หากใครเคยได้ดูหนังเรื่องดาบมังกรหยก
จะมีคำสอนสุดท้ายที่ฮึงซู่ซู่ แม่ของเตียบ่อกี่ สอนลูกก่อนตาย จนกลายเป็นวลีเด็ดประจำเรื่องนี้ว่า
“อย่าได้หลงเชื่อคำพูดของผู้หญิง ยิ่งผู้หญิงสวยมากแค่ไหน ก็ยิ่งโกหกเก่งมากขึ้นเท่านั้น”
ไม่แน่ใจว่าช่วงที่แต่งเรื่องดาบมังกรหยกซึ่งเป็นบทประพันธ์ของกิมย้ง
ได้ข้อมูลจากประสบการณ์ตรง หรือประวัติศาสตร์จากที่อื่น แต่ที่แน่ๆประโยคนี้ติดตลาดกว่าทุกประโยค
ทั้งที่บทบาทของแม่นางฮึงซู่ซู่ปรากฏในช่วงสั้นๆ บทน้อยกว่าตัวเอกหลายคน
เช่น เตียบ่อกี้(พระเอก), เตี๋ยเมี่ยง(นางเอก) รวมทั้ง จิวจี้เยียก(เกือบจะนางเอก)
ดูละครเสร็จก็มาย้อนดูประวัติศาสตร์ในพระไตรปิฎก
พบว่ามีเรื่องๆหนึ่ง ที่มีเหตุคล้ายกับที่แม่นางฮึงซู่ซู่ พูดไว้ก็คือเรื่องการโกหกของสาวงาม
แต่เรื่องนี้ค่อนข้างแรงกว่าเพราะนอกจากจะโกหกแล้วยังเป็น
การใส่ร้ายผู้ทรงศีลอย่างมีระบบ
สุดท้ายกลายเป็น “ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม” แปลว่า “วิบากกรรมตามทันในชาตินี้” คนๆนั้นคือ
“นางจิญจมาณวิกา” สาวงามผู้ถูกธรณีสูบเพราะใส่ร้ายพระพุทธเจ้า
เรื่องมีอยู่ว่า ... หลังจากที่พระพุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่ไปทั่วชมภูทวีป
กลุ่มนักบวชเดียรถีย์ที่เคยมีลูกศิษย์มากมายก็เริ่มมีคนศรัทธาลดน้อยลง
ถึงขนาดมีคนนำบารมีของเดียรถีย์ไปเทียบกับพระพุทธองค์ว่า
“ดั่งหิ่งห้อยเทียบกับดวงอาทิตย์”
เมื่อรู้สึกว่าสู้ด้วยคุณธรรมไม่ได้ นับวันลาภสักการะก็ลดลง กลุ่มเดียรถีย์จึงรวมตัวกันประชุมโดยคิดว่า
"พวกเราพึงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม” สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า
“ต้องทำลายภาพลักษณ์คนดี โดยหาเหตุใส่ร้าย”
เหตุที่จะใส่ร้ายผู้ทรงประพฤติพรหมจรรย์ คือ สตรีตามสูตรนารีพิฆาต
จากนั้นก็คัดเลือกลูกศิษย์ที่เหมาะสม ก็ได้นางจิญจมาณวิกา มีคำบรรยายลักษณะของนางว่า
เป็นผู้ทรงรูปอันเลอโฉม ถึงความเลิศด้วยความงาม เหมือนนางเทพอัปสร ดั่งรัศมีย่อมเปล่งออกจากสรีระ
นางจิญจมาณวิกาเมื่อรับอาสาพวกเดียรถีย์ ก็บอกว่า “เรื่องนี้ขอจงเป็นภาระของดิฉันเอง”
จากนั้นนางก็มีกิจวัตรคือถือดอกไม้และของหอมเป็นต้นเดินไปทางวัดพระเชตวัน
เมื่อคนถามว่าจะไปไหน นางก็ตอบว่า
“พวกท่านอย่ารู้เลย”
จากนั้นนางหลบไปในของพวกเดียรถีร์ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดพระเชตวัน พอถึงตอนเช้าตรู่ก็เดินออกมาทางหน้าวัด
ทำเหมือนว่านางเข้าไปนอนค้างที่วัดพระเชตวัน
1-2 เดือนแรก ถ้ามีคนถาม ก็จะโกหกว่า “ข้าพเจ้าไปค้างแรมกับพระสมณโคดม ในพระคันธกุฎี ในวัดพระเชตวัน”
3-4 เดือนต่อมา นางก็นำผ้ามาผูกไว้ที่ท้องทำทีว่าเริ่มตั้งครรภ์ และสร้างข่าวลือว่านางตั้งครรภ์กับพระศาสดา
8-9 เดือนสุดท้าย นางก็นำไม้กลมๆห่มผ้าทับข้างบนมาผูกที่ท้อง เพื่อความเนียนยังมีการทุบหลังมือและเท้าด้วยไม้คางโคให้บวมๆ
จะได้มีลักษณะเหมือนหญิงครรภ์แก่ใกล้คลอด
กลยุทธ์ปล่อยข่าวลือนี้เพื่อให้ชาวเมืองเกิดคำถามในใจว่า "จริงหรือไม่หนอ?"
เมื่อถึงวันเปิดตัว ขณะที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมในธรรมสภา นางเดินยืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา
แล้วประกาศว่า (ไม่อยากอ่านคำโกหกไม่ต้องกดก็ได้ครับ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้“มหาสมณะ พระองค์ดีแต่แสดงธรรมแก่มหาชน เสียงของพระองค์ไพเราะ
ส่วนหม่อมฉัน อาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว
พระองค์ไม่ยอมจัดการหาสถานที่คลอดของหม่อมฉัน
ไม่ทรงจัดหาอุปกรณ์เครื่องบริหารครรภ์มีเนยใสและน้ำมันเป็นต้น
เมื่อไม่ทรงทำเอง ก็น่าตรัสบอกพระเจ้าโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี
หรือนางวิสาขามหาอุบาสิกา ช่วยจัดการให้
พระองค์ทรงรู้แต่จะอภิรมย์เท่านั้น ไม่ทรงรู้ในการจัดการบริหารครรภ์”
พระพุทธเจ้าทรงหยุดแสดงธรรมแล้วพูดสั้นๆแต่แฝงความหมายที่ลึกซึ้งว่า
"น้องหญิง ความที่เจ้ากล่าวแล้วจะจริงหรือไม่ เราและเจ้าเท่านั้น ย่อมรู้."
จังหวะนั้นพระอินทร์เมื่อทราบเหตุ จึงพาเทพบุตรแปลงกายเป็นลูกหนูแอบมากัดเชือก
เมื่อเชือกขาด ท่อนไม้กับผ้าก็หล่นลงมา ทำให้ความลับของนางถูกเปิดเผย
ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็ได้ร้องตะโกนสาปแช่ง
“นางกาลกิณี เจ้าใส่ร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” แล้วไล่ทุบตี เพื่อขับไล่ออกจากวัดเชตวัน
นางวิ่งหนีไปถึงระยะสุดสายตาของพระพุทธองค์
แผ่นดินก็แตกแยกช่องทำให้นางจิญจมาณวิกา ตกลงไป พร้อมกับเปลวไฟฟุ่งขึ้นจากอเวจี
สรุปชีวิตนางจิญจมาณวิกาผู้มีความงาม แต่กลับเอาความงามใช้ในการทำบาป ก็ได้รับผลวิบากกรรมตามทันในชาตินี้
โดยถูกธรณีสูบลงนรกอเวจี หลังได้จากพยามยามใส่ความพระพุทธเจ้ามาตลอด9เดือน
เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า
"มีความงาม แล้วเอาความงาม มาทำความชั่ว ก็มีโอกาสได้บาปมาก
มีอำนาจ แล้วเอาความรู้ มาทำความชั่ว ก็มีโอกาสได้บาปมาก
มีความรู้ แล้วเอาความรู้ มาทำความชั่ว ก็มีโอกาสได้บาปมาก
มีทรัพย์ แล้วเอาทรัพย์ มาทำความชั่ว ก็มีโอกาสได้บาปมาก"
ซึ่งเข้ากับคำของพระที่ว่า มาสว่างไปมืด
ว่าแล้วก็นึกถึงสุภาษิตสอนหญิงที่ว่า
+++ ธรณีพิโรธ +++ ตอนที่2 นารีพิฆาตและการโกหก
จะมีคำสอนสุดท้ายที่ฮึงซู่ซู่ แม่ของเตียบ่อกี่ สอนลูกก่อนตาย จนกลายเป็นวลีเด็ดประจำเรื่องนี้ว่า
“อย่าได้หลงเชื่อคำพูดของผู้หญิง ยิ่งผู้หญิงสวยมากแค่ไหน ก็ยิ่งโกหกเก่งมากขึ้นเท่านั้น”
ไม่แน่ใจว่าช่วงที่แต่งเรื่องดาบมังกรหยกซึ่งเป็นบทประพันธ์ของกิมย้ง
ได้ข้อมูลจากประสบการณ์ตรง หรือประวัติศาสตร์จากที่อื่น แต่ที่แน่ๆประโยคนี้ติดตลาดกว่าทุกประโยค
ทั้งที่บทบาทของแม่นางฮึงซู่ซู่ปรากฏในช่วงสั้นๆ บทน้อยกว่าตัวเอกหลายคน
เช่น เตียบ่อกี้(พระเอก), เตี๋ยเมี่ยง(นางเอก) รวมทั้ง จิวจี้เยียก(เกือบจะนางเอก)
ดูละครเสร็จก็มาย้อนดูประวัติศาสตร์ในพระไตรปิฎก
พบว่ามีเรื่องๆหนึ่ง ที่มีเหตุคล้ายกับที่แม่นางฮึงซู่ซู่ พูดไว้ก็คือเรื่องการโกหกของสาวงาม
แต่เรื่องนี้ค่อนข้างแรงกว่าเพราะนอกจากจะโกหกแล้วยังเป็น การใส่ร้ายผู้ทรงศีลอย่างมีระบบ
สุดท้ายกลายเป็น “ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม” แปลว่า “วิบากกรรมตามทันในชาตินี้” คนๆนั้นคือ
“นางจิญจมาณวิกา” สาวงามผู้ถูกธรณีสูบเพราะใส่ร้ายพระพุทธเจ้า
เรื่องมีอยู่ว่า ... หลังจากที่พระพุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่ไปทั่วชมภูทวีป
กลุ่มนักบวชเดียรถีย์ที่เคยมีลูกศิษย์มากมายก็เริ่มมีคนศรัทธาลดน้อยลง
ถึงขนาดมีคนนำบารมีของเดียรถีย์ไปเทียบกับพระพุทธองค์ว่า
“ดั่งหิ่งห้อยเทียบกับดวงอาทิตย์”
เมื่อรู้สึกว่าสู้ด้วยคุณธรรมไม่ได้ นับวันลาภสักการะก็ลดลง กลุ่มเดียรถีย์จึงรวมตัวกันประชุมโดยคิดว่า
"พวกเราพึงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม” สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า
“ต้องทำลายภาพลักษณ์คนดี โดยหาเหตุใส่ร้าย”
เหตุที่จะใส่ร้ายผู้ทรงประพฤติพรหมจรรย์ คือ สตรีตามสูตรนารีพิฆาต
จากนั้นก็คัดเลือกลูกศิษย์ที่เหมาะสม ก็ได้นางจิญจมาณวิกา มีคำบรรยายลักษณะของนางว่า
เป็นผู้ทรงรูปอันเลอโฉม ถึงความเลิศด้วยความงาม เหมือนนางเทพอัปสร ดั่งรัศมีย่อมเปล่งออกจากสรีระ
นางจิญจมาณวิกาเมื่อรับอาสาพวกเดียรถีย์ ก็บอกว่า “เรื่องนี้ขอจงเป็นภาระของดิฉันเอง”
จากนั้นนางก็มีกิจวัตรคือถือดอกไม้และของหอมเป็นต้นเดินไปทางวัดพระเชตวัน
เมื่อคนถามว่าจะไปไหน นางก็ตอบว่า
“พวกท่านอย่ารู้เลย”
จากนั้นนางหลบไปในของพวกเดียรถีร์ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดพระเชตวัน พอถึงตอนเช้าตรู่ก็เดินออกมาทางหน้าวัด
ทำเหมือนว่านางเข้าไปนอนค้างที่วัดพระเชตวัน
1-2 เดือนแรก ถ้ามีคนถาม ก็จะโกหกว่า “ข้าพเจ้าไปค้างแรมกับพระสมณโคดม ในพระคันธกุฎี ในวัดพระเชตวัน”
3-4 เดือนต่อมา นางก็นำผ้ามาผูกไว้ที่ท้องทำทีว่าเริ่มตั้งครรภ์ และสร้างข่าวลือว่านางตั้งครรภ์กับพระศาสดา
8-9 เดือนสุดท้าย นางก็นำไม้กลมๆห่มผ้าทับข้างบนมาผูกที่ท้อง เพื่อความเนียนยังมีการทุบหลังมือและเท้าด้วยไม้คางโคให้บวมๆ
จะได้มีลักษณะเหมือนหญิงครรภ์แก่ใกล้คลอด
กลยุทธ์ปล่อยข่าวลือนี้เพื่อให้ชาวเมืองเกิดคำถามในใจว่า "จริงหรือไม่หนอ?"
เมื่อถึงวันเปิดตัว ขณะที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมในธรรมสภา นางเดินยืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา
แล้วประกาศว่า (ไม่อยากอ่านคำโกหกไม่ต้องกดก็ได้ครับ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พระพุทธเจ้าทรงหยุดแสดงธรรมแล้วพูดสั้นๆแต่แฝงความหมายที่ลึกซึ้งว่า
"น้องหญิง ความที่เจ้ากล่าวแล้วจะจริงหรือไม่ เราและเจ้าเท่านั้น ย่อมรู้."
จังหวะนั้นพระอินทร์เมื่อทราบเหตุ จึงพาเทพบุตรแปลงกายเป็นลูกหนูแอบมากัดเชือก
เมื่อเชือกขาด ท่อนไม้กับผ้าก็หล่นลงมา ทำให้ความลับของนางถูกเปิดเผย
ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็ได้ร้องตะโกนสาปแช่ง
“นางกาลกิณี เจ้าใส่ร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” แล้วไล่ทุบตี เพื่อขับไล่ออกจากวัดเชตวัน
นางวิ่งหนีไปถึงระยะสุดสายตาของพระพุทธองค์
แผ่นดินก็แตกแยกช่องทำให้นางจิญจมาณวิกา ตกลงไป พร้อมกับเปลวไฟฟุ่งขึ้นจากอเวจี
สรุปชีวิตนางจิญจมาณวิกาผู้มีความงาม แต่กลับเอาความงามใช้ในการทำบาป ก็ได้รับผลวิบากกรรมตามทันในชาตินี้
โดยถูกธรณีสูบลงนรกอเวจี หลังได้จากพยามยามใส่ความพระพุทธเจ้ามาตลอด9เดือน
เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า
"มีความงาม แล้วเอาความงาม มาทำความชั่ว ก็มีโอกาสได้บาปมาก
มีอำนาจ แล้วเอาความรู้ มาทำความชั่ว ก็มีโอกาสได้บาปมาก
มีความรู้ แล้วเอาความรู้ มาทำความชั่ว ก็มีโอกาสได้บาปมาก
มีทรัพย์ แล้วเอาทรัพย์ มาทำความชั่ว ก็มีโอกาสได้บาปมาก"
ซึ่งเข้ากับคำของพระที่ว่า มาสว่างไปมืด
ว่าแล้วก็นึกถึงสุภาษิตสอนหญิงที่ว่า