ง
และก่อนวิ่งต้องบอกเพื่อนไว้ซัก 2-3 คนว่าจะไปวิ่งเส้นทางไหนและใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ เผื่อเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา5555555

เราซ้อมระยะ 32 กิโลไป 2 ครั้ง และ 35 กิโลไป 1 ครั้ง จนค่อยข้างมั่นใจว่าน่าจะจบแน่ๆ
และก่อนแข่งเราก็หยุดพัก 4วันเต็มๆแบบไม่ทำงานทำการอะไรทั้งสิ้น(โชคดีที่เป็นช่วงปิดเทอม)
เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเองจากการซ้อมและพักผ่อนอย่างเต็มที่
ไปรับ bib ก่อนวันงาน 1วัน โชคดีที่ซ้อมวิ่งกับสภาพอากาศ, เวลาและอาหารที่ญี่ปุ่นมาตลอดก็เลยไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย
ขั้นตอนการรับ bib เร็วมาก 20วินาทีก็เสร็จแล้ว สมกับเป็นงานระดับ gold label จริงๆ ยิ้ม

*ตัดไปที่วันงาน* เนื่องจากปล่อยตัว 9โมงเช้า เราก็เลยไม่ต้องตื่นเช้าอะไรมาก
อากาศหนาวเย็นกำลังพอดี 6 องศา แต่ด้วยความที่เราไม่ชอบใส่ running tights เพราะวิ่งไปวิ่งมาละร้อน
เราก็ใส่กางเกงขาสั้นไปเหมือนตอนวิ่งตามงานที่เมืองไทย55555555
พอเริ่มออกวิ่ง ด้วยความที่ตื่นเต้น+ซ้อมมาไม่ค่อยพอ เราคุมเพซตัวเองไม่ค่อยอยู่ ขึ้นๆลงๆตลอดในช่วงแรก
แต่ก็พยายามดูอาการตัวเองตลอดและวิ่งตามความรู้สึก เช่น 10กิโลแรกควรผ่านไปกับความรู้สึกที่เหมือนยังไม่ได้วิ่งเลย อะไรประมาณนี้

ตอนกิโลแรกๆมีคนตะโกนว่า "40k left" เรานี่แทบจะหันไปค้อน5555555 เป็นการให้กำลังใจที่บั่นทอนซะจริงๆ
เราก็วิ่งไปเรื่อยๆจนกิโลที่ 24 เริ่มปวดขาปวดเข่าชัดเจน แต่ก็ยังไม่มีอะไรหนักหนา
กิโลที่ 31 เริ่มเหนื่อย ปวดหลัง เจ็บเท้า ตอนนั้นมีประโยคนึงที่เคยได้ยินลอยเข้ามาในหัวเลยว่า
กิโลที่ 30-40 นี่เป็นระยะวัดใจเลยนะ จะหยุดหรือจะไปต่อนี่คือต้องเถียงต้องทะเลาะกับตัวเองไปตลอดทาง
แต่มีทั้งอาสาสมัครที่ดูแลเราอย่างดี กองเชียร์ที่คอยนับกิโลถอยหลังให้ (ซึ่งไม่รู้ว่าจริงๆแล้วช่วยเพิ่มหรือลดกำลังใจกันแน่55555)
รวมไปถึงรถตามเก็บคนที่วิ่งไม่ทัน cut off time ที่อยู่อีกฟากของถนนที่มาคอยกดดัน เราก็ผ่านตรงช่วง 31-35 กิโลมาได้แบบหอบๆ

ถ้า 31-35 ว่าแย่มากแล้ว ขอเรียกกิโลที่36-41 ว่าเป็นระยะใกล้ตาย เราปวดขามากจนร้องไห้ TT
เดินยังจะไม่ไหว อยากจะหันไปหาอาสาสมัครแล้วบอกว่าขอรถเข็นให้หนูนั่งเถอะค่ะ 5555555 แต่ก็ฮึบไว้แล้วก็ค่อยๆกระดึ๊บๆไปเรื่อยๆ
จนเห็นป้ายว่าเหลืออีก 1 กิโล กองเชียร์เปลี่ยนจากตะโกนคำว่าสู้ๆนะ เป็นคำว่า "ดีใจด้วยนะ" "ยินดีต้อนรับกลับมานะ"
ตอนนั้นไม่ได้มีแรงเพิ่มขึ้นมาหรอก(มันหมดไปนานแล้ว😂) แต่คือดีใจมากจนลืมอาการปวดไปทั้งหมด
แล้วเราก็เข้าเส้นชัยด้วยเวลา(ตาม garmin) 5:14ชั่วโมง แน่นอนว่าเป็น PR เพราะเป็นมาราธอนครั้งแรกของเรา
และเราก็พอใจกับเวลานี้มาก


เราเคยสงสัยว่า คนเราวิ่งเป็นสิบๆกิโลได้ด้วยหรอ
แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่า 42กิโลหรือมากกว่านั้นก็เป็นระยะที่ใครๆก็วิ่งได้ ถ้าซ้อม, มุ่งมั่นและตั้งใจ
เรารู้แล้วด้วยว่าร่างกายของคนเรามันสามารถปวดได้ถึงขนาดนี้(นิ้วเท้าทุกนิ้วเลย55555555)
แต่เชื่อมั้ย มันเป็นการปวดขาปวดเท้าปวดหลังที่ทำให้เรามีความสุขมากๆ
นั่งอมยิ้มกับเสื้อ finisher ทั้งวันเหมือนคนบ้า 555555555

ถึงตรงนี้หลายๆคนอาจจะงงว่าที่เรามาเล่ามาพิมพ์ยืดยาวนี่เราต้องการอะไร
เราตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาก็เพราะอยากจะแชร์เป้าหมายเล็กๆของเราและการพิชิตเป้าหมายนั้น ยิ้ม
จากคนที่วิ่ง 300เมตรหอบ ตอนนี้เราวิ่งมาราธอนได้แล้ว(ยังหอบเหมือนเดิม55555)
เราหวังว่ากระทู้ของเราคงพอจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายๆคนเหมือนที่เราเคยได้รับแรงบันดาลใจมา
คนที่ไม่เคยวิ่ง อาจจะอยากออกมาลองวิ่งดูบ้าง
คนที่วิ่งอยู่ อาจจะอยากตั้งใจซ้อมไปมาราธอนดูบ้าง
หรือคนที่ไม่อยากวิ่ง อาจจะอยากตั้งเป้าหมายอะไรซักอย่างของตัวเองแล้วพิชิตมันดูบ้าง
แค่นี้ก็เป็นของขวัญวันเกิดดีๆน่ารักๆให้เราได้แล้ว🙃
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่