เมื่อคนที่เราเรียกว่า "ป๊า" เป็นวัณโรค แล้วโดนรังเกียจจากคนในครอบครัว

ป๊า ในที่นี้ๆเพราะแต่งงานกับพี่สาวเราตั้งแต่พี่สาวเราอายุ18เค้าอายุมากกว่าพี่สาวเรา 10ปี และอายุน้อยกว่าแม่เรา 10 ปี
ตั้งแต่เราจำความได้ แม่ก็บอกให้เราเรียกเค้าว่า "ป๊า"มาโดยตลอด เพราะว่าเค้ามีเชื้อจีน แล้วเราก็ผิวขาว ลักษณะภายนอกคล้ายๆกัน เวลาไปเที่ยวคนอื่นจะนึกว่าเป็นพ่อลูกกัน เพราะเราเหมือนเค้ามากกว่าเหมือนพ่อ(พ่อเราตัวดำค่ะ)
พ่อแท้ๆของเรา มีเมียใหม่ เราจึงคิดเสมอว่า มีป๊าก็เหมือนมีพ่อแล้ว แต่พอเราอายุสามสี่ขวบ แม่เราก็เข้ามาซื้อบ้านอยู่ที่อยุธยา ก่อนหน้านั้นตั้งแต่เราเกิดเราก็อยู่ที่สลัมตรงสะพานขาวหลังวัดญวนค่ะ
ที่บ้านเก่า แม่เห็นว่าไม่เหมาะที่จะเลี้ยงเราแน่ๆ เพราะสภาพที่นั่น มันเป็นตรอกแคบๆ แถมมีพวกดมกาวเต็มไปหมด เลยตัดสินใจย้ายบ้าน
เราย้ายไปอยู่หมู่บ้านเปรมฤทัยได้ประมาณสองปี เราก็ยังอยู่ด้วยกัน เป็นครอบครัวใหญ่ ตอนนั้นป๊าเป็นคนจ่ายตังค่าบ้านคนเดียว แต่ แม่กับพี่สาว มีชื่อเป็นผู้ซื้อร่วม ป๊าเราช่วงนั้น เสพสารเสพติดค่ะ บางครั้งก็ไม่รู้เอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ
จนประมาณปี 2540ป๊าโดนจับ ติดคุกอยู่หกปี เราก็ไปเยี่ยมเค้าบ้างตามที่แม่พาไป ตอนนั้นเราก็อยู่ป.1พอดี
ตั้งแต่เค้าโดนจับ ชีวิตก็อัตคัด ขัดสนมากเลย ไม่มีตังจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ โดนตัดหมด ตอนนั้นพี่สาวก็ทำงานโรงงานได้เดือนละ3000ไม่พอจ่าย พี่ชายเราก็ช่วยไม่ได้มาก พี่ชายคนกลางกับน้องชายเราก็ยังเรียนอยู่ พี่ชายเราก็เพิ่งขึ้นม.ต้น พ่อเราก็อยู่กับเมียใหม่ สุดท้ายเลยปล่อยให้บ้านโดนยึดไป เพราะไม่มีปัญญา
หาเดือนนี้ได้ ก็หาเดือนหน้าไม่ได้ ค่าจะใช้กินใช้จ่ายแต่ละวันก็ยังไม่มี สรุปว่าเราต้องย้ายไปเช่าบ้านอยู่หมู่บ้านข้างๆ แล้วเราก็โตมาที่นั่น (อยู่มาอีกนับสิบปี) ระหว่างนั้นบ้านเราไม่ค่อยมีกินเลย
ทุกอาทิตย์ แม่ต้องนั่งรถเข้ากรุงเทพ กลับไปแถวๆวัดญวณ เพื่อมาเอาเงินที่พ่อ อาทิตย์ละ500 แล้วแม่ก็จะมานอนค้างบ้านป้า ที่วัดญวณนั่นแหละ พอเช้าแม่ก็จะซื้อของกิน พวกลูกชิ้นไส้กรอก กลับบ้าน แล้วของพวกนั้นก็ต้องกินให้ถึงหนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้ประชากรในบ้านมี6 คน
อยู่มาได้ไม่นาน พี่ชายคนโต รองจากพี่สาวก็โดนจับข้อหายาเสพติดอีก ตอนแรกโดน2ปี แล้วปล่อยออกมาตอนเราอยู่ ป.3 ตอนหลังโดนอีก กลายเป็น6ปี ออกมาอีกทีเราก็อยู่ม.3
เข้าเรื่องป๊าเราต่อ ป๊าเราออกจากคุก ตอนเราอยู่ ม. 1พอดี ออกมา เค้าก็เป็นคนดี ทำนู่นทำนี่ หางานทำ ส่งเสียเราเรียน จากที่ไม่เคยได้ตังไปโรงเรียนก็ได้วันละ 40ซึ่งเราก็ดีใจมาก เราอยากได้อะไรอยากกินอะไรเค้าก็หามาให้ตลอด พาเราไปซื้อหนังสือ จะพูดว่าเค้ารักเราก็คงไม่ผิด เรากับป๊าสนิทกันนะ เรารักป๊ามากกว่าพ่อเราอีก ถึงพ่อเราจะไม่ได้ทิ้งแล้วหายไป ไม่เคยติดคุก แต่เรากับพ่อเจอกันก็แค่ปีละครั้งเอง เลยไม่สนิทกันด้วยประการทั้งปวง
ป๊าส่งเสีย จ่ายตังให้เรียนมหาลัย ซื้อโน๊ตบุ๊คให้ ให้เรามีเหมือนคนอื่น ซื้อโทรศัพท์ จ่ายตังค่าโทรศัพท์ให้
ป๊าเป็นคนที่สูบบุหรี่จัด สูบวันละสองสามซอง เค้าชอบทะเลาะกับเเม่เรื่องกลิ่นบุหรี่ แม่เราสูบยาเส้น กลิ่นมันก็เหม็นเหมือนกัน แต่เค้าก็ทะเลาะกัน ว่าของใครเหม็นกว่า แม่กับป๊าจะกัดกันเสมอ
พออยู่มหาลัยปีสอง พี่สาวเราอยากซื้อบ้าน แต่ปรากฎว่าซื้อไม่ได้ เพราะชื่อของพี่สาวกับแม่ กลายเป็นบุคคลล้มละลาย เพราะเรื่องเป็นหนี้ธนาคารค่าซื้อบ้านที่เราไม่มีตังค์จ่าย เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เราเลยหมดสิทธิ์ได้บ้าน แม่ทะเลาะกับป๊า หาว่าป๊าเป็นคนดึงพี่สาวเราเค้าไปยุ่งเรื่องบ้าน และทุกๆอย่าง บอกว่าถ้าไม่ติดคุกก็คงไม่เป็นแบบนี้
ต่างคนต่างเสียใจ เราต้องไปทำงานพิเศษ ป๊าเราก็โดนยึดรถมอเตอร์ไซค์ที่ผ่อนไว้เกือบครบแล้ว ตอนนั้นแย่มากๆ
แล้วพอตอนน้ำท่วม ป๊าก็บอกว่าจะคอยอยู่วิดน้ำที่บ้านออกให้ ให้เรากับแม่ไปอยู่บ้านพี่ชายคนที่สอง ที่เอื้ออาทร ลำลูกกา
ตอนนั้น ก็คิดว่าน้ำคงไม่ท่วมมาก เลยทิ้งของส่วนใหญ่ไว้ที่บ้าน ทั้งรูป ตอนเราเด็กๆ และรูปญาติ ที่เก็บไว้เป็นสิบๆปี รูปงานแต่งทั้งหลาย ของใช้ หลายๆอย่าง รวมทั้งหนังสือของเราที่เอาใส่ถุงแล้วกองรวมกันเป็นลังๆวางไว้บนหลังตู้เสื้อผ้าด้วย
แล้วพอวันต่อมา ป๊าก็บอกว่าวิดน้ำไม่ไหว ต้องเอารถมอเตอร์ไซค์ฟีโน่ ที่เพิ่งซื้อมาไม่นาน เอาขึ้นรถซาเล้ง แล้วลากออกมาหน้าซอย ขอบอกก่อนว่าซอยนั้นลึกมาก ตอนเราออกมา พี่ชายเราขี่CBRมาน้ำก็เกือบถึงหัวเข่าแล้ว
แล้วแม่กับป๊าก็ทะเลาะกันอีก แม่บอกว่าของสำคัญพังหมด ไม่เหลือเลย ทั้งตู้ ทั้งอะไรหลายๆอย่าง แม่บอกว่าไหนบอกว่าวิดน้ำได้ (บ้านเช่าเราชั้นเดียวค่ะ)ตอนพี่เรากลับเข้าไปเอาโทรทัศน์ก็วัดดวงกันว่ามันยังอยู่หรือเปล่า ปรากฏว่ายังดีอยู่ แต่น้ำสูงครึ่งบ้านแล้ว ตู้เสื้อผ้าทำจากไม้อัดก็ล้ม จอคอมตั้งโต๊ะก็หล่น ของเสียหายหมดเลย รูปถ่ายทุกใบก็เสียหมด ตลอดเวลาแม่โทษป๊าตลอด
หลังจากหนึ่งอาทิตย์ ที่ลำลูกกาน้ำก็ท่วมอีก เหมือนหนีเสือปะจรเข้ แต่ดีหน่อยตรงที่ไม่ท่วมเยอะมาก ท่วมสูงสุดประมาณเกือบถึงเช่า แล้วก็ลดอยู่จนถึงประมาณหน้าแข็ง ช่วงนั้นบ้านแตก เราไม่เจอพี่สาวกับป๊าเลยเป็นเดือนๆ
เราทะเลาะกับหลานชาย เราไม่ได้ติดต่อกับแฟน เราสภาพจิตแย่มาก เหมือนโดนขัง ต้องติดอยู่เป็นเดือนๆ จะไปไหนก็ไม่ได้ไป
จนอีกประมาณสองอาทิตย์มหาลัยเปิด เราทะเลาะกับหลานแรงมากเรื่องโทรทัศน์ คือเราดูหนังกับแม่อยู่ แล้วมันก็เปิดเพลงในโน๊ตบุ๊คใส่ลำโพงดังลั่น เราปวดประสาทมาก แล้วตอนนั้น พี่ชายคนรองกับพี่สะใภ้ไม่อยู่ เขาพาลูกไปโรงพยาบาลเพราะไม่สบาย คิดภาพดูสิ น้ำท่วม ลูกไม่สบาย ไปหาหมอมันลำบากแค่ไหน ต้องนั่งแพโฟมไป
ทุกอย่างมันช้าไปหมด ตอนนั้นน้ำที่ลำลูกกาเหลือประมาณหน้าแข้ง เราทะเลาะกับหลานจนอยู่บ้านนั้นไม่ได้ (หลานชายคนโต อายุน้อยกว่าเรา4ปี) เราเลยโทรไปร้องไห้ ขอให้ป๊าขับรถมอเตอร์ไซค์จากคลอง9 บ้านพี่ชายอีกคน ให้มารับเราหน่อย เพราะที่นั่นน้ำลดแล้ว ป๊าก็รีบมาทันที เราร้องไห้ตลอดเลย
พอมาอยู่บ้านพี่ชายอีกคน ที่นี่ก็มีหลานอีก หลานคนนี้ตอนนั้นอายุ 3ขวบ มันไล่เราอย่างกับหมูกับหมา เราเลือดขึ้นหน้ามากเลย แต่ก็ต้องทนอยู่ อัดกันอยู่ในห้องเล็กๆมืดๆที่บ้านพี่ชาย อัดกันอยู่3คน ในห้องความยาวประมาณสองเมตรครึ่ง มันเป็นห้องเก็บของอ่ะ มีแต่ข้าวของที่ขนมาจากบ้านเก่า
ไม่นึกเลยว่าวันนั้นที่เราออกมาจะเป็นวันสุดท้ายที่เราได้อยู่ที่นั้นและได้เห็นที่นั่นอีก
มหาลัยเราจะเปิดอีก สามวัน เรากับพี่สาวกับป๊า ก็เลยไปหาห้องอยู่ตรงข้ามกับมิตซู ก่อนถึงนวนครขาออกจากกรุงเทพ
ไปกลับมหาลัยก็ลำบาก ป๊าต้องคอยไปส่งตลอด เพราะในซอย ไม่มีวินมอเตอร์ไซค์เลย ขากลับก็จะมารอรับหน้าซอย ตอนไหนเรากลับดึก เค้าก็ต้องมารอรับ
เราอยู่แบบนี้ไม่เจอหน้าแม่เลย ประมาณ3เดือน แล้วเราก็ได้ห้องใหม่ เป็นห้องเอื้ออาทร ตรงมิตซูนั่นแหละ เป็นห้องของอาจารย์เรา เราบอกอยากได้ห้องนี้ แม่จะได้มาอยู่ด้วย ป๊าก็บอกตกลง แม่จะได้มาอยู่กับเราได้
ป๊าออกจากงานประจำ มาขายข้าวขาหมู ป๊าทำอร่อยมาก ให้เยอะด้วย แต่ก็ขาดทุนทุกที แต่ก็ยังตระเวนขายข้าวขาหมูด้วยรถซาเล้งนี่แหละ อ้อ ลืมบอกไปค่ะ ป๊าเอาเงินของพี่สาวเราจากเงินโบนัส มาลงทุน 3หมื่น เพราะซื้อรถซาเล้งด้วยกับพวก หม้อ ไห จานชามโต๊ะ เก้าอี้ และอื่นๆ สุดท้ายก็เจ๊งเพราะไม่มีตังซื้อขาหมู เหมือนเหนื่อยฟรี ในแต่ละวัน เพราะไม่ได้กำไรเลยก็เลยเลิกทำ
นับจากเรื่องข้าวขาหมู แม่เราก็ไม่คุยกับป๊าอีกเลย แล้วพี่ชายคนกลางของเราก็เลิกกับเมียของเขาที่แต่งกันมาห้าปี และเอาหลาน คนที่มันเคยไล่เราออกจากบ้าน ตอนนี้มันอายุ5ขวบแล้ว มาฝากไว้ให้แม่เราเลี้ยง หลานเราพอโตมา มันก็เริ่มพูดจารู้เรื่อง และเหมือนจะเจียมตัวดี เราก็อดสงสารมันไม่ได้ พี่ชายคนกลางมีเมียใหม่ อยู่กันได้ไม่เท่าไหร่ก็เลิกกันอีก ปัจจุบันก็มีคนใหม่อีกคน ซึ่งลูกก็ฝากแม่เลี้ยงเหมือนเดิม สงสารหลานจริงๆ มีพ่อมีแม่ก็เหมือนไม่มี
ตอนนี้เราเรียนจบ ออกมาทำงานในกรุงเทพ รับปริญญา เราห่างเหินจากคนที่บ้านมากขึ้น รู้สึกถึงอิสระที่เราต้องการมาตลอด มีแฟน แฟนมาหาบ้าง ซึ่งเราก็เกือบจะโอเค แต่เราก็มารู้เรื่องแย่ๆอีกว่าป๊าเราเสพยา เพราะป๊าไปทำงานเป็นยามและต้องตื่นเพราะนอนตอนกลางคืนไม่ได้ พอกลับมาบ้านก็ไม่ค่อยได้นอน ออกนอกบ้านตลอด รถฟีโน่ก็หายไป อ้างว่าโดนตำรวจยึด ปี58ที่ผ่านมาป๊าอายุ 50แล้ว โดนตำรวจจับข้อหา ขับเสพ ต้องไปบำบัดที่ค่ายทหารสระบุรี หกเดือน
ระหว่างนั้นป๊าก็เริ่มไม่สบายบ่อยขึ้น โรคสำไส้กำเริบ หกเดือนหลังจากนั้น ป๊าออกมา เราก็ไม่ได้กลับไปบ้านที่มิตซูเลยเพราะงานยุ่ง ป๊าก็ขอให้เราออกรถให้ แต่ชื่อเราซื้อรถให้แฟนเราไปแล้ว เราก็ไม่อยากเสี่ยง แม่เราก็บอกว่าไม่ต้อง หลังจากนั้นป๊าเราก็ไม่โทรมาอีกเลย เรารู้สึกผิดมาก แต่อีกใจนึง เขามีเรื่องตลอด ต้องจ่ายเงินคืนให้พี่สาว เดือนละห้าพันหกเดือน ไหนจะค่ารถไฟแนนซ์จากคันเก่าอะไรก็ไม่รู้ แล้วแม่ก็บอกว่าป๊าไม่ได้ช่วยค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟเลย พี่สาวเราออกคนเดียว เราก็ไม่รู้จะพูดยังไง
จนเมื่อเดือนตุลาคม 2558 ป๊าก็กลับไปทำงานเฝ้ายามอีก เราก็บอกจะกลับไปบ้าน ป๊าก็เลยทำข้าวขาหมูไว้ให้เรากิน เรากลับบ้านเราตกใจมาก เพราะป๊าผอมมาก เห็นซี่โครงเป็นซี่ๆกินอะไรก็ไม่ค่อยได้ แม่บอกว่าบางทีก็ร้องโอดโอยอยู่ในห้อง บอกให้ไปหาหมอก็ไม่ไป เห็นแล้วเวทนา ริดสีดวงก็โผล่ จนมีอะไรกับพี่สาวเราไม่ได้ เราฟังแล้วสงสารมาก ไม่รู้จะทำยังไง นอกจากนั่งคุยเป็นเพื่อน
แล้วประมาณสองอาทิตย์ที่ผ่านมา แม่เราก็โทรมาเล่าว่าป๊าไปอยู่บ้านพี่สาวคนที่เค้าติดหนี้ พี่สาวเราอยากเลิกกับป๊า เพราะ เค้ามีแฟนใหม่ อายุ45อายุมากกว่าพี่สาวเรา 5ปี แต่เคยมีลูกมีเมียแล้ว เรานี่ช๊อคเลยค่ะ ไม่นึกว่าแม้แต่พี่สาวเราก็เป็นคนแบบนั้น เค้าแต่งกันมาตั้ง20กว่าปี ถึงแม้จะติดคุกไปหกปีก็เถอะ ทำไมถึงมาทิ้งกันเอาตอนแก่
วันต่อมา แม่ก็โทรมาบอกว่าป๊าเข้าโรงพยาบาล ปอดดำ หมอบอกเป็นวัณโรค แต่ไม่รู้ว่ามีเชื้อหรือเปล่า ต้องเจาะปอด เอาน้ำออกจากปอดก่อน อยู่มาเป็นอาทิตย์ก็ไม่ได้กลับ ญาติพี่น้องของป๊าก็รังเกียจ พอรู้ว่าเป็นโรคก็รีบหนีกลับไม่ยอมให้อยู่ด้วย ก็เหลือแต่ฝั่งเราแล้ว เราก็ไม่รู้พี่สาวเราคิดยังไง แต่เขาบอกว่าชาตินี้คงไม่นอนเตียงเดียวกันอีกแล้ว ส่วนแม่เราก็บอกว่าถ้าป๊าอยู่ แม่ก็ไม่อยู่ เพราะ แม่ก็มีหลานกลัวหลานติดเชื้อ
ล่าสุด วันที่31ธันวาคมที่ผ่านมา เราคุยกับป๊า ป๊าบอกอยากกลับบ้าน แต่รู้ว่ากลับไป ที่บ้านก็รังเกียจ แต่ป๊าก็จะนอนบนรถซาเล้งก็ได้ หมอบอกต้องกินยา ทุกวันจนครบหกเดือน แล้วเชื้อก็จะหยุดแพร่เชื้อ อันนี้เราก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่เราก็พยายามอ่านดูในเน็ต ว่าวัณโรค มันติดเชื้อจากการหายใจ ไม่ติดทางการสัมผัส ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษากว่าสองสัปดาห์จะไม่แพร่เชื้อ เราก็คุยกับแม่เรื่องนี้ แต่แม่ก็บอกว่า ไม่ขออยู่ด้วยท่าเดียว เราพูดแค่ไหนเขาก็ไม่เข้าใจ หาว่ามันเป็นโรคติดต่อ โรคติดต่อ
แม่บอกเสมอว่าป๊า ผลาญเงินพี่สาว ที่ชีวิตตกต่ำขนาดนี้ก็เพราะป๊า ทั้งเรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องขายข้าวขาหมู เรื่องนู่นนั่นนี่ บราๆๆ
เราก็บอกแม่ว่า ยังไงเค้าก็ส่งเสียเรามาไม่มากก็น้อย แต่มากกว่าที่พ่อให้ แม่ก็บอกเองว่าให้เรียกว่าป๊า ถ้าไม่มีใครดูแลป๊า เราจะดูแลเอง
แม่เราก็บอกว่า "อย่ามาพูดบ้าๆ ทำไมต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อคนที่ไม่เคยทำอะไรดีๆให้ครอบครัว" ตอนนี้เรารู้ซึ้งเลย ถึงจิตใจของคนเราว่ามันแย่แค่ไหน คนเป็นวัณโรค ถึงรักษาหายแต่ก็อาจมีโรคแทรกซ้อนที่ทำให้ตายได้ แต่แม่เราก็มั่วไปว่าป๊าเป็นเอดส์ เราก็บอกว่ามันไม่เหมือนกันๆ เขาก็ไม่เข้าใจ
เราเถียงกับแม่จนร้องไห้เลย เราบอกแม่ว่า ถ้าเป็นแม่หรือพ่อ หรือคนในครอบครัว ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วไม่มีใครเลี้ยง เราจะเลี้ยงเอง ต่อให้เรามีภาระจนเอาตัวไม่รอดก็เถอะ จะให้มานั่งดูอยู่ห่างๆ ยอมรับว่ามันเป็นกรรมใครกรรมมัน แล้วปล่อยให้คนที่เคยเลี้ยงเคยเห็นกันตั้งแต่จำความได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่แย่ขนาดนี้เหรอ เมียก็จะหาผัวใหม่ ญาติก็รังเกียจ แม่เมียก็รังเกียจ ทั้งๆที่สามารถอยู่ดูแลกันได้
เราคับข้องใจมาก จากคืนวันปีใหม่ที่คิดจะนอนค้างคืนกับแม่ เราเลยกลับห้องดีกว่า เราบอกป๊าว่า ถ้าไม่มีใครให้อยู่ให้มาอยู่กับเรา แต่ป๊าบอกว่าไม่เอา อยากกลับบ้าน จะนอนในรถซาเล้ง อะไรทำให้คนที่อายุห้าสิบ ดูแก่และบอบบางเหมือนคนอายุ70-80ได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่