จากกระทู้ก่อนหน้า เราพูดถึงเรื่องการรับรู้สถานะทางการเงินของตนเอง เริ่มกันเลยดีกว่าครับ
สถานะทางการเงินของเรา หลักๆก็จะอยู่ 3 อย่างคือ
1.เงินเดือนเหลือ มีเงินสำหรับใช้จ่ายตามใจตัวเองได้
2.เงินเดือนพอดีรายจ่าย พูดง่ายๆคือ เดือนชนเดือน
3.เงินเดือนไม่พอรายจ่าย
แต่ละสถานะการณ์เราเชื่อไหมครับ เราสามารถออมเงินได้เหมือนกัน มาเริ่มกันเลย
1. เงินเดือนเหลือ
อันนี้ง่ายครับ เมื่อเราหักรายจ่ายประจำแล้ว เงินส่วนที่เหลือเราสามารถแบ่งมาออมได้เลย แต่แปลกแต่จริงครับ คนกลุ่มนี้ จะมีเงินเหลือกิน เหลือใช้ แต่ไม่ค่อยเหลือเก็บ และบางคนจากเงินเดือนเหลือๆ ก็เข้าสู่วงจรบัตรเครดิต ผ่อนขั้นต่ำ ซื้อของทีตัวเองอยากได้ เหตุผลง่ายๆเข้าข้างตัวเองเลย คือ เอานะให้รางวัลตัวเอง เงินเดือนยังเหลือ ผ่อนสบายๆ ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีดอกเบี้ย เหมือนได้ฟรี ได้แต้มบัตรด้วย บลาๆๆ และส่วนใหญ่จะจบลงที่ ผ่อนจนเกินกำลังตัวเอง และทำให้ตัวเองหลุดจากคำว่า เงินเดือนเหลือ ไปเป็น พวกเดือนชนเดือนในท้ายที่สุด
คนที่จะออมเงินได้ในกลุ่มนี้ ง่ายๆเลยครับ คือ ตัดใจออมก่อนใช้ เงินเดือน 25,000 เหลือ 5,000 ให้ตัดไปออมเลย 500 1000 ตามสะดวก ส่วนที่เหลือ คุณจะใช้จ่ายอะไร มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง ก็ตามสะดวก แต่เราจะได้มีความมั่นคงทางการเงินในเรืองเงินออมขึ้นมา เพื่อสำหรับใช้จ่ายฉุกเฉิน หรือ หากมีอะไรจำเป็นหรีออยากได้ ก็จะได้ไม่ต้องพึ่งพาบัตรเครดิต และพาเราสู่วังวนในที่สุด วันหนึ่งที่คุณมีเงินออมสักห้าหกเดือน ความรู้สึกคุณจะเปลี่ยนไปเอง เมื่อผลตอบแทนที่ได้จากการออม การลงทุน หรือแม้มีเพียงเงินออมที่เหลือแสดงในบัญชีเพิ่มขึ้นทุกๆเดือน มันก็จะทำให้คุณอยากมีเงินออมมากขึ้นไปเอง สำคัญคือต้องเริ่มครับ มากน้อย ตามสะดวก ตามกำลัง
2.เงินเดือนพอดีค่าใช้จ่าย หรือ เดือนชนเดือน
คนกลุ่มนี้จะเหมาว่าเค้าไม่มีวินัยทางการเงินก็ไม่ได้นะครับ คนเรามีรายจ่ายจำเป็นไม่เหมือนกัน บางคนต้องดูแลครอบครัว พ่อแม่ ส่งเสียน้องเรียน หรือภาระอื่นๆ อันนี้ไม่ขอก้าวล่วง แต่เราจำยังไงให้เรามีเงินเหลือออม พูดแล้วมันจะขัดแย้งใช้ไหมละ ก็บอกอยู่ว่าเดือนชนดือน จะเอาที่ไหนมาออม
มีครับ แต่สิ่งที่คุณต้องทำคือ บัญชีรับจ่าย เรื่องง่ายๆเปลี่ยนโลกเลยครับ ไม่ง่ายนะบอกเลย การที่คุณจดอะไรทุกๆวันได้
ข้อดีของการทำบัญชีรับจ่าย คือ คุณจะเห็นรายได้ของคุณว่ามาจากทางไหนบ้าง รายจ่ายของคุณออกไปทางไหนบ้าง
เรามาโฟกัสกันที่รายจ่ายครับ รายจ่ายที่คุณจ่ายออกไปนั้น จำเป็น หรือไม่จำเป็น ค่ารถไฟฟ้า ค่า taxi ค่ากาแฟ เช้า เที่ยง เย็น ค่าบลาๆๆ
ให้รางวัลตัวเองได้ครับ กินแก้เหนื่อย แก้เครียดได้ครับ แต่ถ้าคุณอยากมีเงินออม คุณก็ต้องยอมสละความสุขบางส่วน เพื่อผลลัพธ์ระยะยาว กาแฟ 1 แก้ว 60 บาท วันละแก้ว อาทิตย์ละ 7 วัน 420 บาท ต่อสัปดาห์ 1680 ต่อเดือน ถ้าจะตัดมาออมสัก 500 ต่อเดือน เปลี่ยนเป็น เสาอาทิตย์ไม่กินกาแฟ จะได้ไหมครับ หรือ แค่ กินวันเว้นว้น ยังเหลือๆตั้ง 800 บาทต่อเดือน นี่ไม่นับค่าใช้จ่ายอื่นๆนะ ถ้าลดได้ ก็ออมได้ มีเงินเหลือไปทำอย่างอื่นอีก ส่วนคนที่รายได้เดือนชนเดือนแบบไม่มีรายจ่ายฟุ่มเฟือยเลยจริงๆนั้น ก็คงต้องมีการหารายได้เสริมเล็กๆน้อยๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตัวเอง หรือ พยายามหาช่องทางลดรายจ่ายออกให้ได้บางส่วน อาจจะลำบากหน่อย แต่มันก็ต้องมีช่องทางครับ
วันนัพอแค่นี้ก่อนนะครับ กระทู้ที่แล้ว มีคนบอกว่ายาาวไป พยามยามลดแล้ว ลดไม่ลงจริงๆ เพราะเนื้อหามันเยอะ
ส่วนเรื่องมีเงินเหลือและ อยากจะออม แต่ไม่รู้จะออมยังไง ไว้จะเอามาเล่าให้ฟังวันหลังนะครับ
จะเล่าจนกว่าจะมีคนฟัง Part 2 สุขภาพการเงิน กับ การออมเงิน
สถานะทางการเงินของเรา หลักๆก็จะอยู่ 3 อย่างคือ
1.เงินเดือนเหลือ มีเงินสำหรับใช้จ่ายตามใจตัวเองได้
2.เงินเดือนพอดีรายจ่าย พูดง่ายๆคือ เดือนชนเดือน
3.เงินเดือนไม่พอรายจ่าย
แต่ละสถานะการณ์เราเชื่อไหมครับ เราสามารถออมเงินได้เหมือนกัน มาเริ่มกันเลย
1. เงินเดือนเหลือ
อันนี้ง่ายครับ เมื่อเราหักรายจ่ายประจำแล้ว เงินส่วนที่เหลือเราสามารถแบ่งมาออมได้เลย แต่แปลกแต่จริงครับ คนกลุ่มนี้ จะมีเงินเหลือกิน เหลือใช้ แต่ไม่ค่อยเหลือเก็บ และบางคนจากเงินเดือนเหลือๆ ก็เข้าสู่วงจรบัตรเครดิต ผ่อนขั้นต่ำ ซื้อของทีตัวเองอยากได้ เหตุผลง่ายๆเข้าข้างตัวเองเลย คือ เอานะให้รางวัลตัวเอง เงินเดือนยังเหลือ ผ่อนสบายๆ ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีดอกเบี้ย เหมือนได้ฟรี ได้แต้มบัตรด้วย บลาๆๆ และส่วนใหญ่จะจบลงที่ ผ่อนจนเกินกำลังตัวเอง และทำให้ตัวเองหลุดจากคำว่า เงินเดือนเหลือ ไปเป็น พวกเดือนชนเดือนในท้ายที่สุด
คนที่จะออมเงินได้ในกลุ่มนี้ ง่ายๆเลยครับ คือ ตัดใจออมก่อนใช้ เงินเดือน 25,000 เหลือ 5,000 ให้ตัดไปออมเลย 500 1000 ตามสะดวก ส่วนที่เหลือ คุณจะใช้จ่ายอะไร มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง ก็ตามสะดวก แต่เราจะได้มีความมั่นคงทางการเงินในเรืองเงินออมขึ้นมา เพื่อสำหรับใช้จ่ายฉุกเฉิน หรือ หากมีอะไรจำเป็นหรีออยากได้ ก็จะได้ไม่ต้องพึ่งพาบัตรเครดิต และพาเราสู่วังวนในที่สุด วันหนึ่งที่คุณมีเงินออมสักห้าหกเดือน ความรู้สึกคุณจะเปลี่ยนไปเอง เมื่อผลตอบแทนที่ได้จากการออม การลงทุน หรือแม้มีเพียงเงินออมที่เหลือแสดงในบัญชีเพิ่มขึ้นทุกๆเดือน มันก็จะทำให้คุณอยากมีเงินออมมากขึ้นไปเอง สำคัญคือต้องเริ่มครับ มากน้อย ตามสะดวก ตามกำลัง
2.เงินเดือนพอดีค่าใช้จ่าย หรือ เดือนชนเดือน
คนกลุ่มนี้จะเหมาว่าเค้าไม่มีวินัยทางการเงินก็ไม่ได้นะครับ คนเรามีรายจ่ายจำเป็นไม่เหมือนกัน บางคนต้องดูแลครอบครัว พ่อแม่ ส่งเสียน้องเรียน หรือภาระอื่นๆ อันนี้ไม่ขอก้าวล่วง แต่เราจำยังไงให้เรามีเงินเหลือออม พูดแล้วมันจะขัดแย้งใช้ไหมละ ก็บอกอยู่ว่าเดือนชนดือน จะเอาที่ไหนมาออม
มีครับ แต่สิ่งที่คุณต้องทำคือ บัญชีรับจ่าย เรื่องง่ายๆเปลี่ยนโลกเลยครับ ไม่ง่ายนะบอกเลย การที่คุณจดอะไรทุกๆวันได้
ข้อดีของการทำบัญชีรับจ่าย คือ คุณจะเห็นรายได้ของคุณว่ามาจากทางไหนบ้าง รายจ่ายของคุณออกไปทางไหนบ้าง
เรามาโฟกัสกันที่รายจ่ายครับ รายจ่ายที่คุณจ่ายออกไปนั้น จำเป็น หรือไม่จำเป็น ค่ารถไฟฟ้า ค่า taxi ค่ากาแฟ เช้า เที่ยง เย็น ค่าบลาๆๆ
ให้รางวัลตัวเองได้ครับ กินแก้เหนื่อย แก้เครียดได้ครับ แต่ถ้าคุณอยากมีเงินออม คุณก็ต้องยอมสละความสุขบางส่วน เพื่อผลลัพธ์ระยะยาว กาแฟ 1 แก้ว 60 บาท วันละแก้ว อาทิตย์ละ 7 วัน 420 บาท ต่อสัปดาห์ 1680 ต่อเดือน ถ้าจะตัดมาออมสัก 500 ต่อเดือน เปลี่ยนเป็น เสาอาทิตย์ไม่กินกาแฟ จะได้ไหมครับ หรือ แค่ กินวันเว้นว้น ยังเหลือๆตั้ง 800 บาทต่อเดือน นี่ไม่นับค่าใช้จ่ายอื่นๆนะ ถ้าลดได้ ก็ออมได้ มีเงินเหลือไปทำอย่างอื่นอีก ส่วนคนที่รายได้เดือนชนเดือนแบบไม่มีรายจ่ายฟุ่มเฟือยเลยจริงๆนั้น ก็คงต้องมีการหารายได้เสริมเล็กๆน้อยๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตัวเอง หรือ พยายามหาช่องทางลดรายจ่ายออกให้ได้บางส่วน อาจจะลำบากหน่อย แต่มันก็ต้องมีช่องทางครับ
วันนัพอแค่นี้ก่อนนะครับ กระทู้ที่แล้ว มีคนบอกว่ายาาวไป พยามยามลดแล้ว ลดไม่ลงจริงๆ เพราะเนื้อหามันเยอะ
ส่วนเรื่องมีเงินเหลือและ อยากจะออม แต่ไม่รู้จะออมยังไง ไว้จะเอามาเล่าให้ฟังวันหลังนะครับ