สภาวะธรรม : มโนมยิทธิ เรื่องจริงหรือแค่จินตนาการ

กระทู้คำถาม
คิดอยู่นานกันครับ ว่าเรื่องนี้ควรแชร์หรือไม่ควรแชร์ แต่เพื่อให้เกิดความกระจ่าง ควรแลกเปลี่ยนเพื่อเป็นวิทยาทาน จะได้ไม่เกิดความโลภ โกรธ รวมไปถึงความหลง เรื่องนี้จะจริงหรือไม่จริง ขอให้ทุกท่านช่วยพิจารณา

อย่างที่หลายท่านทราบว่าผมเคยแชร์ประสบการสมรรถกรรมฐานหรือสมาธิในขั้นปฐมฌานกับฌาน 4 ไป จะถูกจะผิดในขั้นตอนตรงไหน...ไม่ว่ากัน เพราะนั่นเป็นเรื่องสมัยแรกๆที่ลองนั่ง ทำเอง ผมเองก็เพิ่งมาได้ครูบาอาจารย์ผู้รู้จริงช่วยกำกับให้ในช่วงปลายปี 57 นี้เอง แต่ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่ได้ช่วยแนะน แถลงไขำ อย่างน้อยผมก็ละทิฐิ ทะนงตน คิดว่าดีเลิศหนัหนา ของง่ายๆแค่นี้ใครก็ทำได้...ก็ว่ากันไป

เป็นที่ทราบกันดีว่า"มโนมยิทธิ" คือ การฝึกฤทธิ์ทางใจ ผู้สอนวิชานี้คนแรกคือหลวงพ่อปาน แต่ได้รับความนิยม มีคนปฏิบัติเห็นผลหลากหลายและได้รับการแพร่หลาย คือในยุคหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง สิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์จริง เชื่อว่าหลายคนที่เคยปฏิบัติคงได้สภาวะคล้ายๆกัน แต่คนไม่เคยปฏิบัติฟังดูคงน่าเหลือเชื่อ ไม่ต้องเชื่อครับ เพราะขนาดผมเองคิดเลย ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจินตนาการเป็น
จิตพลังใต้สำนึก หรือ คือ ของจริงล้วนๆ ขอทุกท่านช่วยพิจารณานะครับ

ตามลำดับดังนี้ครับ

1. ปกติ สวดมนต์ บริกรรมคำว่า "นะมะ-พะทะ นะมะ-พะทะ..ไปเรื่อยๆโดยครูบาอาจารย์จะให้เรานั่งสมาธิเบื้องต้นไปก่อน เพื่อให้เกิดสภาวะขั้นปฐมฌาน คือ วิตกวิจารปิติสุขเอตัตตา->สมาธิ->12345ดับ->ปฐมฌาน เกิดนิมิต "ดวงแก้วมีแสงสว่างจากภายใน" จากนั้นให้เราถอยฌานกลับมาที่สมาธิขั้นต้น คือ "อุปจาระสมาธิ" อารมณ์นั่นก่อนเข้า"ปิติ" กำหนดลมหายใจเข้าออกเบาๆ

2.คงสภาวะดังกล่าวให้ได้ 10-15 นาที คงสภาวะให้ให้เกิดความเคยชิน ขณะเดียวกัน ครูบาอาจารย์จะสอบถามว่า ขณะนี้เห็นเป็นอะไรยังไง แบบไหน ถูกผิด ผู้ที่ตอบถูกอาจารย์จะไม่ว่าอะไร คนที่ตอบผิดหรือตอบไม่ได้ท่านจะให้เปิดตาและลุกออกไปนอกห้อง

3.จากนั้นครูบาอาจารย์จะให้เรากำหนดสภาวะนั้นให้เป็นภาพตัวเราและพูดเรื่องการ พิจารณาขันธ์ 5 บริกรรมว่า "ขันธ์5ไม่มีในเรา เราไม่มีในขันธ์5-เราไม่มีในมัน มันไม่มีในเรา"จากนั้นให้เราจินตนาการถึงความสกปรกของร่างกาย กายเป็นของหนัก ของสกปรก ไปไหนมาไหนก็ลำบาก เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เที่ยง มีเกิดแก่เจ็บตาย อุดมไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เราควรยึดหรือไม่ เราก็ต้องจะตอบว่า ไม่ควร ดังนั้นให้กำหนดในนิมิตนั้นว่าปอกร่างกายเราออก ถอดหนัง เนื้อ เอ็น ลำใส้ ปอด ม้าม กระดูก วางกองไว้ที่พื้น พิจารณาดูว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสวยงามหรือไม่ ถ้ามันไม่สวยไม่งาม น่ากลัว น่าขยะแขยงแล้วเราจะยึดไว้ทำไม

4.เมื่อกำหนดแยกรูปนามเสร็จ ต่อมาครูบาอาจารย์จะให้เราพิจารณาอีกกายหนึ่ง ที่นั่นเรียกกายชนิดนี้ว่า "กายละเอียด" กายชนิดนี้จะมีลักษณะ โปร่ง เบา คล้ายๆดงงแก้ว แต่รูปร่างเป็นคนเป็นตัวเรา สภาพกายชนิดนี้แปลกจะมีสว่างไสวจากภายใน คล้ายๆสภาวะฌาน 4 สีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนสีทอง สีเงิน สีขาว ขึ้นอยู่กับตัวเค้าอย่างไรขึ้นอยู่กับภาพที่ปรากฏของแต่ละคน จากนั้นครูบาอาจารย์จะสอบถามถึงลักษณะ เครื่องแต่งกายของชุดนั่นๆ ใครตอบถูกได้ไปต่อ ตอบผิดเปิดตาและลุกออกนอกห้อง

5.พูดถึงเครื่องแต่งกาย แปลก...อย่าว่ายังโน่นยังงี้เลยนะ เราก็เองก็ตอบไปตามจินตนาการของเรา และภาพที่ปรากฏนั้น แต่ที่แปลก คือ
"ตอบถูกทุกคำถาม" การแต่งตัวของร่างกายชนิดนั้น คือ ชุดพระเอกลิเก ส่วนผู้หญิงจะเป็นนางเอกรึป่าว ครูบาอาจารย์ไม่ได้สอบถาม มีชฎา เครื่องทรง รองเท้างุ้มแหลม เป็นแก้วใส ถ้าผมแต่งหน้าทาปาก ร้องลิเกได้สักหน่อย ขึ้นเวทีได้เลย  ที่แปลกคือร่างกายนั้นขาวใสส่อสว่าง...แน่นอนครับ ตอนนี้มีผู้ตกรอบไปเกินครึ่งห้องแล้ว คาดว่าเดาคำตอบได้ไม่แม่นพอ

6.จากนั้นให้เราลองย่อขนาดกายนั้นให้ใหญ่ขึ้น เล็กลง แบ่งออกเป็นหลายร่าง ทำได้รึป่าว แยกและขยายแล้วมีอาการอย่างไร รู้สึกแบบไหนก็ตอบออกไป ในขั้นนี้ครูบาอาจารย์จะสอบถามละเอียด เพื่อให้ทราบว่า แต่ละคนเป็นภาพจริงหรือตอบเดาส่งๆ วิธีการคือถามทีละคน คนละหลายข้อ คำถามไม่ซ้ำกัน คนที่ตอบไม่เครีย...ตกรอบ ออกไปนั่งนอกห้อง

7.เมื่อกายละเอียดพร้อมแล้ว ให้นึกถึงมโนภาพพระพุทธเจ้า สักพักในจินตนาการเราจะมีพระองค์หนึ่งมาปรากฏ สูงกว่าเรา ความสูงประมาณ 2 เมตร มายืนข้างหน้าและยิ้มให้เรา ครูบาอาจารย์จะถามตลอดเพื่อให้เราคงสภาพของภาวะนั้นให้ได้นานที่สุด
8.กำหนดภาพว่าไปที่ไหนสักแห่ง มีภูเขลูกสูงใหญ่ ตลอดเส้นทางที่ไปมีบ้านเรือน นาสวนตลอดทาง พอขึ้นไปยอดเขาจะพบเจดีย์อะไรสักอย่าง ลักษณะเป็นแก้วใสมีสภาพสูงใหญ่ มีแสงสว่าที่ปลายยอด เจดีหน้าตาเป็นอย่างไรครูบาอาจารย์จะสอบถาม แล้วเราก็ตอบตอนนั้นทันที ตามที่เห็น เป็นสภาพวงกลม สี่เหลี่ยม แปดเหลี่ยม ขึ้นอยู่กับคำตอบแต่ละคน รอบๆเจดีย์มีบ้านเรือนลอยบนอากาศ ลักษณะแต่ละอาคารคล้ายวัด มีทั้งเป็นแก้วใสและสีทอง ตามแต่ละคนที่เห็นภาพ เข้าไปไหว้พระในเจดีย์มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หน้าตาคล้ายๆพระพุทธรูปในอาคาร 100 เมตร มีลักษณะสีทองสว่างไสว เพิ่งมาทราบตอนหลังว่าตอนนี้เราอยู่ดาวดึงค์ เส้นทางที่ผ่านมาคือจตุมหาราชิกา เจดีย์นั้นคือ  จุฬามณี

9.ครูบาอาจารย์ให้เราจินตนาการถึงพระอินทร์ นางฟ้า เทวดา อะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด สอบถามบุคคลเหล่านั้นว่าทำอะไร แบบไหน ทำไมถึงได้มาอยู่ตรงนี้ได้ ภาพที่เราจินตนาการจะตอบเรา จากนั่นครูบาอาจารย์จะถามเราว่าคนเหล่านี้ตอบเราว่าอะไร ถามทีละคนและคำถามไม่ซ้ำกัน
ในขั้นนี้คนส่วนใหญ่ไม่ตกรอบแล้ว คาดว่าจินตนาการล้ำลึก

10.ขึ้นไปสวรรค์ชั้นยามาเจอศาลาขนาดใหญ่เป็นแก้วใส มีคนชุดขาวสวดมนต์ในศาลานั้นมากมาย เสียงอื้ออึงไปหมด แหน่ะ...มีเสียงด้วยแน่นอนมะ...ขึ้นไปชั้นดุสิต ไปไหว้พระโพธิสัตว์โน่นนี่นั้นเต็มไปหมด ขนาดร่างกายใหญ่เล็ก บริวารมากน้อยอยู่ที่บารมี ภาพชัดไม่ชัดอยู่ที่จินตนาการของเรา ส่วนใหญ่ชัดเพราะตอบคำถามถูกเกือบหมด

11.ขึ้นไปชมชั้น"นิมมานนรดี"และ"ปรนิมมิตสวตี" คนอื่นเป็นไงไม่รู้ แต่ผมรู้สึกว่ามันคือสถานที่แห่งนี้ไม่ได้แยกจากกัน เหมือนกับเป็นสถานที่แห่งเดียวกัน โดยผู้ที่อยู่ชั้นนิมมานจะคอยดูแลคนที่ชั้นปรนิม" ภาพที่ผมเห็นเป็นแบบนั้น...ก็ว่ากันไป

จากนั้นครูบาอาจารย์ให้หยุด กำหนดถอยเข้าสภาวะสมาธิ เปิดตาช้าๆ สิ้นสุดการเดินทาง Part 1 วันต่อมา เข้าสู่ Part 2 เลยหล่ะกัน

12.เหมือนเดิมครับ กำหนดลำดับฌานตามที่บอกไว้ เข้าปฐมย้อนกลับมาอุปจาระ รอบนี้ครูบาอาจารย์ให้เรากำหนดกายให้ละเอียดกว่าเดิม ใสให้มากที่สุดเพื่อเกิดกำลังทางสมาธิ...จินตนาการจะได้เก่งขึ้น

13.กำหนดจิตขึ้นไปพรหม ชั้นที่ 1-2-3 ปฐมฌาน แล้วสอบถามรูปพรหมเหล่านั้นว่ามาอยู่นี่ได้อย่างไร ท่าจะตอบแล้วเราก็บอกครูบาอาจารย์ว่าท่านตอบแบบโน้นแบบนี้ แน่นอนต้องได้ปฐมฌานหยาบ-กลาง-ละเอียด ที่แปลกคือ ร่างกายของพรหมเหล่านี้มีลักษณะ เคลื่องแต่งกายคล้ายกับพวกที่ฝึก แต่ความใส ความสว่างนั้นขึ้นอยู่ที่จินตนาการแต่ละคน ???

14.จากนั่นก็ขึ้นไปพรหม ชั้นที่ 4-6 ทุติยฌาน ชั้นที่ 7-9 ตติยฌาน 10-11 จตุถฌาน ถามว่าทำอย่างไรถึงมาอยู่นี่ อันนี้ไม่เล่านะ คำตอบตามลำดับฌาน ???

15.ยากขึ้นอีกนิดหน่อย คล้ายๆเราฝึกอรูปฌาน คือ เพ่งอากาศวิญญานไม่มีความจำ นั่นแหล่ะ คือ ทำจิตให้ว่าง...ว่างมากที่สุด เมื่อทุกคนพร้อม กำหนดขึ้นไป "อรูปพรหม ชั้นที่ 12" แปลกไม่พบใคร เจอแต่บรรยาการคล้ายๆก้อนเมฆ เป็นหมอกหนา มืดๆคลึ้มๆ แต่เย็น
ชั้น 13-14-15-16 ก็ไม่พบใคร แต่บรรยากาศจะละเอียดและเบาบางขึ้นเรื่อยๆจะไม่พบใครสักคน ผมเองก็คิดว่าทำไมภาพในจินตนาการของผมถึงไม่เห็น...เพิ่งทราบตอนหลังว่าคนอื่นก็ไม่เห็น จะเห็นได้ไง ก็นั่นมันอรูปพรหม

16.เด็ดสุดของ Part 2 นี่เลย "โลกพระนิพพาน" มีซะด้วย !!!ใครบอกว่านิพพานสูญ...นิพพานไม่สูญ โลกพระนิพพานคือโลกของผู้ที่สูญจากราคะ โทษะโมหะ โลภะ "ผู้ที่คิดว่านิพพานสูญ ผู้นั่นย่อมสูญจากพระนิพพาน" บรรยากาศในจินตนาการผม เมืองนิพพานนั้นสวยงามดั่งนหนังเทพนิยาย ทั้งเมืองเป็นแก้วใส คนที่นั้นสำรวม มีร่างกายใส ส่องสว่างจากภายในคล้ายๆสภาวะฌาน 8 คือเป็นทรงกลมใสมีแสงจากข้างใน ครูบาอาจารย์จะถามตลอดว่าบรรยากาศของโลกพราะนิพพานเป็นอย่างไร คนในห้องก็ตอบไปตามนั่น คิดไปคิดมา ผมว่าโลกพระนิพพานที่ว่ามันคล้ายๆศาลา100ม.ของหลวงพ่อฤาษีนะเนี้ย หรือว่าเราจะจำภาพไปหว่า...แล้วทำไมคนอื่นๆเห็นเหมือนเราวะ ในใจคิดแบบนั้นไม่ได้บอกใคร บนนั้นพบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เยอะแยะไปหมด ร่างกายเล็กบ้างใหญ่บ้างตามจินตนาการแต่ละคนของตน เจอหลวงปู่ฤาษี พระอรหันต์ที่นั้น ตามที่เราทราบและรู้จักชื่อ เพราะอะไรนะเหรอ เพราะนี่พลังของจิตใต้สำนึกนั่นไง...ผมคิดแบบนี้นะ จากนั้นพาชมโน่นนี่นั่นตามที่ครูบาอาจารย์พาไป ภาพที่เห็นขึ้นอยู่กับจินตนาการตน

จบ Part 2 อย่างอิ่มเอิบ ชื่นชมในบุญ รู้สึกร่างกายเย็นและเบาสบาย ชื่นมื่น คิดในใจว่าจินตนาการเราหนอ ช่างบรรเจิด อย่าคิดว่าจะมีแต่สิ่งสวยงาม ต่อ Part 3 ท่องนรก

17.กำหนดจิตเข้าสภาวะเหมือนเดิม ฌาน4ตบมาอุปจาระสมาธิ กำหนดภาพสถานที่แห่งหนึ่ง มืดคลึ้ม อึดอัด คนเยอะ หน้าตาไม่ค่อยดี มีคนสูงใหญ่ สวมผ้าสีแดงคอยคมตัว มีอาคารขนาดใหญ่เท่าวังลับของประเทศจีน 2 อาคาร เลือกเข้าไปอาคารไหนก็ได้ เพราะข้างในบรรยากาศเหมือนกัน ข้างในมีห้องใหญ่หลายห้อง แต่ละห้องมีผ้าม่านขาวบาง มีห้องคุมตัวคล้ายๆโรงพักบ้านเรา จากนั้นครูบาอาจารย์ให้เรากำหนดคุยกับพยายม ไม่รู้เหมือนกันว่าใช่พยายามรึป่าว เพราะบุคคลนั้นแต่งตัวเรียบร้อย หน้าตาสะอาดสะอ้าน พูดจามีสัมมาคารวะ สำรวม ดุจคนมีความรู้มีฐานะและถ่อมตัว คุยถึงนักโทษที่นี่ และวิธีการพิพากษา จากนั่นครูบาอาจารย์ให้บอกท่านว่าให้ช่วยพาทัวร์นรกหน่อย เพราะเห็นแล้วเมื่อตายจะได้ไม่ต้องมา

18.พาชมนรกทั้ง 8 ขุมอย่างสนุกสนาน ผู้คนโดนทรมาน บรรยากาศร้อนแรก เหมือนจะได้ยินเสียงคนกรีดร้อง จินตนาการเรานี้มันแน่นอนจริงๆ แสดงได้ สี เสียง แสงและกลิ่นได้ด้วย จากนั่นครูอาจารย์จะให้ถามถึงโทษของการมานรกขุมโน้นขุมนี้...คำตอบก็ตามตำรานั่นแหล่ะ บางอย่างครูบาอาจารย์ก็ช่วยทบทวนด้วย เพื่อให้ความรู้ลงไปถึงจิตใต้สำนึก

19.พาชมโลกันมหานรก นรกขุมใหญ่นอก 3 โลก เป็นหุบเหวสูงชัน บรรยากาศมืดมิด เย็นสนิท มีแต่เสียงหวีดร้อง มีเสียงคล้ายๆน้ำไหล แต่มองไม่เห็น อะไรเป็นอะไรไม่ค่อนสนใจ เพราะยังไงคงไม่อยากมา

20.กำหนดสมาธิเปิดตา กลับเข้าสู่โลกปัจจุบัน กลายเป็นปลาซิวปลาสร้อย ประชาชนคนเดินดินกินข้าวแกง ขึ้นรถเมล์ฟรีเหมือนเดิม ไม่เห็นมีฤทธิ์ ไม่มีเดชอะไร หวยไม่มีเพราะไม่เคยเล่น ซื้อไปก็ไม่ถูก..

กิจกรรมนี้ใช้เวลาฝึก 3 ครั้งๆละประมาณ 2 ชั่วโมง ฝึกจินตนาการสนุกสนาน ก็ว่ากันไป อย่างที่บอก มโนมยิทธิ คือ ฤทธิ์ทางใจ เน้นสร้างจินตนาการและปลุกพลังจิตใต้สำนึก ครูบาอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า วิชานี้บางครั้งต้องอาศัยของเก่าร่วม

ผมคิดเองนะ...ในพุทธกาลผู้ที่คิดค้นวิชานี้เก่งมาก เข้าใจคิด...เพราะสามารถปลูกพลังจิตใต้สำนึกคน การคิดแบบมโนภาพ พลังในการจินตนาการที่ไม่สิ้นสุด หลายคนเกิดความหลงหลังจากฝึกวิชานี้ เข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ ถ้าคนที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนากรรมฐานมาก่อน ผมไม่แนะนำให้ฝึกครับ

Ps...เป็นไงบ้างอ่ะ ที่ผมเล่ามาทั้งหมด สิ่งที่ผมและเพื่อนๆในห้องพบเจอในจิตใต้สำนึกนั้นเป็น"เรื่องจริง"เพราะมีภาพ แสง สี เสียง กลิ่น หรือเป็นสิ่งที่"มโน"ขึ้น เป็น"จินตนาการ"ที่พวกผมคิดกันไปเอง ชื่อมันก็บอกชัดอยู่แล้ว (มโน แปลว่า ความคิด /ยิทธิ แปลว่า ยึดถือ รวมกันคือ ยึดถือในความคิด=จินตนาการ) อยากให้ท่านผู้รู้ตลอดจนผู้ที่เคยฝึกมโนมยิธิช่วยแนะนำหน่อยด้วยนะครับ ผมน้อมรับความคิดเห็นของทุกท่าน พร้อมปรับปรุง แก้ไข เพื่อสร้างฐานให้แน่น ก่อนการเดินทางจริงของชีวิตครับ...

ขอบคุณครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ถ้าจิตยังไม่รวมเป็นสมาธิ
มันจะเป็นแค่จินตนาการเรื่อยเปื่อย

สายหลวงพ่อฤาษี จะเรียก อทิสมานกาย  ไม่เรียกกายละเอียด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่