Previously on Lak.Par.Tua (แหม่ะ แรดจริงๆ ฉัน)
ณ เวลา 22.00น. ของคืนหนึ่ง บรรยากาศเงียบสงัด เสียงจิ้งหรีดที่ร้องเป็นทำนอง ไร้เสียงผู้คน อากาศเย็นๆ ช่างเป็นคืนที่น่าจะเป็นฝันหวานของใครหลายๆคน ได้มีเงามืดสีดำน่ากลัวของชายผู้หนึ่งค่อยๆย่างกรายเข้ามาอย่างช้าๆ และได้ปลดล็อคกุญแจราวกับเป็นบ้านของตัวเอง และเริ่มย่องเข้าบ้านหญิงสาวรายหนึ่ง โดยอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครอยู่บ้าน ลักลอบเก็บเสื้อผ้าของเหยื่อ และค่อยๆเข้าไปลักพาตัวหญิงสาวขึ้นรถ หญิงสาวตกใจมาก เลยสู้ใจขาดดิ้น คาราเต้ เทควอนโด้ มวยไทย หย่งชุน นางจัดทุกท่วงท่าดั่งกับว่าเมียพี่บัวขาวเข้าสิง แต่ชายลึกลับผู้นั้นมีไหวพริบที่แรงกล้า รับทุกหมัด โดนทุกทีน ที่นางโถมเข้าใส่ จนนางเหนื่อยไปเอง
(เจ็บชิบ!!) และก็ถึงเวลาที่จะทรมานหญิงสาวอย่างโหดร้ายทารุณ โดยการเอาชอคโคแลตล่อให้กินตลอดทางจนถึงสนามบิน.....
โดยอาวุธในการลงมือคือ:
- Canon
- Fuji XA-2
- Iphone6
- Chocolates
เมื่อถึงสนามบิน นางเริ่มรู้ตัวว่ากำลังโดนลักพาตัว!!
(สงสัยจะเจอช็อคโคแลตรสยาชา) นางรีบยัดช็อคโคแลตใส่ปากหมด แล้วดิ้นรนพยายามจะหนีชายลึกลับผู้นั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ทว่านั่นก็ช้าไปเสียแล้ว.........
Day1 Bangkok--> Fukuoka--> Oita :
http://ppantip.com/topic/34829929
Day2 Oita--> Yufuin :
http://ppantip.com/topic/34832694
Day3 Oita--> Kitsuki--> Fukuoka :
http://ppantip.com/topic/34836486
Day4 Fukuoka--> Kumamoto :
http://ppantip.com/topic/34842632
Day5 Fukuoka--> Saga :
http://ppantip.com/topic/34846782
Day6,7 Canal City and The end of Kidnapper :
http://ppantip.com/topic/34852976
DAY3: Oita--> Kitsuki--> Fukuoka
วันที่3 ของการลักพาตัว... ดูเหมือนฝั่งครอบครัวหญิงสาวจะเริ่มระแคะระคาย เดาออกว่า กบดานอยู่แถวไหน เราจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแพลน ย้ายเหยื่อไปหาที่กบดานใหม่ ซึ่งการหนีมาอยู่ในเมืองเงียบๆอาจจะเดาง่ายไปหน่อย เพราะโจรส่วนใหญ่ก็ทำกัน คราวนี้ย้ายมันไปอยู่ในตัวเมืองเลย คนพลุกพล่าน เดินกันให้ว่อน หาไม่เจอแน่นอน
(มั่นใจว่างั้นนะ) แต่ ก่อนจะไปกบดานที่ใหม่ ขอไปดูต้นทางที่ Kitsuki Castle เพื่อความมั่นใจก่อนออกเดินทาง...
ตื่นเช้ามาพร้อมความสดใสกับบรรยากาศหนาวๆวันสุดท้ายใน Oita เพราะเมื่อคืนสลบเร็ว ได้นอนเต็มที่ เลยปลุกไอ้ตัวแสบให้ไปอาบน้ำ ส่วนผมชิงอาบน้ำก่อนเรียบร้อย อาบไวดั่งสายลม เข้าใจ Jack Titanic เลยว่าทำไมถึงตาย หนาววัวตายความล้มมากกกก เครื่องทำน้ำอุ่นเป็นเครื่องที่ช่วยและฆ่าเราไปพร้อมๆกัน หลังจากอาบน้ำอุ่นเสร็จ ออกมาหนาวกว่าเดิม ผิวหนังที่เริ่มแตกระแหงทำให้คันและเป็นเม็ดๆ น่าขยะแขยงสุดๆ จากคนไม่ค่อยทาครีม เลยแอบจิกครีมทาตัวนางมาทาก็พอจะบรรเทาได้ในระดับนึง ขณะที่กำลังเซทผมแต่งหล่ออยู่ หันไปดูที่เตียง คือนางตาย!? ฝึกถอดจิต!? แข่งกลั้นหายใจ!? นอนแน่นิ่งมาก เลยอุ้มนางลงจากเตียงแม่มเลย แน่นอนครับ นางงอแงหงุดหงิดทุบตีและทำร้าย คิดซะว่าเป็นกระสอบทรายละกัน แม่นาง ยังไม่พอ ไม่อาบน้ำด้วย นางล้างหน้าแล้วเดินออกมาทาครีมเฉยเลย
(เผานางขนาดนี้ ถ้าผมไม่ตอบคอมเม้น ถือว่าผมDEADสะมอเร่ไปแล้วนะฮะ) วันนี้เป็นวันที่ค่อนข้างซวยของนาง คือ เมื่อคืนนางสระผม แต่วันนี้ที่หนีบผมใช้ไม่ได้ หึ มัดผมไปละกันนะ ไว้ขากลับค่อยพาไปซื้อที่หนีบผมอันใหม่ หลังจากหล่อสวยเสร็จ ก็ Let’s Start!!
ลงมาเช็คเอ้าท์ ที่ รร. ดันเจอ reception สาวสวยที่ทิ้งเราไว้กลางทาง แทบจะไม่กล้าสบตาเลย หลังจากเช็คเอ้าท์เสร็จ ก็ฝากกระเป๋าเดินทางไว้ที่ทาง รร. ก่อน ตอนแรกที่คิดไว้คือ อยากฝากกระเป๋าที่สถานี Kitsuki เลย จะได้ไม่ต้องนั่งย้อนกลับมา Oita เพื่อมาเอากระเป๋า แล้วย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อเข้าเมือง Fukuoka อีก แต่กลัวว่าที่สถานี Kitsuki จะไม่มีตู้ล็อกเกอร์ฝากกระเป๋า เลยฝากไว้ที่ รร. ชัวร์สุด และถาม reception สุดสวยว่า ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้ามีที่ไหนบ้าง นางก็แนะนำอย่างดีพร้อมแผนที่และจุดพิกัด ขอบคุณนะฮะ....
เนื่องจากจะย้ายแล้วจึงถ่ายรูปสถานี Oita เป็นที่ระลึกก่อนจาก เป็นสถานีที่เรียบหรูมีสไตล์ พื้นปูด้วยปาเก้สุดเงา ตัดกับกำแพงสุดสะอาดสีขาว ที่ผนังเต็มไปด้วย หมาสุดทะเล้น ”คุโระซัง” แถมยังมีโต๊ะให้นั่งทานอาหาร อ่านหนังสือ เล่นเน็ท อีกด้วย คือขอนอนที่นี่เลยได้ไหม นี่เราต้องจากกันแล้วใช่ไหม แล้วเราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม ส่วนทางด้านเหยื่อ ตอนแรกนึกว่าจะเศร้าเสียใจร้องไห้ ที่ไหนได้ ระริกระรี้เดินไปซื้อครัวซองเจ้าดัง นามว่า “il FORNO del MIGNON”
(คือแค่ภาษาญี่ปุ่นตูยังไม่รอดเล๊ยยย ใครก็ได้อ่านออกเสียงให้ฟังหน่อยยย) ร้านนี้มีอยู่ตามสถานีใหญ่ๆ ดูจากโหงวเฮ้งร้าน ก็ดูไม่น่าจะอร่อยและไม่เคยคิดจะลองเลย แต่อย่าดูถูกไป คนต่อแถวซื้อเยอะอยู่ และครัวซองของเค้าอร่อยมากกกกกก มีหลายรสให้เลือกลิ้มลอง เช่น ชอคโคแลต มันฝรั่ง อัลมอนด์ บลาๆๆๆ สุดท้ายมื้อเช้าต้องจบลงที่ ครัวซอง+กาแฟ+น้ำเปล่า เซฟเงินได้อีกเยอะ แล้วเราก็มานั่งกินที่โต๊ะอาหารที่ทางสถานีจัดไว้ให้ รอเวลารถไฟออก...
รูปนี้ถ่ายตั้งแต่วันแรกฮะ หัวนางยังคงเป๊ะอยู่
หลังจากอิ่มและมีแรงที่จะลุยต่อแล้ว ก็ออกเดินทางไปสถานี Kitsuki ไปยัง Kitsuki Castle ซึ่งปราสาทนี้อยู่แถวๆ แหลม Kunisaki ติดทะเลเลย ซึ่งถ้านั่งรถไฟจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 40 นาที หลังจากดูแพลนว่าวันนี้จะต้องทำไรบ้างเสร็จแล้ว ก็รอรถไฟมา อ่าว! นั่นไง มาล่ะ เอ๊ะ! รถไฟรูปทรงคุ้นๆ วิ่งมาจอดที่ชานชลา ในเวลาที่ใช่พอดี ดูเหมือนนางจะจำได้ว่าเป็นรถไฟอะไร นางไม่สนใจใคร วิ่งเข้าไปในรถไฟอย่างรวดเร็ว ตดที่นางทิ้งไว้ยังไม่เริ่มส่งกลิ่นเลย นางได้ที่นั่งแล้ว ทำไมนางถึงได้รีบวิ่งเข้าไปน่ะเหรอ? ก็รถไฟที่กำลังจะแล่นไปสถานี Kitsuki เนี่ย มันคือรถไฟ Sonic มิกเกี้เม้าส์คิกขุอาโนเนะคิเรเนะอันโนวววววว นั่นเอง แต่รถไฟ ขบวนนี้ เป็นหูมิกกี้เม้าส์สีเขียว พอผมเดินเข้าไป เห็นนางกระดี๊กระด๊ามากๆ เหมือนนางได้เดินหลุดเข้าไปในทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสดใสแถวฮอกไกโดยังไงยังงั้น...
ใช้เวลาไม่นาน ก็มาถึง สถานี Kitsuki แห่งแหลม Kunisaki เป็นที่เรียบร้อย ช่างเป็น 40นาที ที่ทรมานใจผมมากๆ เหมือนพาเด็กมาเที่ยว ซนตลอดทาง ไหนจะถ่ายรูป เซลฟี่ ถ่ายวิดีโอ เล่นเบาะ กินขนม คือรู้สึกเหมือนได้นั่ง Aso Boy ที่มีแต่เด็กๆชอบมาขึ้นเลย ออกจากรถไฟมา ก็จะเห็นป้ายสถานีเก่าแก่สนิมเขรอะที่เหมือนใช้มานานมากสมัยโนบุนากะญี่ปุ่น รบกับ พระเจ้าบุเรงนองพม่ารามัญ
(อย่าถือสานะฮะ ดูThe faceมากไป ไม่เกี่ยว!!?) ส่วนในตัวสถานี ก็ดูเล็กๆเก่าๆ ตามอายุการใช้งาน ไม่ได้คึกครื้นเหมือนสถานี Beppu หรือ Oita แต่อย่างใด ออกจะเงียบเหงากว่าทุกที่ด้วยซ้ำ ในใจลึกๆก็เริ่มจะแป้วซะแล้ว กลัวมันจะไม่มีอะไรจริงๆ แต่เอาน่ะ “ทุกที่ ย่อมมีสิ่งที่สวยงามต่างกัน” ลุยยยยยยยยย!!
พอเดินออกจากสถานีมา ถ้าจะไป ปราสาทคิทซึกิ ต้องนั่งรถบัสเพื่อไปลงแถวนั้น ออกจากสถานี ด้านซ้ายจะมี Tourist Information อยู่ เจอลุงแก่ๆ คนหนึ่ง ลุงแกพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่เราก็ยังสามารถเดาได้ว่า เค้าจะสื่ออะไร แน่นอนที่สำคัญเลยคือตารางรถบัส เค้าก็พยายามอธิบายให้เราเข้าใจว่า ตารางรถบัสขาไป-ขากลับ ดูยังไง พร้อมกับแจกโบชัวร์สถานที่เที่ยวใน แหลมคูนิซากิทั้งหมด รวมถึง ปราสาทคิทซึกิ ที่เราจะไปด้วย เป็นปลื้มมาก ต้องขอขอบคุณคุณลุงที่น่ารักอย่างเป็นทางการมา ณ ที่นี้ด้วย ซึ่งค่าเสียหายในการนั่งรถบัสคือ 290เยน/คน/เที่ยว ใช้เวลาไปประมาณ 10-15นาที โดยหน้าตารถบัส และตารางรถบัสจะเป็นแบบนี้ฮะ
ตารางรถบัสไป-กลับ ปราสาท Kitsuki ดูตรงไฮไลท์สีส้มเลยฮะ
วิธีขึ้นก็เหมือนรถบัสที่นั่งจากสนามบินเข้าเมืองเลย รับบัตรจากตู้สีส้มก่อน ส่วนถ้าใครไม่มีเศษ ก็สามารถแลกจากตู้สีขาวได้ฮะ ไม่โกง พิสูจน์แล้ว ตอนลงก็เอาเงินใส่กล่อง อีซี่ สะดวกมากๆ นั่งมายังไม่ทันหายหนาวเลย ก็ถึงป้ายแล้ว
รถบัสจะมาจอดป้ายนี้ฮะ ข้างในมีที่นั่งรอรถบัสด้วย สำหรับหน้าหนาววววว
แต่เดี๋ยวก่อน ความสวยงามของวิวที่ ปราสาทคิทซึกิ มันไม่ได้เห็นกันง่ายๆหรอกนะ ต้องเดินเท้าไปอีก ประมาณ 10 นาที โดยใช้ google map นำทาง แทบจะไม่มีคนให้ถามทางได้เลย เงียบเหงามากกกก เราก็เปิดแมพ เดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะมาเจอปากทางเข้าปราสาท แล้วววว จะรอช้าอยู่ไย ลุยมันเข้าไปเล๊ยยยยย!!!
พอเดินผ่านโทริอิมา จะมีบันไดเดินขึ้นไป กับ เบี่ยงขวา ก็ไม่รู้ว่าเดินขึ้นบันไดไปจะไปโผล่ไหน แต่เราเลือกที่จะเบี่ยงขวา และเหมือนจะเลือกไม่ผิด เป็นทางเดินชัน ที่วิวทิวทัศน์ ค่อนข้างโอเคเลย เหมือนได้นั่ง honeymoon seat เห็นวิวทะเลแบบใกล้ๆ บ้านทรงเก่าหลายหลัง และสะพานที่ข้ามจากฝั่งนู่นมาฝั่งปราสาท พร้อมอากาศที่เย็นยะเยือก โอยยยย ฟินนนน...
หลังจากเก็บรูประหว่างทางเสร็จ ก็เดินเข้ามาอีกนิ๊ดดดเดียว จะเจอ รูปปั้นเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงถือลูกโลกอยู่ด้านซ้ายมือ น่าจะเป็นอนุเสาวรีย์อะไรสักอย่าง
(นี่เรามากันโดยไม่รู้ประวัติอะไรสักอย่างเลยใช่ไหม??) เลยไปอีกนิด ก็จะมีโทริอิ ข้างในเป็นศาลเจ้าขนาดย่อม ก็ตามเดิม ยกมือ 2ข้างขึ้นมา พนม แล้วไหว้ ผมว่าท่านน่าจะรับรู้แล้วนะ เพราะสักพักหนึ่ง เมฆเริ่มครึ้ม ฝนเริ่มตกปอยๆ เหมือนเค้าจะบอกว่า เอ็งเลิกไหว้ข้าผิดๆถูกๆซักทีเถิดดดดด แต่ฝนระดับแค่นี้ของท่าน ยังทำอะไรพวกผมไม่ได้หรอก ธรรมดามากๆ ก็ออกเดินทางต่อไป.......
[CR] ลักพาตัวสาวเรียกค่าไถ่ @ FUKUOKA [Day3]
ณ เวลา 22.00น. ของคืนหนึ่ง บรรยากาศเงียบสงัด เสียงจิ้งหรีดที่ร้องเป็นทำนอง ไร้เสียงผู้คน อากาศเย็นๆ ช่างเป็นคืนที่น่าจะเป็นฝันหวานของใครหลายๆคน ได้มีเงามืดสีดำน่ากลัวของชายผู้หนึ่งค่อยๆย่างกรายเข้ามาอย่างช้าๆ และได้ปลดล็อคกุญแจราวกับเป็นบ้านของตัวเอง และเริ่มย่องเข้าบ้านหญิงสาวรายหนึ่ง โดยอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครอยู่บ้าน ลักลอบเก็บเสื้อผ้าของเหยื่อ และค่อยๆเข้าไปลักพาตัวหญิงสาวขึ้นรถ หญิงสาวตกใจมาก เลยสู้ใจขาดดิ้น คาราเต้ เทควอนโด้ มวยไทย หย่งชุน นางจัดทุกท่วงท่าดั่งกับว่าเมียพี่บัวขาวเข้าสิง แต่ชายลึกลับผู้นั้นมีไหวพริบที่แรงกล้า รับทุกหมัด โดนทุกทีน ที่นางโถมเข้าใส่ จนนางเหนื่อยไปเอง(เจ็บชิบ!!) และก็ถึงเวลาที่จะทรมานหญิงสาวอย่างโหดร้ายทารุณ โดยการเอาชอคโคแลตล่อให้กินตลอดทางจนถึงสนามบิน.....
โดยอาวุธในการลงมือคือ:
- Canon
- Fuji XA-2
- Iphone6
- Chocolates
เมื่อถึงสนามบิน นางเริ่มรู้ตัวว่ากำลังโดนลักพาตัว!! (สงสัยจะเจอช็อคโคแลตรสยาชา) นางรีบยัดช็อคโคแลตใส่ปากหมด แล้วดิ้นรนพยายามจะหนีชายลึกลับผู้นั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ทว่านั่นก็ช้าไปเสียแล้ว.........
Day1 Bangkok--> Fukuoka--> Oita : http://ppantip.com/topic/34829929
Day2 Oita--> Yufuin : http://ppantip.com/topic/34832694
Day3 Oita--> Kitsuki--> Fukuoka : http://ppantip.com/topic/34836486
Day4 Fukuoka--> Kumamoto : http://ppantip.com/topic/34842632
Day5 Fukuoka--> Saga : http://ppantip.com/topic/34846782
Day6,7 Canal City and The end of Kidnapper : http://ppantip.com/topic/34852976
DAY3: Oita--> Kitsuki--> Fukuoka
วันที่3 ของการลักพาตัว... ดูเหมือนฝั่งครอบครัวหญิงสาวจะเริ่มระแคะระคาย เดาออกว่า กบดานอยู่แถวไหน เราจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแพลน ย้ายเหยื่อไปหาที่กบดานใหม่ ซึ่งการหนีมาอยู่ในเมืองเงียบๆอาจจะเดาง่ายไปหน่อย เพราะโจรส่วนใหญ่ก็ทำกัน คราวนี้ย้ายมันไปอยู่ในตัวเมืองเลย คนพลุกพล่าน เดินกันให้ว่อน หาไม่เจอแน่นอน (มั่นใจว่างั้นนะ) แต่ ก่อนจะไปกบดานที่ใหม่ ขอไปดูต้นทางที่ Kitsuki Castle เพื่อความมั่นใจก่อนออกเดินทาง...
ตื่นเช้ามาพร้อมความสดใสกับบรรยากาศหนาวๆวันสุดท้ายใน Oita เพราะเมื่อคืนสลบเร็ว ได้นอนเต็มที่ เลยปลุกไอ้ตัวแสบให้ไปอาบน้ำ ส่วนผมชิงอาบน้ำก่อนเรียบร้อย อาบไวดั่งสายลม เข้าใจ Jack Titanic เลยว่าทำไมถึงตาย หนาววัวตายความล้มมากกกก เครื่องทำน้ำอุ่นเป็นเครื่องที่ช่วยและฆ่าเราไปพร้อมๆกัน หลังจากอาบน้ำอุ่นเสร็จ ออกมาหนาวกว่าเดิม ผิวหนังที่เริ่มแตกระแหงทำให้คันและเป็นเม็ดๆ น่าขยะแขยงสุดๆ จากคนไม่ค่อยทาครีม เลยแอบจิกครีมทาตัวนางมาทาก็พอจะบรรเทาได้ในระดับนึง ขณะที่กำลังเซทผมแต่งหล่ออยู่ หันไปดูที่เตียง คือนางตาย!? ฝึกถอดจิต!? แข่งกลั้นหายใจ!? นอนแน่นิ่งมาก เลยอุ้มนางลงจากเตียงแม่มเลย แน่นอนครับ นางงอแงหงุดหงิดทุบตีและทำร้าย คิดซะว่าเป็นกระสอบทรายละกัน แม่นาง ยังไม่พอ ไม่อาบน้ำด้วย นางล้างหน้าแล้วเดินออกมาทาครีมเฉยเลย (เผานางขนาดนี้ ถ้าผมไม่ตอบคอมเม้น ถือว่าผมDEADสะมอเร่ไปแล้วนะฮะ) วันนี้เป็นวันที่ค่อนข้างซวยของนาง คือ เมื่อคืนนางสระผม แต่วันนี้ที่หนีบผมใช้ไม่ได้ หึ มัดผมไปละกันนะ ไว้ขากลับค่อยพาไปซื้อที่หนีบผมอันใหม่ หลังจากหล่อสวยเสร็จ ก็ Let’s Start!!
ลงมาเช็คเอ้าท์ ที่ รร. ดันเจอ reception สาวสวยที่ทิ้งเราไว้กลางทาง แทบจะไม่กล้าสบตาเลย หลังจากเช็คเอ้าท์เสร็จ ก็ฝากกระเป๋าเดินทางไว้ที่ทาง รร. ก่อน ตอนแรกที่คิดไว้คือ อยากฝากกระเป๋าที่สถานี Kitsuki เลย จะได้ไม่ต้องนั่งย้อนกลับมา Oita เพื่อมาเอากระเป๋า แล้วย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อเข้าเมือง Fukuoka อีก แต่กลัวว่าที่สถานี Kitsuki จะไม่มีตู้ล็อกเกอร์ฝากกระเป๋า เลยฝากไว้ที่ รร. ชัวร์สุด และถาม reception สุดสวยว่า ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้ามีที่ไหนบ้าง นางก็แนะนำอย่างดีพร้อมแผนที่และจุดพิกัด ขอบคุณนะฮะ....
เนื่องจากจะย้ายแล้วจึงถ่ายรูปสถานี Oita เป็นที่ระลึกก่อนจาก เป็นสถานีที่เรียบหรูมีสไตล์ พื้นปูด้วยปาเก้สุดเงา ตัดกับกำแพงสุดสะอาดสีขาว ที่ผนังเต็มไปด้วย หมาสุดทะเล้น ”คุโระซัง” แถมยังมีโต๊ะให้นั่งทานอาหาร อ่านหนังสือ เล่นเน็ท อีกด้วย คือขอนอนที่นี่เลยได้ไหม นี่เราต้องจากกันแล้วใช่ไหม แล้วเราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม ส่วนทางด้านเหยื่อ ตอนแรกนึกว่าจะเศร้าเสียใจร้องไห้ ที่ไหนได้ ระริกระรี้เดินไปซื้อครัวซองเจ้าดัง นามว่า “il FORNO del MIGNON” (คือแค่ภาษาญี่ปุ่นตูยังไม่รอดเล๊ยยย ใครก็ได้อ่านออกเสียงให้ฟังหน่อยยย) ร้านนี้มีอยู่ตามสถานีใหญ่ๆ ดูจากโหงวเฮ้งร้าน ก็ดูไม่น่าจะอร่อยและไม่เคยคิดจะลองเลย แต่อย่าดูถูกไป คนต่อแถวซื้อเยอะอยู่ และครัวซองของเค้าอร่อยมากกกกกก มีหลายรสให้เลือกลิ้มลอง เช่น ชอคโคแลต มันฝรั่ง อัลมอนด์ บลาๆๆๆ สุดท้ายมื้อเช้าต้องจบลงที่ ครัวซอง+กาแฟ+น้ำเปล่า เซฟเงินได้อีกเยอะ แล้วเราก็มานั่งกินที่โต๊ะอาหารที่ทางสถานีจัดไว้ให้ รอเวลารถไฟออก...
รูปนี้ถ่ายตั้งแต่วันแรกฮะ หัวนางยังคงเป๊ะอยู่
หลังจากอิ่มและมีแรงที่จะลุยต่อแล้ว ก็ออกเดินทางไปสถานี Kitsuki ไปยัง Kitsuki Castle ซึ่งปราสาทนี้อยู่แถวๆ แหลม Kunisaki ติดทะเลเลย ซึ่งถ้านั่งรถไฟจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 40 นาที หลังจากดูแพลนว่าวันนี้จะต้องทำไรบ้างเสร็จแล้ว ก็รอรถไฟมา อ่าว! นั่นไง มาล่ะ เอ๊ะ! รถไฟรูปทรงคุ้นๆ วิ่งมาจอดที่ชานชลา ในเวลาที่ใช่พอดี ดูเหมือนนางจะจำได้ว่าเป็นรถไฟอะไร นางไม่สนใจใคร วิ่งเข้าไปในรถไฟอย่างรวดเร็ว ตดที่นางทิ้งไว้ยังไม่เริ่มส่งกลิ่นเลย นางได้ที่นั่งแล้ว ทำไมนางถึงได้รีบวิ่งเข้าไปน่ะเหรอ? ก็รถไฟที่กำลังจะแล่นไปสถานี Kitsuki เนี่ย มันคือรถไฟ Sonic มิกเกี้เม้าส์คิกขุอาโนเนะคิเรเนะอันโนวววววว นั่นเอง แต่รถไฟ ขบวนนี้ เป็นหูมิกกี้เม้าส์สีเขียว พอผมเดินเข้าไป เห็นนางกระดี๊กระด๊ามากๆ เหมือนนางได้เดินหลุดเข้าไปในทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสดใสแถวฮอกไกโดยังไงยังงั้น...
ใช้เวลาไม่นาน ก็มาถึง สถานี Kitsuki แห่งแหลม Kunisaki เป็นที่เรียบร้อย ช่างเป็น 40นาที ที่ทรมานใจผมมากๆ เหมือนพาเด็กมาเที่ยว ซนตลอดทาง ไหนจะถ่ายรูป เซลฟี่ ถ่ายวิดีโอ เล่นเบาะ กินขนม คือรู้สึกเหมือนได้นั่ง Aso Boy ที่มีแต่เด็กๆชอบมาขึ้นเลย ออกจากรถไฟมา ก็จะเห็นป้ายสถานีเก่าแก่สนิมเขรอะที่เหมือนใช้มานานมากสมัยโนบุนากะญี่ปุ่น รบกับ พระเจ้าบุเรงนองพม่ารามัญ (อย่าถือสานะฮะ ดูThe faceมากไป ไม่เกี่ยว!!?) ส่วนในตัวสถานี ก็ดูเล็กๆเก่าๆ ตามอายุการใช้งาน ไม่ได้คึกครื้นเหมือนสถานี Beppu หรือ Oita แต่อย่างใด ออกจะเงียบเหงากว่าทุกที่ด้วยซ้ำ ในใจลึกๆก็เริ่มจะแป้วซะแล้ว กลัวมันจะไม่มีอะไรจริงๆ แต่เอาน่ะ “ทุกที่ ย่อมมีสิ่งที่สวยงามต่างกัน” ลุยยยยยยยยย!!
พอเดินออกจากสถานีมา ถ้าจะไป ปราสาทคิทซึกิ ต้องนั่งรถบัสเพื่อไปลงแถวนั้น ออกจากสถานี ด้านซ้ายจะมี Tourist Information อยู่ เจอลุงแก่ๆ คนหนึ่ง ลุงแกพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่เราก็ยังสามารถเดาได้ว่า เค้าจะสื่ออะไร แน่นอนที่สำคัญเลยคือตารางรถบัส เค้าก็พยายามอธิบายให้เราเข้าใจว่า ตารางรถบัสขาไป-ขากลับ ดูยังไง พร้อมกับแจกโบชัวร์สถานที่เที่ยวใน แหลมคูนิซากิทั้งหมด รวมถึง ปราสาทคิทซึกิ ที่เราจะไปด้วย เป็นปลื้มมาก ต้องขอขอบคุณคุณลุงที่น่ารักอย่างเป็นทางการมา ณ ที่นี้ด้วย ซึ่งค่าเสียหายในการนั่งรถบัสคือ 290เยน/คน/เที่ยว ใช้เวลาไปประมาณ 10-15นาที โดยหน้าตารถบัส และตารางรถบัสจะเป็นแบบนี้ฮะ
ตารางรถบัสไป-กลับ ปราสาท Kitsuki ดูตรงไฮไลท์สีส้มเลยฮะ
วิธีขึ้นก็เหมือนรถบัสที่นั่งจากสนามบินเข้าเมืองเลย รับบัตรจากตู้สีส้มก่อน ส่วนถ้าใครไม่มีเศษ ก็สามารถแลกจากตู้สีขาวได้ฮะ ไม่โกง พิสูจน์แล้ว ตอนลงก็เอาเงินใส่กล่อง อีซี่ สะดวกมากๆ นั่งมายังไม่ทันหายหนาวเลย ก็ถึงป้ายแล้ว
รถบัสจะมาจอดป้ายนี้ฮะ ข้างในมีที่นั่งรอรถบัสด้วย สำหรับหน้าหนาววววว
แต่เดี๋ยวก่อน ความสวยงามของวิวที่ ปราสาทคิทซึกิ มันไม่ได้เห็นกันง่ายๆหรอกนะ ต้องเดินเท้าไปอีก ประมาณ 10 นาที โดยใช้ google map นำทาง แทบจะไม่มีคนให้ถามทางได้เลย เงียบเหงามากกกก เราก็เปิดแมพ เดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะมาเจอปากทางเข้าปราสาท แล้วววว จะรอช้าอยู่ไย ลุยมันเข้าไปเล๊ยยยยย!!!
พอเดินผ่านโทริอิมา จะมีบันไดเดินขึ้นไป กับ เบี่ยงขวา ก็ไม่รู้ว่าเดินขึ้นบันไดไปจะไปโผล่ไหน แต่เราเลือกที่จะเบี่ยงขวา และเหมือนจะเลือกไม่ผิด เป็นทางเดินชัน ที่วิวทิวทัศน์ ค่อนข้างโอเคเลย เหมือนได้นั่ง honeymoon seat เห็นวิวทะเลแบบใกล้ๆ บ้านทรงเก่าหลายหลัง และสะพานที่ข้ามจากฝั่งนู่นมาฝั่งปราสาท พร้อมอากาศที่เย็นยะเยือก โอยยยย ฟินนนน...
หลังจากเก็บรูประหว่างทางเสร็จ ก็เดินเข้ามาอีกนิ๊ดดดเดียว จะเจอ รูปปั้นเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงถือลูกโลกอยู่ด้านซ้ายมือ น่าจะเป็นอนุเสาวรีย์อะไรสักอย่าง (นี่เรามากันโดยไม่รู้ประวัติอะไรสักอย่างเลยใช่ไหม??) เลยไปอีกนิด ก็จะมีโทริอิ ข้างในเป็นศาลเจ้าขนาดย่อม ก็ตามเดิม ยกมือ 2ข้างขึ้นมา พนม แล้วไหว้ ผมว่าท่านน่าจะรับรู้แล้วนะ เพราะสักพักหนึ่ง เมฆเริ่มครึ้ม ฝนเริ่มตกปอยๆ เหมือนเค้าจะบอกว่า เอ็งเลิกไหว้ข้าผิดๆถูกๆซักทีเถิดดดดด แต่ฝนระดับแค่นี้ของท่าน ยังทำอะไรพวกผมไม่ได้หรอก ธรรมดามากๆ ก็ออกเดินทางต่อไป.......