คิดอยู่นาน ว่าจะมาเขียนในนี้ดีหรือไม่ แต่มันทนไม่ไหว รู้สึกเป็นโรคซึมเศร้า คิดทีไรน้ำตาก็ไหลทุกที
อยากได้ข้อคิดดีๆ จากเพื่อนๆค่ะ เริ่มจากพื้นฐานครอบครัวเรา ป๊าเราเป็นคนเจ้าชู้มาก มีภรรยาเยอะ
แม่เราเป็นคนต่างจังหวัด เข้ามา กทม ตั้งแต่อายุ 17 และเจอป๊าเรา เป็นบ้านเล็กค่ะ จนมีเรา
ป๊าเป็นคนส่งเสียเงินให้เรามาตลอด แม่ให้ยายมาจากต่างจังหวัด เพื่อมาเลี้ยงเรา จนแม่ตัดสินใจเลิกกับป๊า
มาแต่งงานใหม่กับพ่อเลี้ยงเรา ตอนนั้นเราอายุประมาณสามขวบ เราก็อยู่กับแม่ และโชคดีค่ะที่พ่อเลี้ยงเรานิสัยดี ไม่ได้มายุ่งกับเรามาก
แต่ฐานะเค้าก็ไม่ได้รวยอะไร เป็นข้าราชการธรรมดา แม่เรามีน้องอีกคน ซึ่งครอบครัวเค้าก็อบอุ่นดี
ปัญหามาเกิดเมื่อ เราเรียนจบมา ได้งานที่เงินเดือนไม่มั่นคง ได้เยอะบ้าง น้อยบ้าง ตอนเราเข้าไปทำใหม่ๆ ปีแรก
ได้ประมาณ 8หมื่น เราก็ใช้หนี้ของเรา ผ่อนรถ ผ่อนคอนโด ประมาณ 2หมื่นกว่า ให้แม่ทุกเดือน เดือนละหมื่นห้า
ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่มาพักหลังๆ งานเราไม่ได้เงินเยอะขนาดนั้นแล้ว ลดลงเหลือแค่ห้าหมื่น
ใช้หนี้ก็เกือบหมดแล้ว แต่แม่ยังทวงทุกเดือน ทวงเร็วกว่าหนี้อย่างอื่น ถ้าเราไม่ให้หมื่นห้าเท่าเดิม
เราก็จะโดนด่า บ่น และโกรธ ไม่คุยด้วย สุดท้ายเราก็ต้องให้ทุกที จนเรามีปัญหาการเงิน
เราพูดให้แม่ฟัง แม่ก็ไม่เคยฟัง ไม่เข้าใจ และบอกให้เราประหยัดได้
เหตุการณ์มาพีคสุดเมื่อเดือนที่แล้ว เราแต่งงาน แม่เราก็เรียกสินสอดจำนวนหนึ่งซึ่งมากอยู่
ทางบ้านแฟนก็ไม่ได้เป็นเศรษฐี แต่แม่แฟนก็ให้ เพราะคิดว่าจะยกให้ลูก แต่แล้วแม่เราก็เก็บไปทั้งหมด
เรารู้มาว่า แม่เอาไปดาวน์รถให้น้า ซื้อแหวนเพชรให้น้อง แต่แม่สั่งทุกคนห้ามบอกเราว่าแม่เป็นคนให้
ครั้งนึงเราเคยแอบอ่านไลน์แฟนที่เค้าคุยกะแม่เค้า เกี่ยวกับบ้านเรา ว่าแม่เราขายลูกกิน เราน้ำตาไหล
ไม่กล้าพูดให้ใครฟังและโกรธทั้งแม่แฟน และแม่ตัวเอง
ถ้าตัดเรื่องเงินออกไป แม่เราก็เป็นแม่ที่ดีค่ะ เราก็รักแม่เรานะ แต่ถ้าเป็นเรื่องเงิน ไม่ว่าเราจะมีปัญหาอะไร
แม่จะไม่เคยรับรู้ ไม่ช่วยเหลือ เดือนล่าสุดเราจะให้เงินเดือนแม่น้อย แม่ด่าว่าเราอยู่ดีๆ สะเออะไปแต่งงาน
เราก็งง บอกแม่ว่า งานมันไม่มีให้ทำ เงินน้อย เกี่ยวอะไรกับแต่งงาน ก็ทะเลาะกัน จนสุดท้ายก็ต้องให้
แม่บอกให้จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำไปสิ คือเราอึ้งมาก นี่เรามีชีวิตเพื่อเป็นเครื่องผลิตเงินหรือเปล่า
ช่วงนี้คิดอะไรหรือบางทีอยู่เฉยๆน้ำตาก็ไหลค่ะ ทำยังไงดีคะ
ขอแนวทางการคิดจากคุณแม่ทั้งหลายค่ะ ใครจะสอนก็ยินดีรับฟังนะคะ
คิดกับแม่ตัวเองแบบนี้ทำยังไงดี คิดเยอะจนน้ำตาไหลตลอดเวลา
อยากได้ข้อคิดดีๆ จากเพื่อนๆค่ะ เริ่มจากพื้นฐานครอบครัวเรา ป๊าเราเป็นคนเจ้าชู้มาก มีภรรยาเยอะ
แม่เราเป็นคนต่างจังหวัด เข้ามา กทม ตั้งแต่อายุ 17 และเจอป๊าเรา เป็นบ้านเล็กค่ะ จนมีเรา
ป๊าเป็นคนส่งเสียเงินให้เรามาตลอด แม่ให้ยายมาจากต่างจังหวัด เพื่อมาเลี้ยงเรา จนแม่ตัดสินใจเลิกกับป๊า
มาแต่งงานใหม่กับพ่อเลี้ยงเรา ตอนนั้นเราอายุประมาณสามขวบ เราก็อยู่กับแม่ และโชคดีค่ะที่พ่อเลี้ยงเรานิสัยดี ไม่ได้มายุ่งกับเรามาก
แต่ฐานะเค้าก็ไม่ได้รวยอะไร เป็นข้าราชการธรรมดา แม่เรามีน้องอีกคน ซึ่งครอบครัวเค้าก็อบอุ่นดี
ปัญหามาเกิดเมื่อ เราเรียนจบมา ได้งานที่เงินเดือนไม่มั่นคง ได้เยอะบ้าง น้อยบ้าง ตอนเราเข้าไปทำใหม่ๆ ปีแรก
ได้ประมาณ 8หมื่น เราก็ใช้หนี้ของเรา ผ่อนรถ ผ่อนคอนโด ประมาณ 2หมื่นกว่า ให้แม่ทุกเดือน เดือนละหมื่นห้า
ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่มาพักหลังๆ งานเราไม่ได้เงินเยอะขนาดนั้นแล้ว ลดลงเหลือแค่ห้าหมื่น
ใช้หนี้ก็เกือบหมดแล้ว แต่แม่ยังทวงทุกเดือน ทวงเร็วกว่าหนี้อย่างอื่น ถ้าเราไม่ให้หมื่นห้าเท่าเดิม
เราก็จะโดนด่า บ่น และโกรธ ไม่คุยด้วย สุดท้ายเราก็ต้องให้ทุกที จนเรามีปัญหาการเงิน
เราพูดให้แม่ฟัง แม่ก็ไม่เคยฟัง ไม่เข้าใจ และบอกให้เราประหยัดได้
เหตุการณ์มาพีคสุดเมื่อเดือนที่แล้ว เราแต่งงาน แม่เราก็เรียกสินสอดจำนวนหนึ่งซึ่งมากอยู่
ทางบ้านแฟนก็ไม่ได้เป็นเศรษฐี แต่แม่แฟนก็ให้ เพราะคิดว่าจะยกให้ลูก แต่แล้วแม่เราก็เก็บไปทั้งหมด
เรารู้มาว่า แม่เอาไปดาวน์รถให้น้า ซื้อแหวนเพชรให้น้อง แต่แม่สั่งทุกคนห้ามบอกเราว่าแม่เป็นคนให้
ครั้งนึงเราเคยแอบอ่านไลน์แฟนที่เค้าคุยกะแม่เค้า เกี่ยวกับบ้านเรา ว่าแม่เราขายลูกกิน เราน้ำตาไหล
ไม่กล้าพูดให้ใครฟังและโกรธทั้งแม่แฟน และแม่ตัวเอง
ถ้าตัดเรื่องเงินออกไป แม่เราก็เป็นแม่ที่ดีค่ะ เราก็รักแม่เรานะ แต่ถ้าเป็นเรื่องเงิน ไม่ว่าเราจะมีปัญหาอะไร
แม่จะไม่เคยรับรู้ ไม่ช่วยเหลือ เดือนล่าสุดเราจะให้เงินเดือนแม่น้อย แม่ด่าว่าเราอยู่ดีๆ สะเออะไปแต่งงาน
เราก็งง บอกแม่ว่า งานมันไม่มีให้ทำ เงินน้อย เกี่ยวอะไรกับแต่งงาน ก็ทะเลาะกัน จนสุดท้ายก็ต้องให้
แม่บอกให้จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำไปสิ คือเราอึ้งมาก นี่เรามีชีวิตเพื่อเป็นเครื่องผลิตเงินหรือเปล่า
ช่วงนี้คิดอะไรหรือบางทีอยู่เฉยๆน้ำตาก็ไหลค่ะ ทำยังไงดีคะ
ขอแนวทางการคิดจากคุณแม่ทั้งหลายค่ะ ใครจะสอนก็ยินดีรับฟังนะคะ