แฟนเรามีความฝันอยากจะมีบ้านของตัวเอง เพราะตัวเค้าเองไม่มีสมบัติหรือมรดกอะไร
ส่วนตัวเราไม่ค่อยซีเรียส เพราะมีมรดกบ้านและที่ดินของตัวเองอยู่ที่ต่างจังหวัด
เราค่อยๆสร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยกัน จากที่ไม่มีอะไรเลย อดและอิ่มมาด้วยกัน
แต่ตอนนี้ฐานเงินเดือนของเราสองคนยังไม่เหมาะจะซื้อบ้าน ส่วนงานรับเหมาช่วงนี้ก็ซบเซา
เรามีแพลนเรื่องเรียนต่อมา2-3ปีแล้วค่ะ เพราะอยากอัพเงินเดือนตัวเอง เพื่อเพิ่มกำลังในการผ่อนบ้าน
ถ้าเราเรียนต่อก็จะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับขัดสน แค่งดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือย 2ปีเท่านั้น
แต่พอบอกแฟนเค้ากลับบอกว่า ''วันๆหาแต่เรื่องเพิ่มรายจ่าย ไม่เคยเพิ่มรายได้"
แล้วโพสบ่นในFBว่าเหนื่อยที่ต้องเป็นคนแบกรับภาระทุกอย่าง เบื่อกับความรับผิดชอบมากมาย
ทั้งๆที่เงินก็ช่วยกันหาช่วยกันเก็บ ถึงแม้เงินเดือนเราจะน้อยกว่าแต่ก็แค่หลักพัน และเรามีโบนัสส่วนแฟนไม่มี
งานรับเหมาก็ช่วยกันทำ เราเป็นคนเขียนแบบ ติดต่อลูกค้า ทำบัญชีและจัดซื้อ ส่วนแฟนเป็นคนคุมหน้างาน
แต่กลับเอาแต่พูดเหมือนเราเป็นภาระ ส่วนตัวเค้าต้องแบกรับทุกอย่าง
ตอนนี้เรารู้สึกเครียด เหมือนตัวเองเป็นตัวปัญหาเป็นภาระของแฟน
เราควรจะเดินหน้าเรื่องเรียนต่อหรือพอแค่นี้ดีคะ? เราจะหาทางออกกับปัญหานี้ยังไงดี
***เพิ่มเติมนะคะ ตอนนี้เราอยู่กินกันมา5-6ปีแล้วค่ะ ใช้เงินกระเป๋าเดียวกัน โดยเราเป็นคนบริหารเงินส่วนนี้
เงินเดือนเราสองคนรวมกันแล้ว แบ่งจ่ายเป็นส่วนๆ โดยเราจะทำบัญชีรายรับรายจ่ายทุกเดือน และมีบัญชีเงินฝาก3ส่วน
(เรากับแฟนไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการลงทุนค่ะ เลยบริหารเงินแบบง่ายๆ)
1. บิลต่างๆที่ต้องจ่ายทุกๆเดือน ค่าไฟ ค่าเน็ต ผ่อนรถยนต์ ไม่มีค่าเช่าบ้าน ไม่มีบัตรเครดิตค่ะ
2. ฝากประจำรายเดือน (บัญชีที่1)
3. แบ่งกันคนละ3,000เอาไว้ใช้เป็นค่าข้าวกลางวัน/เดือน (ไม่เสียค่าเดินทาง)
ที่เหลือเป็นส่วนกลางเอาไว้ใช้จ่ายในบ้าน เช่น ค่าข้าวเย็น ของใช้ในบ้าน เสื้อผ้า ของใช้ฟุ่มเฟือย ฯลฯ
ซึ่งถ้าจะซื้ออะไรเราสองคนจะปรึกษากันก่อนว่าควรซื้อมั้ย
และทุกๆสิ้นเดือนเงินที่เหลือจากส่วนนี้ เราก็จะฝากเข้าบัญชีที่2
ส่วนเงินจากงานรับเหมาฝากไว้บัญชีที่3 เพื่อไว้ดาวน์และตกแต่งบ้าน ไม่ได้เอามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ซึ่งถ้าเราเรียนต่อ
1. ต้องลดการซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ
2. บัญชีที่2 (ฝากแบบออมทรัพย์) ยอดเงินฝากของทุกๆเดือนจะลดลงหรือบางเดือนอาจจะไม่ได้ฝากเลย
อยากเรียนต่อ แต่รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระแฟน ควรจะเดินหน้าหรือหยุดแค่นี้ดีคะ?
ส่วนตัวเราไม่ค่อยซีเรียส เพราะมีมรดกบ้านและที่ดินของตัวเองอยู่ที่ต่างจังหวัด
เราค่อยๆสร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยกัน จากที่ไม่มีอะไรเลย อดและอิ่มมาด้วยกัน
แต่ตอนนี้ฐานเงินเดือนของเราสองคนยังไม่เหมาะจะซื้อบ้าน ส่วนงานรับเหมาช่วงนี้ก็ซบเซา
เรามีแพลนเรื่องเรียนต่อมา2-3ปีแล้วค่ะ เพราะอยากอัพเงินเดือนตัวเอง เพื่อเพิ่มกำลังในการผ่อนบ้าน
ถ้าเราเรียนต่อก็จะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับขัดสน แค่งดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือย 2ปีเท่านั้น
แต่พอบอกแฟนเค้ากลับบอกว่า ''วันๆหาแต่เรื่องเพิ่มรายจ่าย ไม่เคยเพิ่มรายได้"
แล้วโพสบ่นในFBว่าเหนื่อยที่ต้องเป็นคนแบกรับภาระทุกอย่าง เบื่อกับความรับผิดชอบมากมาย
ทั้งๆที่เงินก็ช่วยกันหาช่วยกันเก็บ ถึงแม้เงินเดือนเราจะน้อยกว่าแต่ก็แค่หลักพัน และเรามีโบนัสส่วนแฟนไม่มี
งานรับเหมาก็ช่วยกันทำ เราเป็นคนเขียนแบบ ติดต่อลูกค้า ทำบัญชีและจัดซื้อ ส่วนแฟนเป็นคนคุมหน้างาน
แต่กลับเอาแต่พูดเหมือนเราเป็นภาระ ส่วนตัวเค้าต้องแบกรับทุกอย่าง
ตอนนี้เรารู้สึกเครียด เหมือนตัวเองเป็นตัวปัญหาเป็นภาระของแฟน
เราควรจะเดินหน้าเรื่องเรียนต่อหรือพอแค่นี้ดีคะ? เราจะหาทางออกกับปัญหานี้ยังไงดี
***เพิ่มเติมนะคะ ตอนนี้เราอยู่กินกันมา5-6ปีแล้วค่ะ ใช้เงินกระเป๋าเดียวกัน โดยเราเป็นคนบริหารเงินส่วนนี้
เงินเดือนเราสองคนรวมกันแล้ว แบ่งจ่ายเป็นส่วนๆ โดยเราจะทำบัญชีรายรับรายจ่ายทุกเดือน และมีบัญชีเงินฝาก3ส่วน
(เรากับแฟนไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการลงทุนค่ะ เลยบริหารเงินแบบง่ายๆ)
1. บิลต่างๆที่ต้องจ่ายทุกๆเดือน ค่าไฟ ค่าเน็ต ผ่อนรถยนต์ ไม่มีค่าเช่าบ้าน ไม่มีบัตรเครดิตค่ะ
2. ฝากประจำรายเดือน (บัญชีที่1)
3. แบ่งกันคนละ3,000เอาไว้ใช้เป็นค่าข้าวกลางวัน/เดือน (ไม่เสียค่าเดินทาง)
ที่เหลือเป็นส่วนกลางเอาไว้ใช้จ่ายในบ้าน เช่น ค่าข้าวเย็น ของใช้ในบ้าน เสื้อผ้า ของใช้ฟุ่มเฟือย ฯลฯ
ซึ่งถ้าจะซื้ออะไรเราสองคนจะปรึกษากันก่อนว่าควรซื้อมั้ย
และทุกๆสิ้นเดือนเงินที่เหลือจากส่วนนี้ เราก็จะฝากเข้าบัญชีที่2
ส่วนเงินจากงานรับเหมาฝากไว้บัญชีที่3 เพื่อไว้ดาวน์และตกแต่งบ้าน ไม่ได้เอามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ซึ่งถ้าเราเรียนต่อ
1. ต้องลดการซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ
2. บัญชีที่2 (ฝากแบบออมทรัพย์) ยอดเงินฝากของทุกๆเดือนจะลดลงหรือบางเดือนอาจจะไม่ได้ฝากเลย