ภาวนาจิตร์ไว้ใน ปฏิภาคนิมิตร์นั้นจับเดิมแต่ปฏิภาคนิมิตร์บังเกิดแล้ว อันว่านิวรณธรรมทั้ง ๕ มีกามฉันท์เปนต้นก็สงบลง

อนึ่งธรรม  ๓ ประการ  คือลมออก  ๑ ลมเข้า  ๑  นิมิตร์  ๑  จะได้เปน
อารมณ์แห่งจิตร์อันเดียวกันหาบมิได้  ลมออกก็เปนอารมณ์แห่งจิตร์อันหนึ่ง ลมเข้า
ก็เปนอารมณ์แห่งจิตร์อันหนึ่งต่างกันดังนี้  ถ้าแลพระโยคาพจรพระองค์ใดบมิได้รู้
ซึ่งธรรมทั้ง  ๓  คือลมออกก็มิได้ปรากฎ  ลมเข้าก็มิได้ปรากฎแจ้ง  นิมิตร์ก็มิได้ปรากฎ
แจ้ง มิได้รู้ธรรม  ๓ ประการนี้แล้ว  พระกรรมฐานแห่งพระโยคาพจรพระองค์นั้นก็
มิได้สำเร็จซึ่งอุปจารแลอัปนา  



ต่อเมื่อใดธรรมทั้ง  ๓  นี้ปรากฎแจ้ง  พระกรรมฐาน
แห่งพระโยคาพจรนั้น  จึงจะสำเร็จถึงซึ่งอุปจารฌานแลอัปปนาฌานในกาลนั้น  ฯ
เมื่อนิมิตร์บังเกิดดังนี้แล้วให้พระโยคาพจรไปยังสำนักอาจาริย์พึงถามดูว่า  ข้าแต่
พระผู้เปนเจ้า  อาการดังนี้ปรากฎแก่ข้าพเจ้า ฯ พระมหาเถรสันทัดในคัมภีร์ทีฆะนิกาย
นั้น  ถ้าศิษย์มาถามดังนั้น  อาจาริย์อย่าพึงบอกว่านั่นและคืออุคคหะนิมิตร์แล
ปฏิภาคนิมิตร์แลจะว่าใช้นิมิตร์ก็อย่าพึงว่า  พึงบอกว่าดูกรอาวุโสดังนั้นแลท่านจง
มนะสิการไปให้เนือง  ๆ  เถิด  ครั้นอาจาริย์บอกว่าเปนอุคคหะปฏิภาคแล้วสตินั้นก็


พระวิสุทธิมัคค์  หน้า  337
จะคลายความเพียรเสีย  มิได้จำเริญพระกรรมฐานสืบไป  ถ้าบอกว่าดังนั้นมิใช่นิมิตร์
จิตร์พระโยคาพจรก็จะถึงซึ่งนิราศสิ้นรักใคร่ยินดีในพระกรรมฐาน  เหตุดังนั้นอย่า
ให้บอกทั้ง  ๒  ประการ  พึงเตือนแต่ให้อุสาหะมนะสิการไปอย่าได้ละวาง ฯ ฝ่ายพระ
มหาเถรผู้กล่าวคัมภีร์มัชฌิมนิกายว่าให้อาจารย์พึงบอกว่า  

ดูกรอาวุโสสิ่งนี้คืออุคคหะ
นิมิตร์สิ่งนี้คือปฏิภาคนิมิตร์บังเกิดแล้ว  ท่านผู้เปนสัปรุษจงอุสาหะมนะสิการพระ
กรรมฐานไปจงเนือง  ๆ  เถิด ฯ  แลพระโยคาพจรเปนศิษย์พึงตั้งซึ่งภาวนาจิตร์ไว้ใน
ปฏิภาคนิมิตร์นั้นจับเดิมแต่ปฏิภาคนิมิตร์บังเกิดแล้ว  อันว่านิวรณธรรมทั้ง  ๕  มี
กามฉันท์เปนต้นก็สงบลง



บรรดากิเลศธรรมทั้งหลายมีโลภะโทสะเปนต้น  ก็รำงับ
ไป  จิตร์แห่งพระโยคาพจรก็จะตั้งมั่นลงด้วยอุปจารสมาธิ  แลโยคาพจรนั้นอย่าพึง
มนะสิการซึ่งนิมิตร์โดยวรรณมีสีดังปุยนุ่นเปนต้น  อย่าพึงพิจารณาโดยสีอันหยาบ
แลลักษณมีความไม่เที่ยงเปนต้น  พึงเว้นเสียซึ่งสิ่งอันมิได้เปนที่สบาย ๗  ประการ มี
อาวาศมิได้เปนที่สบายเปนต้น  พึงเสพย์ซึ่งสบาย  ๗  ประการ  มีอาวาศสบายเปนต้น
แล้วพึงรักษานิมิตร์นั้นไว้ให้สถาพรเปนอันดี  ประดุจนางขัติยราชมเหษี  อันรักษา
ไว้ซึ่งครรภ์อันประสูตร์ออกมาได้เปนบรมจักรพัตราธิราชนั้น  เมื่อรักษาได้ดังนี้แล้ว
พระกรรมฐานก็จะจำเริญแพร่หลาย  แลพระโยคาพจรพึงตกแต่งซึ่งอัปนาโกสลย์ ๑๐
ประการ  ประกอบความเพียรให้เสมอพยายามสืบไป  


อันว่าจตุกฌาน  ปัญจกฌานก็
จะบังเกิดในนิมิตร์นั้นโดยลำดับดังกล่าวแล้วในปถวีกสิณ  เมื่อจตุกฌาน  ปัญจกฌาน
บังเกิดแล้ว  ถ้าพระโยคาพจรมีความปราถนาจะจำเริญซึ่งพระกรรมฐานด้วยสามารถ
สัลลักขณาวิธีแลวิวัฏนาวิธี     จะให้ถึงซึ่งอริยผลนั้น    ให้กระทำซึ่งฌานอันตน
ได้นั้น  ให้ชำนาญคงแก่วะสี  ๕ ประการแล้ว  

จึงกำหนดซึ่งนามแลรูปคือจิตร์แลเจตสิกกับรูป  ๒๘  
ปลงลงสู่วิปัสสนาปัญญาพิจารณาด้วยสามารถสัมมัสสนะญาณเปน
ต้น  ก็จะสำเร็จแก่พระอริยมรรคพระอริยผล  มีพระโสดาเปนต้นเปนลำดับ
ตราบเท่าถึงพระอรหัตตผลเปนปริโยสาน  ด้วยอำนาจจำเริญซึ่งพระอานาปานะสติ
กรรมฐานนี้  เหตุดังนี้พระโยคาพจรกุลบุตร์ผู้เปนบัณทิตยชาติ  อย่าพึงประมาท


สมาธินิเทศ  หน้า  338
จงหมั่นประกอบเนือง  ๆ  ซึ่งพระอานาปานะสติสมาธิอันกอบด้วยอานิสงส์เปนอัน
มากดังกล่าวมานี้  ฯ
วินิจฉัยในพระอานาปานะสติกรรมฐานยุติแต่เท่านี้



https://get2nirvana.wordpress.com/author/get2nirvana/
คัมภีร์พระวิสุทธิมัคค์ – วินิจฉัยในพระอานาปานสติกรรมฐาน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่