☼ ☼ 13:: ตัวแทนของหัวใจ ☼ ☼
บ้านเทพเจ้าเวลานี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกอันเศร้าสลด ห้องโถงใหญ่จัดวางโลงศพสองใบตั้งเรียงเคียงข้างกัน ภายในห้องจัดตบแต่งด้วยม่านสีฟ้าขาว ดูเงียบขรึมรันทดกลิ่นธูปควันกำยานตลบอบอวล
ดึกมากแล้ว..ขณะที่ผู้คนพากันหลับใหล ในห้องโถงพลันเพิ่มคนคู่หนึ่งขึ้นอย่างเงียบๆ
เป็นเหวินฮั่นกุนกับหลันเหลย
ทั้งสองจุดธูปไหว้คารวะหน้าโลงศพ หลันเหลยทรุดเข่าลงกับพื้นหลั่งน้ำตาเนืองนอง กล่าวเบาๆ
“ พี่ชิงหยุน สิ่งใดที่ข้าเคยล่วงเกินท่านไป โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาข้าทำผิดไว้กับท่าน แต่ข้าหาได้ตั้งใจไม่ ข้าขอโทษ...”
เหวินฮั่นกุนวางมือบนไหล่หลันเหลยเป็นเชิงปลอบโยน ค่อยเบือนหน้าไปทางป้ายชื่อหน้าโลงศพของเฉินชิงหยุน ในใจอธิษฐาน
“ ชิงหยุน ขอดวงวิญญาณของท่านไปสู่สุขคติเถิด หากมีสิ่งใดที่ข้าเคยล่วงเกิน ก็ขออโหสิกรรมด้วยเช่นกัน “
หลันเหลยพึมพำต่อไปว่า
“ พี่ชิงหยุน ข้าหลันเหลยขอสัญญาหน้าศพของท่าน ข้าจะล้างแค้นให้ท่านเอง ขอให้พี่นอนตายตาหลับเถิด หลันเหลยคนนี้จะไม่ลืมเลือนพี่ไปชั่วชีวิต “
เอ่ยถึงตอนนี้ เหวินฮั่นกุนพลันกระซิบเบาๆ “ หลันเหลย มีคนมา..”
หลันเหลยค่อยปลุกปลอบตนเองจากภวังค์โศกเศร้า สะอึกกายตามเหวินฮั่นกุนเข้าไปหลบหลังฉากกั้น แอบมองออกไปเห็นผู้มาเป็นบ่าวไพร่สองคน ทั้งสองเดินเข้ามาจุดธูป พอเห็นว่าในกระถางมีธูปดอกเล็กๆสองก้านปักอยู่ ต้องหันสบตากันอย่างแปลกใจ
“ เอ๊ะ.. ดึกป่านนี้มีใครเข้ามาไหว้ศพของนายท่านกับคุณชายรองนะ “
“ หรือว่า... คุณชายใหญ่ลอบเข้ามา ? “
อีกคนออกความเห็นด้วยน้ำเสียงตระหนก
“ เป็นไปไม่ได้ ที่นี่เวรยามแน่นหนา คุณชายใหญ่แม้มีฝีมือสูงส่ง แต่เขาถูกกล่าวหาว่าฆ่าพ่อและน้องชาย คงไม่กล้าเสี่ยงเข้ามากระมัง เพราะหากถูกจับได้ มีหวังถูกสับแหลกเป็นชิ้นแน่ๆ “
“ แล้วเจ้าคิดว่าคุณชายใหญ่เป็นคนลงมือทำเรื่องชั่วๆแบบนี้จริงหรือเปล่า ? “
ฟังสองบ่าวไพร่นินทาเจ้านายถึงตรงนี้ คนที่แอบฟังอยู่ทั้งสองคนถึงกับหูผึ่ง
“ มันก็ไม่แน่เหมือนกัน คุณชายใหญ่มีนิสัยดื้อรั้น คราวก่อนก็เถียงกับนายท่านแล้วสะบัดหน้าออกจากบ้านไปครั้งหนึ่งแล้ว คราวครั้งนี้ก็อาจจะมีเรื่องขัดแย้งกันอีกก็ได้ นายท่านกำลังบาดเจ็บ..อาจจะพลาดท่าเสียทีจนเสียชีวิต ข้าว่าคุณชายใหญ่คงไม่ได้ตั้งใจลงมือหรอก..แต่ถ้าบอกว่าพลั้งมือก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง...”
“ เฮ่อ.. ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าคุณชายใหญ่จะเป็นคนอย่างนี้ไปได้ ... ฆ่าพ่อถือว่าเลวอกตัญญูแล้ว นี่ยังฆ่าน้องร่วมสายเลือดด้วยอีกคน .. เขาฆ่าคุณชายรองทำไมกันนะ พี่น้องคู่นี้ความจริงก็ดูรักใคร่กันดีนี่นา “
อีกคนพอฟังต้องทอดถอนใจยาวอย่างสะทกสะท้อน แค่นเสียงอย่างแค้นเคือง
“ เจ้าคงไม่รู้อะไร คุณชายใหญ่กับคุณชายรองเมื่อก่อนก็รักใคร่กันดีหรอก แต่เพราะการเข้ามาของเด็กสาวที่ชื่อซิมหลันเหลยคนนั้น จึงทำให้คุณชายทั้งสองต้องแตกคอกัน จะว่าไปคุณชายทั้งสองที่บาดหมางกันก็เพราะนางมารน้อยนั่นแหล่ะเป็นต้นเหตุ “
“ อืม..ข้าก็ได้ยินแว่วๆเรื่องนี้มาเหมือนกัน หากนางไม่มาที่นี่ก็ดี เรื่องวุ่นวายหลายเรื่องมาจากนางแท้ๆ เฮ่อ.. ไม่น่าเลย พี่น้องต้องมาเข่นฆ่ากันเพราะผู้หญิงเป็นเหตุ ไม่น่าเลยจริงๆ “
ทั้งสองพูดบ่นสบถกันงึมงำ ก่อนจะถือโคมไฟล่าถอยกันออกไป
เหวินฮั่นกุนเหลียวหน้ามาทางหลันเหลยที่ยืนซึมเซากับที่ บีบมือนางเบาๆปลอบโยน
“ อย่าคิดมากไปเลย พวกบ่าวไพร่ก็ชอบเอาเรื่องเจ้านายมานินทากุเป็นเรื่องเป็นราว ที่พวกมันพูดอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ เจ้าอย่ารับฟังแล้วเอาไปคิดเองเออเอง มีแต่ทำให้ไม่สบายใจไปเปล่าๆ “
หลันเหลยพูดอะไรไม่ออก เอียงศีรษะเข้ามาอิงซบกับทรวงอกของชายหนุ่ม สะอื้นออกมาอย่างเสียใจ เหวินฮั่นกุนยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาบนแก้มให้นาง ปากปลอบเสียงนุ่มนวล
“ เด็กโง่.. ปกติเจ้าเข้มแข็งอย่างยิ่งมิใช่หรือ หมู่นี้ทำไมร้องไห้บ่อยจัง อย่าร้องไห้เลยนะ.. ที่นี่ไม่ค่อยปลอดภัยนัก อยู่นานอาจมีคนพบเห็นได้ พวกเราไปกันเถอะ...”
............................................
หลังผละออกจากบ้านเทพเจ้า หลันเหลยก็ชวนเหวินฮั่นกุนไปที่กระท่อมโรงนาซึ่งเคยไปพักหลบฝนกับองค์ชายก่วงหยางอีกครั้ง เพื่อค้นหาหยกประดับซึ่งตนสงสัยว่าอาจจะทำตกหล่นไว้นี่นั่น
เหวินฮั่นกุนส่องโคมไฟเดินหาจนทั่วแล้วแต่ก็หาไม่เจอ จึงหันมาออกความเห็น
“ เรารอให้สว่างแล้วค่อยมาหาใหม่อีกรอบดีไหม มืดๆอย่างนี้หาลำบาก มองอะไรไม่เห็นเลย ว่าแต่.. เจ้าแน่ใจนะว่าทำตกหล่นไว้ที่นี่ ? “
“ ข้าก็ไม่รู้...”
หลันเหลยตอบหน้าเศร้า “ แต่ข้าคิดว่า น่าจะเป็นที่นี่มากกว่าที่อื่น “
“ เจ้านี่.. ไม่ไหวเลย หยกสำคัญก็ทำหายได้ “
เหวินฮั่นกุนเผลอหลุดปากบ่นอย่างไม่ตั้งใจ ... แล้วก็เป็นเรื่องจนได้.. คนฟังกำลังเสียใจอยู่แล้ว พอได้ยินถึงกับต่อมน้ำตาแตกอีกหน แบะปากร่ำได้ออกมาอย่างแค้นใจตัวเอง
“ ใช่.. ข้ามันแย่จริงๆ ท่านปู่รึอุตส่าห์เก็บรักษามันไว้อย่างดีถึงสิบกว่าปีเพื่อมอบให้ข้า แต่ข้าได้มาไม่กี่วันก็ดันสะเพร่าทำหาย แล้วนี่ตายไป.. ข้าจะไปสู้หน้าท่านปู่ในปรภพได้อย่างไร ? “
เหวินฮั่นกุนลอบถอนใจ เดินเข้ามายื่นมือกุมไหล่ทั้งสองของนาง แล้วปลอบโยน
“ ไม่เอาน่า.. ข้าไม่ได้ตั้งใจตำหนิเจ้าหรอกนะ.. อย่าคิดมาก “
“ แต่ข้ามันแย่จริงๆนี่นา...”
“ อย่าโทษตัวเองสิ.. พอโทษตัวเองแล้วก็จะยิ่งเสียใจ เชื่อข้า .. มันไม่หายไปไหนหรอกน่า ประเดี๋ยวพอฟ้าสว่าง เราต้องหามันเจอแน่ “
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา ถามเสียงละห้อย
“ แล้วถ้าเราหามันไม่เจอล่ะพี่ ? “
“ ถ้าหากไม่เจอหรือ ? “ เหวินฮั่นกุนตอบเสียงยานๆ พลางทำเสียงสะอื้นขึ้นจมูกดังซิกซิก “ ให้หาไม่เจอก่อนแล้วค่อยร้องไห้ดีกว่าไหม ? “
หลันเหลยเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเขากำลังแบะปากทำหน้าล้อเลียนตนเองอยู่ อดรู้สึกขบขันจนลืมตัวหัวเราะคิกออกมามิได้ ก่อนจะกำหมัดทุบใส่เขา ร้องอย่างขุ่นเคือง
“ คนบ้า.. อยู่ก็น่ากลัวแล้วยังมาทำตัวน่าเกลียดอีก กล้าล้อเลียนผู้อื่นรึ สมควรตีให้ตาย “
เหวินฮั่นกุนปั้นหน้าขรึมไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ต้องหัวร่อฮาฮาออกมา เบี่ยงกายหลบหลีกหมัดน้อยๆที่รัวเข้ามาราวพายุ
หนุ่มสาวทั้งสองไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่า เวลานั้นมีคนอีกผู้หนึ่งลอบยืนมองอยู่นอกหน้าต่างด้วยสายตาเศร้าสร้อยโหยหา ก่อนจะหมุนกายผละจากไปอย่างเงียบงัน
คนผู้นั้นก็คือ..องค์ชายก่วงหยาง !
..............................................
♥ ♥ .. จอมใจเจ้าบัลลังก์ .. ♥ ♥ [ 13: ตัวแทนของหัวใจ ]
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
อ่านตอนก่อนหน้านี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[ขอบคุณ :ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต]
บ้านเทพเจ้าเวลานี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกอันเศร้าสลด ห้องโถงใหญ่จัดวางโลงศพสองใบตั้งเรียงเคียงข้างกัน ภายในห้องจัดตบแต่งด้วยม่านสีฟ้าขาว ดูเงียบขรึมรันทดกลิ่นธูปควันกำยานตลบอบอวล
ดึกมากแล้ว..ขณะที่ผู้คนพากันหลับใหล ในห้องโถงพลันเพิ่มคนคู่หนึ่งขึ้นอย่างเงียบๆ
เป็นเหวินฮั่นกุนกับหลันเหลย
ทั้งสองจุดธูปไหว้คารวะหน้าโลงศพ หลันเหลยทรุดเข่าลงกับพื้นหลั่งน้ำตาเนืองนอง กล่าวเบาๆ
“ พี่ชิงหยุน สิ่งใดที่ข้าเคยล่วงเกินท่านไป โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาข้าทำผิดไว้กับท่าน แต่ข้าหาได้ตั้งใจไม่ ข้าขอโทษ...”
เหวินฮั่นกุนวางมือบนไหล่หลันเหลยเป็นเชิงปลอบโยน ค่อยเบือนหน้าไปทางป้ายชื่อหน้าโลงศพของเฉินชิงหยุน ในใจอธิษฐาน
“ ชิงหยุน ขอดวงวิญญาณของท่านไปสู่สุขคติเถิด หากมีสิ่งใดที่ข้าเคยล่วงเกิน ก็ขออโหสิกรรมด้วยเช่นกัน “
หลันเหลยพึมพำต่อไปว่า
“ พี่ชิงหยุน ข้าหลันเหลยขอสัญญาหน้าศพของท่าน ข้าจะล้างแค้นให้ท่านเอง ขอให้พี่นอนตายตาหลับเถิด หลันเหลยคนนี้จะไม่ลืมเลือนพี่ไปชั่วชีวิต “
เอ่ยถึงตอนนี้ เหวินฮั่นกุนพลันกระซิบเบาๆ “ หลันเหลย มีคนมา..”
หลันเหลยค่อยปลุกปลอบตนเองจากภวังค์โศกเศร้า สะอึกกายตามเหวินฮั่นกุนเข้าไปหลบหลังฉากกั้น แอบมองออกไปเห็นผู้มาเป็นบ่าวไพร่สองคน ทั้งสองเดินเข้ามาจุดธูป พอเห็นว่าในกระถางมีธูปดอกเล็กๆสองก้านปักอยู่ ต้องหันสบตากันอย่างแปลกใจ
“ เอ๊ะ.. ดึกป่านนี้มีใครเข้ามาไหว้ศพของนายท่านกับคุณชายรองนะ “
“ หรือว่า... คุณชายใหญ่ลอบเข้ามา ? “
อีกคนออกความเห็นด้วยน้ำเสียงตระหนก
“ เป็นไปไม่ได้ ที่นี่เวรยามแน่นหนา คุณชายใหญ่แม้มีฝีมือสูงส่ง แต่เขาถูกกล่าวหาว่าฆ่าพ่อและน้องชาย คงไม่กล้าเสี่ยงเข้ามากระมัง เพราะหากถูกจับได้ มีหวังถูกสับแหลกเป็นชิ้นแน่ๆ “
“ แล้วเจ้าคิดว่าคุณชายใหญ่เป็นคนลงมือทำเรื่องชั่วๆแบบนี้จริงหรือเปล่า ? “
ฟังสองบ่าวไพร่นินทาเจ้านายถึงตรงนี้ คนที่แอบฟังอยู่ทั้งสองคนถึงกับหูผึ่ง
“ มันก็ไม่แน่เหมือนกัน คุณชายใหญ่มีนิสัยดื้อรั้น คราวก่อนก็เถียงกับนายท่านแล้วสะบัดหน้าออกจากบ้านไปครั้งหนึ่งแล้ว คราวครั้งนี้ก็อาจจะมีเรื่องขัดแย้งกันอีกก็ได้ นายท่านกำลังบาดเจ็บ..อาจจะพลาดท่าเสียทีจนเสียชีวิต ข้าว่าคุณชายใหญ่คงไม่ได้ตั้งใจลงมือหรอก..แต่ถ้าบอกว่าพลั้งมือก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง...”
“ เฮ่อ.. ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าคุณชายใหญ่จะเป็นคนอย่างนี้ไปได้ ... ฆ่าพ่อถือว่าเลวอกตัญญูแล้ว นี่ยังฆ่าน้องร่วมสายเลือดด้วยอีกคน .. เขาฆ่าคุณชายรองทำไมกันนะ พี่น้องคู่นี้ความจริงก็ดูรักใคร่กันดีนี่นา “
อีกคนพอฟังต้องทอดถอนใจยาวอย่างสะทกสะท้อน แค่นเสียงอย่างแค้นเคือง
“ เจ้าคงไม่รู้อะไร คุณชายใหญ่กับคุณชายรองเมื่อก่อนก็รักใคร่กันดีหรอก แต่เพราะการเข้ามาของเด็กสาวที่ชื่อซิมหลันเหลยคนนั้น จึงทำให้คุณชายทั้งสองต้องแตกคอกัน จะว่าไปคุณชายทั้งสองที่บาดหมางกันก็เพราะนางมารน้อยนั่นแหล่ะเป็นต้นเหตุ “
“ อืม..ข้าก็ได้ยินแว่วๆเรื่องนี้มาเหมือนกัน หากนางไม่มาที่นี่ก็ดี เรื่องวุ่นวายหลายเรื่องมาจากนางแท้ๆ เฮ่อ.. ไม่น่าเลย พี่น้องต้องมาเข่นฆ่ากันเพราะผู้หญิงเป็นเหตุ ไม่น่าเลยจริงๆ “
ทั้งสองพูดบ่นสบถกันงึมงำ ก่อนจะถือโคมไฟล่าถอยกันออกไป
เหวินฮั่นกุนเหลียวหน้ามาทางหลันเหลยที่ยืนซึมเซากับที่ บีบมือนางเบาๆปลอบโยน
“ อย่าคิดมากไปเลย พวกบ่าวไพร่ก็ชอบเอาเรื่องเจ้านายมานินทากุเป็นเรื่องเป็นราว ที่พวกมันพูดอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ เจ้าอย่ารับฟังแล้วเอาไปคิดเองเออเอง มีแต่ทำให้ไม่สบายใจไปเปล่าๆ “
หลันเหลยพูดอะไรไม่ออก เอียงศีรษะเข้ามาอิงซบกับทรวงอกของชายหนุ่ม สะอื้นออกมาอย่างเสียใจ เหวินฮั่นกุนยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาบนแก้มให้นาง ปากปลอบเสียงนุ่มนวล
“ เด็กโง่.. ปกติเจ้าเข้มแข็งอย่างยิ่งมิใช่หรือ หมู่นี้ทำไมร้องไห้บ่อยจัง อย่าร้องไห้เลยนะ.. ที่นี่ไม่ค่อยปลอดภัยนัก อยู่นานอาจมีคนพบเห็นได้ พวกเราไปกันเถอะ...”
............................................
หลังผละออกจากบ้านเทพเจ้า หลันเหลยก็ชวนเหวินฮั่นกุนไปที่กระท่อมโรงนาซึ่งเคยไปพักหลบฝนกับองค์ชายก่วงหยางอีกครั้ง เพื่อค้นหาหยกประดับซึ่งตนสงสัยว่าอาจจะทำตกหล่นไว้นี่นั่น
เหวินฮั่นกุนส่องโคมไฟเดินหาจนทั่วแล้วแต่ก็หาไม่เจอ จึงหันมาออกความเห็น
“ เรารอให้สว่างแล้วค่อยมาหาใหม่อีกรอบดีไหม มืดๆอย่างนี้หาลำบาก มองอะไรไม่เห็นเลย ว่าแต่.. เจ้าแน่ใจนะว่าทำตกหล่นไว้ที่นี่ ? “
“ ข้าก็ไม่รู้...”
หลันเหลยตอบหน้าเศร้า “ แต่ข้าคิดว่า น่าจะเป็นที่นี่มากกว่าที่อื่น “
“ เจ้านี่.. ไม่ไหวเลย หยกสำคัญก็ทำหายได้ “
เหวินฮั่นกุนเผลอหลุดปากบ่นอย่างไม่ตั้งใจ ... แล้วก็เป็นเรื่องจนได้.. คนฟังกำลังเสียใจอยู่แล้ว พอได้ยินถึงกับต่อมน้ำตาแตกอีกหน แบะปากร่ำได้ออกมาอย่างแค้นใจตัวเอง
“ ใช่.. ข้ามันแย่จริงๆ ท่านปู่รึอุตส่าห์เก็บรักษามันไว้อย่างดีถึงสิบกว่าปีเพื่อมอบให้ข้า แต่ข้าได้มาไม่กี่วันก็ดันสะเพร่าทำหาย แล้วนี่ตายไป.. ข้าจะไปสู้หน้าท่านปู่ในปรภพได้อย่างไร ? “
เหวินฮั่นกุนลอบถอนใจ เดินเข้ามายื่นมือกุมไหล่ทั้งสองของนาง แล้วปลอบโยน
“ ไม่เอาน่า.. ข้าไม่ได้ตั้งใจตำหนิเจ้าหรอกนะ.. อย่าคิดมาก “
“ แต่ข้ามันแย่จริงๆนี่นา...”
“ อย่าโทษตัวเองสิ.. พอโทษตัวเองแล้วก็จะยิ่งเสียใจ เชื่อข้า .. มันไม่หายไปไหนหรอกน่า ประเดี๋ยวพอฟ้าสว่าง เราต้องหามันเจอแน่ “
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา ถามเสียงละห้อย
“ แล้วถ้าเราหามันไม่เจอล่ะพี่ ? “
“ ถ้าหากไม่เจอหรือ ? “ เหวินฮั่นกุนตอบเสียงยานๆ พลางทำเสียงสะอื้นขึ้นจมูกดังซิกซิก “ ให้หาไม่เจอก่อนแล้วค่อยร้องไห้ดีกว่าไหม ? “
หลันเหลยเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเขากำลังแบะปากทำหน้าล้อเลียนตนเองอยู่ อดรู้สึกขบขันจนลืมตัวหัวเราะคิกออกมามิได้ ก่อนจะกำหมัดทุบใส่เขา ร้องอย่างขุ่นเคือง
“ คนบ้า.. อยู่ก็น่ากลัวแล้วยังมาทำตัวน่าเกลียดอีก กล้าล้อเลียนผู้อื่นรึ สมควรตีให้ตาย “
เหวินฮั่นกุนปั้นหน้าขรึมไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ต้องหัวร่อฮาฮาออกมา เบี่ยงกายหลบหลีกหมัดน้อยๆที่รัวเข้ามาราวพายุ
หนุ่มสาวทั้งสองไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่า เวลานั้นมีคนอีกผู้หนึ่งลอบยืนมองอยู่นอกหน้าต่างด้วยสายตาเศร้าสร้อยโหยหา ก่อนจะหมุนกายผละจากไปอย่างเงียบงัน
คนผู้นั้นก็คือ..องค์ชายก่วงหยาง !
..............................................