USS Des moines CA-134 เรือลาดตระเวณหนักที่มาพร้อมกับปืน 8 นิ้ว Auto-load รุ่นใหม

USS Des moines


        เรือลาดตระเวณหนัก USS Des moines นั้นถูกสั่งให้ต่อขึ้นในวันที่ 25 กันยายน 1943 โดยตัวเรือเป็น 1 ในเรือชั้น Des moines class และยังเป็นเรือลำแรกลำแรกที่ทำการต่อในชั้นนี้ เดิมทีสหรัฐได้วางแผนที่จะต่อเรือชั้นนี้ถึง 12 ลำ แต่เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จบซะก่อนเลยมีเพียงเรือในชั้นนี้เพียง 3 ลำเท่านั้นที่ต่อออกมาสำเร็จคือ USS Des moines, USS Salem และ USS Newport news และจริงๆเรือที่ต่อในชั้นนี้นั้นเกือบจะมีลำที่ 4 คือ USS Dallas แต่ตัวเรือสร้างได้เพียง 28% เท่านั้นก็ถูกยกเลิกไปในภายหลัง เช่นเดียวกับเรือลำอื่นๆในชั้นก็ถูกยกเลิกทั้งหมดเช่นกัน จุดเด่นของเรือชั้น Des moines class คือตัวเรือในชั้นนี้เป็นเรือลาดตระเวณหนักที่ใช้ปืนใหญ่เป็นอาวุธหลักเป็นชั้นสุดท้ายและยุคสุดท้ายของกองทัพเรือสหรัฐก่อนเข้าสู่ยุคการใช้ขีปนาวุธนำวิถีโจมตีเรือ ซึ่งให้ประสิทธิผลที่แม่นยำ มีความรุ่นแรง และอำนาจการทำลายล้างที่เหนือกว่าปืนใหญ่เรืออย่างมาก 

         โดยแบบของเรือชั้น  Des moines class นั้นเป็นการเอาแบบของเรือลาดตระเวณหนักชั้น Baltimore class มาทำการขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น หนักขึ้น เพิ่มพื้นที่ในการติดตั้งอาวุธ ทางด้านเรือ USS Des moines นั้นด้วยอานิสงค์ความที่มันเป็นเรือที่ต่อในชั้น Des moines class เช่นกัน ทำให้มันมาพร้อมกับปืนใหญ่ขนาด 8 นิ้ว 55 คาลิเบอร์รุ่น mk-16 รุ่นใหม่ล่าสุดของกองทัพเรือสหรัฐซึ่งเป็นปืนใหญ่แบบ auto-load ที่ให้อัตราการยิงสูงถึง 10 นัด/นาที ในทุกระยะยิง ด้วยอัตราการยิงที่ถือว่าสูงมากๆในสมัยนั้น มันสูงพอที่จะมีความสามารถในการใช้เป็นปืนต่อสู้อากาศยานได้อีกด้วย  ตัวเรือยังมาพร้อมกับปืนรองขนาด 5 นิ้ว 38 คาลิเบอร์ mk-12 dp แบบป้อมคู่จำนวน 6 ป้อม จำนวน 12 กระบอก ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 3 นิ้ว 50 คาลิเบอร์ mk-27(ภายหลังเปลี่ยนเป็นรุ่น mk-33) แบบแท่นคู่จำนวน 12 แท่นจำนวน 24 กระบอก และปืนต่อต้านอากาศยานแบบแท่นเดี่ยวขนาด 20 มิลลิเมตรอีก 20 กระบอก และยังเป็นเรือลำแรกๆที่ทางด้านท้ายเรือไม่ได้ออกแบบให้ใส่เครื่องบินทะเลและรางปล่อยเครื่องบินแต่อย่างใด แต่ท้ายเรือกลับถูกออกแบบให้เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์แบบ Sikorsky HO3S-1 เข้าไปแทน

        ตัวเรือถูกปล่อยลงจากน้ำเมื่อวันที่ 27 กันยายน 1946 โดยบริษัท Bethlehem Steel Company ที่อู่ต่อเรือ Fore River Shipyard ที่เมืองควินซี่ รัฐแมสซาซูเซต และได้เข้าระวางประจำการอย่างเป็นทางกางในกองทัพเรือสหรัฐในวันที่ 16 พฤศจิกายน 1948 โดยมีกัปตัน A.D.Chandler เป็นผู้บัญชาการเรือ เนื่องจากด้วยความที่ว่ามันเป็นเรือที่ต่อออกมาช่วงที่สงครามได้จบลงไปแล้วทำให้วีรกรรมเด่นๆของมันอาจจะมีไม่มากนัก และตัวเรือลำนี้เองก็ไม่ได้ต่างจากเรือลำอื่นๆในกองทัพเรืออสหรัฐที่ออกแบบมาเพื่อเตรียมพร้อมตลอดเวลาที่จะรักษาและคุ้มครองความต้องการ ผลประโยชน์ และนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ

-ออกเดินทางรอบโลก-

ตัวเรือขณะกำลังจอดทอดสมออยู่ที่เขต new port ในรัฐ Rhode island


        ตัวเรือได้ทำการลาดตระเวณอยู่แถวๆชายฝั่งเขต New port ในรัฐ Rhode island ซึ่งเป็นเสมือนบ้านเกิดของเรือลำนี้ ก่อนที่จะแล่นเดินทางไปแล่นเทียบท่าอยู่ที่เมืองนอร์โฟล์ก รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐ และได้แล่นไปทำการฝึกซ้อมอยู่แถบๆทะเลแคริบเบี้ยน ทางชายฝั่งทางตะวันออกของประเทศสหรัฐ ก่อนที่จะเดินทางไปยังแถบๆทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ในปี 1949 ในฐานะเรือธงของกองเรือที่ 6 ที่ได้เดินทางไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ในเดือน ธันวาคม 1950 ตัวเรือได้แล่นเดินทางไปทำการจอดเทียบท่าอยู่ที่เมือง Rijeka ประเทศยูโกสลาเวีย(หรือโครเอเชียในปัจจุบัน) ในปี 1952 ตัวเรือได้เป็นเรือ 1 ในเรือ 4 ลำแรก ที่ได้ทำการขนย้ายเหล่านักเรียนเตรียมทหารของกองทัพเรือสหรัฐ ข้ามไปยังท่าเรือทางตอนเหนือของยุโรป เพื่อทำการฝึกซ้อมกับเหล่ากองเรือในชาติของนาโต้อื่นๆ ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1958 ตัวเรือได้ทำการแล่นเดินทางไปเทียบท่าที่เมืองนอร์โฟล์ก รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐก่อนที่จะเดินทางไปทำการฝึกซ้อมอยู่ที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนอีกครั้ง ในฐานะเรือธงของกองเรือที่ 6 เพื่อเป็นการแสดงความประสบความสำเร็จของกองเรือที่ 6 แห่งกองทัพเรือสหรัฐ และแสดงแสนยานุภาพของกองทัพเรือสหรัฐให้เป็นที่สนใจแก่ประเทศต่างๆในแถบนั้น รวมทั้งประเทศในตอนของทวีปยุโรป ประเทศตะวันออกกลาง จนไปถึงประเทศทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา
เพื่อแสดงว่าแก่ประเทศต่างๆเหล่านี้ว่ากองทัพเรือสหรัฐมีความพร้อมอยู่เสมอ ที่จะปกป้องสันติภาพและผดุงความยุติธรรมของประเทศเหล่านี้จากลัทธิคอมมิวนิสต์อันโหดร้ายของโซเวียต ในการฝึกซ้อมของกองเรือสหรัฐในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนครั้งนี้

         ในช่วงปี 1956 ในเหตุการณ์วิกฤตความขัดแย้งจนได้ก่อเกิดเป็นสงครามระหว่างอียิปต์และอิสราเอล ตัวเรือก็ได้ทำการลาดตระเวณอยู่แถวๆนั้นทางชายฝั่งตะวันออกของมหาสมุทร แอตแลนติก และในปี 1958 ตัวเรือได้รับคำสั่ง ให้ลาดตระเวณแถวๆนอกชายฝั่งแถบๆประเทศเลบานอนในช่วงวิกฤตความขัดแย้งจนบานปลายก่อให้เกิดเป็นสงครามย่อมๆระหว่างประเทศเลบานอน กับอิสราเอลลูกรักสหรัฐ ในฐานะศูนย์สั่งการของกองทัพเรือสหรัฐทั้งหมดในแถบนั้น และในเดือน พฤษภาคม 1960 ตัวเรือได้แล่นเดินทางไปยังประเทศยูโกสลาเวียอีกครั้ง โดยได้ทำการจอดเทียบท่าอยู่ที่เมือง Dubrovnik ตัวเรือยังได้เดินทางไปเยี่ยมประเทศต่างๆมากมาย ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการแสดงถึงสัญลักษณ์ความเป็นมหาอำนาจของกองทัพเรือสหรัฐให้ประเทศต่างๆได้ประจักษ์กับตาตัวเอง

-จุดจบ-

USS Des moines ขณะที่ตอนนี้กำลังจอดรอรับ ชะตากรรมของตนเองที่ฟิลาเดเฟีย ในปี 2004


       ในวันที่ 6 กรกฎาคม 1961 ตัวเรือได้ถูกปลดประจำการและได้แล่นเดินทางและถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่ท่าเรือที่เซาท์บอสตั้น รัฐแมสซาซูเซต และต่อมาตัวเรือได้ถูกส่งต่อไปให้ทาง Naval Inactive Ship Maintenance Facility  หรือ NISMF ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งของกองทัพเรือสหรัฐไลให้เป็นคนทำการดูแลรักษาตัวเรือเพื่อสำรองไว้ใช้งานในอนาคต โดยตัวเรือได้แล่นเดินทางไปจอดเทียบท่าทิ้งไว้ที่ท่าเรือที่ฟิลาเดเฟีย ในปี 1981 ทางสภาครองเกรสของสหรัฐๆได้มีคำสั่งให้กองทัพเรือสหรัฐให้ทำการค้นหาเรือรบที่ถูกสำรองใช้งานที่ตอนนี้มีสภาพพอที่จะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย 600-Ship Navy ของโรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีของสหรัฐในช่วงทศวรรศที่ 1980 ในตอนนั้ย หลังจากงบประมาณของกองทัพเรือสหรัฐนั้นได้ถูกตัดบานมาเรื่อยๆตั้งแต่สงครามเวียดนามจบไปตั้งแต่ช่วงทศวรรศที่ 1970 เป็นต้นมา

         ความพยายามครั้งนี้คือหาเรือเก่าๆที่หมดสภาพแล้วที่พอจะเอามาปรับปรุงสภาพจนทำการใช้งานใหม่ได้ เพื่อนำเอากลับมาใช้อีกรอบเป็นการประหยัดงบประมาณของกองทัพเรือสหรัฐที่ต้องการจะขยายขนาดของกองเรือตนเองโดยที่ไม่จำเป็นต้องต่อเรือลำใหม่ให้เสียค่าใช้จ่ายมากนักเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ โดยกองทัพเรือสหรัฐได้ทำการตัดสินใจการสำรวจเรือเก่าๆแบบต่างๆที่ตอนนี้กำลังถูกสำรองใช้รวมถึงตัวเรือในชั้น des moines class ด้วยโดยได้มีความพยายามนำเอาเรือชั้นนี้กลับมาทำการปรับปรุงสภาพและใช้งานอีกครั้ง แต่เนื่องจากตัวเรือชั้นนี้ทั้งหมดนั้นล้วแล้วแต่มีรูปทรงที่เรียกว่าได้ล้าสมัยไปเสียแล้วสำหรับในยุคนั้น มันไม่มีความสามารถในการดัดแปลงเพื่อติดตั้งอาวุธสมัยใหม่เพิ่มเติมได้ไม่ว่าจะเป็น ขีปนาวุธนำวิถีโจมตีภาคพื้นดินแบบโทมาฮอว์ก ขีปนาวุธนำวิถีโจมตีเรือแบบฮาร์พูน เรดาร์แบบต่างๆและระบบทำการสื่อสารรุ่นใหม่ๆ รวมทั้งอาวุธปืนกลขนาด 20 มิลลิเมตร ต่อต้านขีปนาวุธโจมตีเรือแบบระยะประชิดแบบฟาลังค์  และค่าใช้จ่ายในการปรับสภาพเรือที่เรือชั้นนี้ที่เรียกว่าบรมโคตรแพงเกือบพอๆกับการปรับสภาพของเรือประจัญชานชั้น Iowa class แต่ประสิทธิภาพของมันโดยรวมกลับห่วยและไม่สามารถเทียบชั้นกับ Iowa class ได้

         ทำให้สุดท้ายกองทัพเรือสหรัฐนั้นต้องยกเลิกความพยายามในการเอาเรือชั้นนี้มาปรับปรุงสภาพและนำกลับมาใช้ ทำให้สุดท้ายเรือชั้นนี้ทั้งหมดก็ยังคงถูกเก็บสำรองไว้ใช้ดังเดิมไม่ได้ถูกนำมาปรับสภาพใช้ใหม่แต่อย่างใด โดยตัวเรือ des moines ซึ่งเป็นเรือในชั้น des moines class นั้นได้ถูกสำรองยาวตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 1991 จนไปถึงเดือน สิงหาคม 1993 หลังจากนั้นได้เริ่มมีการพยายามเอาตัวเรือไปดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่เมืองมิลเวากี้ รัฐวิสคอนซิน แต่สุดท้ายล้มเหลว เนื่องจากเรือที่อยู่ในชั้นเดียวกันอย่าง USS Salem ได้ถูกดัดแปลงไปเป็นพิพิธภัณฑ์ก่อนหน้านี้แล้วที่เมืองควินซี่ รัฐแมสซาซูเซต ทำให้ตัวเรือสุดท้ายได้ถูกขายให้แก่เอกชนในปี 2005 และได้เดินทางไปที่เมืองบราวส์วิล รัฐเทกซัส ก่อนที่จะถูกทำการแยกชิ้นส่วนในวันที่ 16 สิงหาคม 2007  เป็นการปิดฉากเรือลำนี้ไปในที่สุด
แบบของเรือชั้นนี้ ในภาพเป็น USS Salem


ข้อมูลโดยรวม
อาวุธ : ปืนใหญ่ขนาด 8 นิ้ว 3 ป้อม ป้อมละ 3 กระบอก
         : ปืนรองขนาด 5 นิ้ว ขนาด 6 ป้อม ป้อมละ 2 กระบอก
         : ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 3 นิ้ว จำนวน 12 แท่น แท่นละ 2 กระบอก
         : ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 20 มิลลิเมตรแท่นเดี่ยว จำนวน 24 กระบอก
ระวางขับน้ำ 17000 ตัน
ความเร็วสูงสุด 33 น็อต
ลูกเรือ 1799 คน

อ้างอิง
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Des_Moines-class_cruiser
https://en.m.wikipedia.org/wiki/USS_Des_Moines_(CA-134)
https://en.m.wikipedia.org/wiki/8"/55_caliber_gun

ถูกใจและโหวตกระทู้ จขกท.จะเป็นการให้กำลังใจ จขกท.อย่างดีครับ เม่าแพนด้าเม่าแพนด้า

กระทู้เก่าๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่