คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ขออนุญาตออกความเห็นนะครับ
วงเงินโอ/ดี จะเป็นวงเงินที่ลดต้นลดดอกเบี้ย จะคิดดอกเบี้ยตามจำนวนเงินกับจำนวนวันใช้เงินไป หากมีเงินเข้ามาควรลดยอดให้ต่ำลงเท่าที่จะทำได้ หากต้องใช้ เช่น ต้องการสต็อกสินค้า การให้เครดิตเทอมกับลูกหนี้ หรือเพื่อเสริมสภาพคล่องเป็นครั้งคราวค่อยเบิกใช้ภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ หากติดขัดก็สามารถชำระเฉพาะดอกเบี้ยทุกสิ้นก็ได้ไม่มีปัญหา แต่หากไม่มีการชำระดอกเบี้ยทุกวันสิ้นเดือน ดอกเบี้ยจะทบเป็นเงินต้นในวันทำการถัดไป ถามว่าหากมีเงินควรชำระหนี้ตัวไหนก่อน หากวงเงินโอดีไม่เกินวงเงินก็ควรชำระหนี้เงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า จะลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่ากันครับ
กรณีอัตราดอกเบี้ยตามที่จ่ายอยู่ในเกณฑ์ที่ธนาคารคิดกับลูกค้าชั้นดีทั่วไป ตามที่เห็นมีวงเงินที่เป็นเงินกู้เพื่อธุรกิจ อยู่ 3 วงเงิน รวมยอดหนี้ 602,968.37 บาท ผ่อนรวมเดือนละ 18,000 บาท แนะนำว่าควรขอเงินกู้ใหม่เพื่อชำระหนี้ยกเลิกยอดหนี้ของเงินกู้ทั้ง 3 บัญชี กู้ในวงเงิน 600,000 บาท ผ่อนภายใน 5 ปี เดือนละประมาณ 13,000 บาท ก็จะทำให้ธุรกิจมีสภาพคล่องเพิ่มเดือนละ 5,000 บาท ไปลดยอดโอ/ดีลงได้ ส่วนบ้านต้องดูว่าธนาคารใดให้เงื่อนไขที่ดี อาจจะรีไฟแนนซ์หากคุ้มกว่า(ดูเงื่อนไขในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 34 ระหว่างวันที่ 10-13 มีนาคมนี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
1.ควรรีไฟแนนซ์ไหม ก็ต้องดูว่าดอกเบี้ยที่ธนาคารอื่นต่ำกว่าเท่าไร หากนำมาคำนวณเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในการย้ายธนาคารจะคุ้มไหม ค่าใช้จ่ายในการย้าย เช่น ค่าปรับชำระหนี้ก่อนกำหนดตามสัญญาที่กำหนดไว้ ,ค่าประเมินหลักทรัพย์, ค่าธรรมเนียมจำนองหลักทรัพย์ 1% ของยอดกู้, ค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ 0.05 ของยอดกู้ , ค่าประกันอัคคีภัย ,ค่าประกันอื่นๆ ฯลฯ หากส่วนต่างดอกเบี้ยที่ลดลงมากกว่าค่าใช้จ่ายในการย้ายก็ควรรีไฟแนนซ์ไป แต่ถ้าน้อยกว่าไปก็ยิ่งขาดทุน
2. การขอลดดอกเบี้ย จริงๆ ก็มีการทำได้ แต่ลูกหนี้รายนั้นต้องมีความสำคัญ เช่น นอกจากเป็นลูกค้าเงินกู้แล้ว ยังมีบริการอื่นๆ ที่จ่ายค่าธรรมเนียมให้ธนาคารเป็นประจำทุกเดือน หรือมีบริษัทในเครือ เครือญาติเป็นลูกค้าที่ให้ผลประโยชน์กับธนาคารเป็นจำนวน หากให้ย้ายไปก็จะทำสูญเสียลูกค้าทั้งกลุ่มไป หรือเป็นลูกค้าที่เติบโตขึ้นมีการขอสินเชื่อมากขึ้นอยู่ในเกณฑ์ที่ลดดอกเบี้ยลงได้ (ธนาคารจะพิจารณาความเสี่ยงของธุรกิจลูกค้าประกอบกับวงเงินสินเชื่อ) กับลูกค้าที่ต้องแก้ไขหนี้ โดยปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ดอกเบี้ยลดลง เพื่อที่จะไม่ต้องเป็นหนี้เสีย ซึ่งทำให้ลูกหนี้มีประวัติทางด้านการเงินที่มีปัญหาได้
3.การทำสัญญาต่างๆ ควรอ่านให้ละเอียด หากไม่แน่ใจต้องสอบถามให้แน่ชัดว่าคืออะไร หรือคิดว่าเสียเปรียบก็ต้องมีการต่อรอง อ้างอิงเหตุผลที่หักล้างข้อความในสัญญา ข้อนี้อาจต้องสอบถามว่าคืออะไร ซึ่งคล้ายกับการผ่อนเป็นขั้นบันใด
4.ปัจจุบันนี้ธนาคารต่างๆ มักจะมีค่าปรับในการชำระหนี้ก่อนกำหนด ซึ่งจริงๆ แล้ว น่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้ลูกหนี้ย้ายหรือรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารอื่น ซึ่งใน 2-3 ปีแรกธนาคารยังจะไม่ได้รายได้หรือมีการวางเป้าหมายระยะยาวไว้แต่ลูกหนี้ย้ายไปที่อื่นก่อนทำให้เสียรายได้ จึงต้องมีการปรับเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป แต่ไม่ห้ามนำเงินสดมาชำระหนี้ เพราะเป็นสิทธิของลูกหนี้ที่จะมาชำระหนี้ ถ้าเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้ก็จะมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งค่าปรับนี้ต้องต่อรองกันตอนทำสัญญา บางครั้งจะเห็นว่ามีค่าปรับ 2% บ้าง 3% บ้าง ของวงเงินที่ขอกู้บ้าง ของยอดที่เหลือก่อนชำระหนี้บ้าง ในกรณีของจขกท. เป็นค่าปรับร้อยละ 2 ของจำนวนเงินที่คืนก่อนกำหนด หมายถึงหากมีเงินค้างอยู่ล้านนึง แล้วจขกท.นำมาเงินล้านนึงมาชำระก็ต้องเสียค่าปรับ 2 หมื่นบาท แต่หากจขกท.นำเงิน 1.99 มาใส่บัญชีไว้ก่อน จะเหลือเงิน 10,000 บาทแล้วอีกวันมาปิดบัญชี จะเสียค่าปรับ 200 บาท ยังโดโชคดีกว่าของยอดวงเงินที่กู้ จริงๆ แล้วถ้าไม่กรณีรีไฟแนนซ์ไปธนาคารอื่น แต่นำเงินสดมาชำระหนี้ต้องเจรจาดีๆ
ปล. การทำธุรกิจต้นทุนเป็นสิ่งสำคัญ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็เป็นต้นทุนหลัก หากมีธนาคารที่ให้อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดีๆ คำนวณแล้วไปแล้วคุ้มก็ไม่ต้องเสียโอกาส ไปแล้วได้วงเงินเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยต่ำลงก็ยิ่งดี บางครั้ง ลูกค้าขู่กลับว่าจะขอรีไฟแนนซ์ไปที่อื่นหรือมีหลักฐานว่าไปแล้วได้ลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารเดิมก็ต้องรักษาลูกค้าเดิมไว้(ถ้าเป็นลูกค้าดีไม่มีปัญหาขาดผ่อน) จขกท.ไม่ต้องกลัวครับ การแข่งขันของธนาคารปัจจุบันรุนแรงมาก ลูกค้าคือพระเจ้า ธนาคารให้กู้ก็เป็นเงินเหมือนกัน ต่างกันที่บริการของพนักงาน การให้คำปรึกษากับลูกค้าที่ถูกต้อง มีสาขาให้บริการสะดวก สบายในการติดต่อ มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ให้ลูกค้าเลือกใช้ตามที่ต้องการครับ
วงเงินโอ/ดี จะเป็นวงเงินที่ลดต้นลดดอกเบี้ย จะคิดดอกเบี้ยตามจำนวนเงินกับจำนวนวันใช้เงินไป หากมีเงินเข้ามาควรลดยอดให้ต่ำลงเท่าที่จะทำได้ หากต้องใช้ เช่น ต้องการสต็อกสินค้า การให้เครดิตเทอมกับลูกหนี้ หรือเพื่อเสริมสภาพคล่องเป็นครั้งคราวค่อยเบิกใช้ภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ หากติดขัดก็สามารถชำระเฉพาะดอกเบี้ยทุกสิ้นก็ได้ไม่มีปัญหา แต่หากไม่มีการชำระดอกเบี้ยทุกวันสิ้นเดือน ดอกเบี้ยจะทบเป็นเงินต้นในวันทำการถัดไป ถามว่าหากมีเงินควรชำระหนี้ตัวไหนก่อน หากวงเงินโอดีไม่เกินวงเงินก็ควรชำระหนี้เงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า จะลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่ากันครับ
กรณีอัตราดอกเบี้ยตามที่จ่ายอยู่ในเกณฑ์ที่ธนาคารคิดกับลูกค้าชั้นดีทั่วไป ตามที่เห็นมีวงเงินที่เป็นเงินกู้เพื่อธุรกิจ อยู่ 3 วงเงิน รวมยอดหนี้ 602,968.37 บาท ผ่อนรวมเดือนละ 18,000 บาท แนะนำว่าควรขอเงินกู้ใหม่เพื่อชำระหนี้ยกเลิกยอดหนี้ของเงินกู้ทั้ง 3 บัญชี กู้ในวงเงิน 600,000 บาท ผ่อนภายใน 5 ปี เดือนละประมาณ 13,000 บาท ก็จะทำให้ธุรกิจมีสภาพคล่องเพิ่มเดือนละ 5,000 บาท ไปลดยอดโอ/ดีลงได้ ส่วนบ้านต้องดูว่าธนาคารใดให้เงื่อนไขที่ดี อาจจะรีไฟแนนซ์หากคุ้มกว่า(ดูเงื่อนไขในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 34 ระหว่างวันที่ 10-13 มีนาคมนี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
1.ควรรีไฟแนนซ์ไหม ก็ต้องดูว่าดอกเบี้ยที่ธนาคารอื่นต่ำกว่าเท่าไร หากนำมาคำนวณเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในการย้ายธนาคารจะคุ้มไหม ค่าใช้จ่ายในการย้าย เช่น ค่าปรับชำระหนี้ก่อนกำหนดตามสัญญาที่กำหนดไว้ ,ค่าประเมินหลักทรัพย์, ค่าธรรมเนียมจำนองหลักทรัพย์ 1% ของยอดกู้, ค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ 0.05 ของยอดกู้ , ค่าประกันอัคคีภัย ,ค่าประกันอื่นๆ ฯลฯ หากส่วนต่างดอกเบี้ยที่ลดลงมากกว่าค่าใช้จ่ายในการย้ายก็ควรรีไฟแนนซ์ไป แต่ถ้าน้อยกว่าไปก็ยิ่งขาดทุน
2. การขอลดดอกเบี้ย จริงๆ ก็มีการทำได้ แต่ลูกหนี้รายนั้นต้องมีความสำคัญ เช่น นอกจากเป็นลูกค้าเงินกู้แล้ว ยังมีบริการอื่นๆ ที่จ่ายค่าธรรมเนียมให้ธนาคารเป็นประจำทุกเดือน หรือมีบริษัทในเครือ เครือญาติเป็นลูกค้าที่ให้ผลประโยชน์กับธนาคารเป็นจำนวน หากให้ย้ายไปก็จะทำสูญเสียลูกค้าทั้งกลุ่มไป หรือเป็นลูกค้าที่เติบโตขึ้นมีการขอสินเชื่อมากขึ้นอยู่ในเกณฑ์ที่ลดดอกเบี้ยลงได้ (ธนาคารจะพิจารณาความเสี่ยงของธุรกิจลูกค้าประกอบกับวงเงินสินเชื่อ) กับลูกค้าที่ต้องแก้ไขหนี้ โดยปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ดอกเบี้ยลดลง เพื่อที่จะไม่ต้องเป็นหนี้เสีย ซึ่งทำให้ลูกหนี้มีประวัติทางด้านการเงินที่มีปัญหาได้
3.การทำสัญญาต่างๆ ควรอ่านให้ละเอียด หากไม่แน่ใจต้องสอบถามให้แน่ชัดว่าคืออะไร หรือคิดว่าเสียเปรียบก็ต้องมีการต่อรอง อ้างอิงเหตุผลที่หักล้างข้อความในสัญญา ข้อนี้อาจต้องสอบถามว่าคืออะไร ซึ่งคล้ายกับการผ่อนเป็นขั้นบันใด
4.ปัจจุบันนี้ธนาคารต่างๆ มักจะมีค่าปรับในการชำระหนี้ก่อนกำหนด ซึ่งจริงๆ แล้ว น่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้ลูกหนี้ย้ายหรือรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารอื่น ซึ่งใน 2-3 ปีแรกธนาคารยังจะไม่ได้รายได้หรือมีการวางเป้าหมายระยะยาวไว้แต่ลูกหนี้ย้ายไปที่อื่นก่อนทำให้เสียรายได้ จึงต้องมีการปรับเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป แต่ไม่ห้ามนำเงินสดมาชำระหนี้ เพราะเป็นสิทธิของลูกหนี้ที่จะมาชำระหนี้ ถ้าเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้ก็จะมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งค่าปรับนี้ต้องต่อรองกันตอนทำสัญญา บางครั้งจะเห็นว่ามีค่าปรับ 2% บ้าง 3% บ้าง ของวงเงินที่ขอกู้บ้าง ของยอดที่เหลือก่อนชำระหนี้บ้าง ในกรณีของจขกท. เป็นค่าปรับร้อยละ 2 ของจำนวนเงินที่คืนก่อนกำหนด หมายถึงหากมีเงินค้างอยู่ล้านนึง แล้วจขกท.นำมาเงินล้านนึงมาชำระก็ต้องเสียค่าปรับ 2 หมื่นบาท แต่หากจขกท.นำเงิน 1.99 มาใส่บัญชีไว้ก่อน จะเหลือเงิน 10,000 บาทแล้วอีกวันมาปิดบัญชี จะเสียค่าปรับ 200 บาท ยังโดโชคดีกว่าของยอดวงเงินที่กู้ จริงๆ แล้วถ้าไม่กรณีรีไฟแนนซ์ไปธนาคารอื่น แต่นำเงินสดมาชำระหนี้ต้องเจรจาดีๆ
ปล. การทำธุรกิจต้นทุนเป็นสิ่งสำคัญ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็เป็นต้นทุนหลัก หากมีธนาคารที่ให้อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดีๆ คำนวณแล้วไปแล้วคุ้มก็ไม่ต้องเสียโอกาส ไปแล้วได้วงเงินเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยต่ำลงก็ยิ่งดี บางครั้ง ลูกค้าขู่กลับว่าจะขอรีไฟแนนซ์ไปที่อื่นหรือมีหลักฐานว่าไปแล้วได้ลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารเดิมก็ต้องรักษาลูกค้าเดิมไว้(ถ้าเป็นลูกค้าดีไม่มีปัญหาขาดผ่อน) จขกท.ไม่ต้องกลัวครับ การแข่งขันของธนาคารปัจจุบันรุนแรงมาก ลูกค้าคือพระเจ้า ธนาคารให้กู้ก็เป็นเงินเหมือนกัน ต่างกันที่บริการของพนักงาน การให้คำปรึกษากับลูกค้าที่ถูกต้อง มีสาขาให้บริการสะดวก สบายในการติดต่อ มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ให้ลูกค้าเลือกใช้ตามที่ต้องการครับ
แสดงความคิดเห็น
ปัญหาดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคาร
- OD วงเงินกู้ 1 ล้านบาทถ้วน ที่ต้องจ่ายให้ธนาคาร 1ล้านกับอีก 7,869.85 บาทค่ะ อัตราดอกเบี้ย MRR + 2.00% ธนาคารให้ส่งเดือนล่ะ 7,869.85บาท(เอ๊ะ ไม่ได้ส่งต้นเลยหนิ TT)
- Term loan (1) วงเงินกู้ 4 แสนบาท ที่ต้องจ่ายให้ธนาคาร 169,927.18 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR + 3.00% ธนาคารให้ส่งเดือนล่ะ 5,000บาท
- Term loan (2) วงเงินกู้ 5 แสนบาท ที่ต้องจ่ายให้ธนาคาร 193,032.03 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR + 3.00% ธนาคารให้ส่งเดือนล่ะ 7,000บาท
- Term loan (3) วงเงินกู้ 4 แสนบาท ที่ต้องจ่ายให้ธนาคาร 240,009.16 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR + 3.00% ธนาคารให้ส่งเดือนล่ะ 6,000บาท
- บ้าน วงเงินกู้ 1ล้าน6แสนบาท ที่ต้องจ่ายให้ธนาคาร 1,111,918.72 บาท อัตราดอกเบี้ย MLR ธนาคารให้ส่งเดือนล่ะ 9,500บาท
ประมาณนี้ค่ะ วันนี้ถามธนาคาร MRR อยู่เท่าไรค่ะ ได้รับคำตอบแบบช็อกสุดๆ คือ 7.875% และ MLR 6.5%
สิ่งที่อยากถามคือ 1. แบบนี้ควรรีไฟแนนไหมค่ะ แล้วไปธนาคารไหนดี
2. ไปอ่านในเน็ตมาว่ามีการ retention เลยถามพนักงงาน เขาบอกว่าในส่วนงานเขาคือส่วนขยาย(ขยายอะไร งง) เขาทำไม่ได้ แต่ส่วนที่ทำได้คือ ส่วนเร่งรัดหนี้ ถ้าโอนไปส่วนนั้นประวัติลูกค้าต้องเสียมาก เพราะเขาจะเร่งรัดหนี้เราและจะลดดอกเบี้ยให้ อันนี้งงมาก จริงไหมคะ ว่าเขาลดไม่ได้
3. มานั่งอ่านสัญญาที่แสนจะงงว่า ตอนแรกของสัญญา เขียนระบุไว้ว่า MRR +2.00% แต่พิตอนหลังเราเห็นมีสัญญาต่อท้ายอีกว่า MRR +3.00% (แม่เราก็เซ็นนะ เพราะเหมือนตอนนั้นธนาคารบอกจะลดภาระให้จ่ายน้อย โดยการให้แต่ละงวดจ่ายลง สมมติจาก 7,000เหลือ 5,000 บาทแบบนี้ แต่ทำไมดอกเบี้ยมันเพิ่มอ่ะ )
4. เห็นในสัญญามีตอนนึงเขียนไว้ว่า "ผู้กู้ตกลงว่า จะไม่ชำระคืนเงินต้นตามสัญญานี้ เกินจำนวนที่ต้องชำระในแต่ละงวด หากผู้กู้ประสงค์จะชำระคืนเงินต้นกู้ตามสัญญานี้เกินกว่าจำนวนต้องชำระค่าธรรมเนียมการชำระคืนส่วนที่เกิน ร้อยละ 2 ของจำนวนที่คืนก่อนกำหนด" แบบนี้หมายความอะไรคะ ใช่ว่าห้ามโปะหรือป่าว ถ้ามีเงินโปะแปลว่าต้องเสียค่าปรับอีกใช่ไหม (TT)
ช่วยเราด้วยนะ เรามืดไปหมดจริงๆ งงกับทุกสิ่งอย่างเลย เราขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย ^^
ปล. พนักงานชอบพูดให้แม่เราเกิดความกลัวอ่ะ แบบถ้ารีไฟแนนหนี้เพิ่มนะ มันเพิ่มจริงๆเหรอคะ
ปล. ถ้าแท็กผิดห้องขออภัยค่ะ เพิ่งหัดตั้งกระทู้ ><