สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
-เติมน้ำมัน-
หลังจากภารกิจปลิดชีพเรือประจัญบานบิสมาร์คจนจมสู่ก้นทะเลได้เสร็จสิ้น เนื่องจากตัวเรือและกองเรืออังกฤษเกือบทั้งหมดน้ำมันใกล้หมด ทั้งหมดจึงต้องแล่นเดินทางกลับไปที่ท่าเรือที่ Portsmouth เพื่อทำการเติมน้ำมัน แต่ในระหว่างที่กองเรือกำลังแล่นเดินทางกลับท่าเรือที่ Portsmouth กองทัพอากาศเยอรมันก็ได้ทำการโจมตีพอดี ในการโจมตีของกองทัพอากาศเยอรมันครั้งนี้โชคดีที่เรือส่วนใหญ่ของกองเรืออังกฤษที่ส่วนใหญ่แทบไม่เป็นอะไรจากการโจมตีครั้งนี้ มีแต่เรือพิฆาต HMS Mashoana ที่โดนระเบิดจากเครื่องบินของกองทัพเยอรมันจนได้รับความเสียหายและจมในที่สุด
หลังจากนั้นตัวเรือได้แล่นไปที่อู่ South Boston Navy Yard ที่เมืองบอสตั้น มลรัฐแมตซาซูเซต ประเทศสหรัฐเพื่อทำการซ่อมแซมและติดตั้งอาวุธ แท่นยิงจรวดบนป้อมเรือหลักถูกถอดออกเนื่องจากมันไร้ความเสถียร ไร้ประสิทธิภาพ และมันสร้างอันตรายแก่ลูกเรือ และถูกแทนที่ด้วยปืนต่อสู้อากาศยานแบบใหม่อย่าง QF 2 pounder naval gun ขนาด 40 มิลลิเมตร รุทที่ทันสมัยและเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดกว่าแทน การปรับปรุงครั้งนี้เป็นนัยยะสำคัญทางการเมือง มันคือการประกาศไปในตัวว่าสหรัฐพร้อมที่เข้าข้างอังกฤษและช่วยเหลืออังกฤษทุกด้านในสงคราม แม้ว่าตอนนั้นตัวเองจะยังไม่เข้าร่วมสงครามและประกาศตัวเป็นกลางก็ตาม และมันยังเป็นการตอบโต้ของสหรัฐที่เริ่มมีท่าทีความขัดแย้งกับฝ่ายอักษะ อันได้แก่เยอรมัน ญี่ปุ่น และอิตาลีที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ
ตัวเรือถึงแม้จะปรับปรุงเสร็จแล้วก็ยังคงจอดอยู่ที่นั่นซักพัก เพื่อเป็นการให้ลูกเรือได้สานสัมพันธ์กับทหารและพลเมืองของสหรัฐ ในแค้มของ Civilian Conservation Corps หรือ CCC ที่เป็นสถานที่ที่รวมตัวของพวกหนุ่มสาวชาวสหรัฐที่มีปัญหาชีวิตต่างๆ ไม่ว่าจะโสด ไม่มีงานทำ มีปัญหาครอบครัว และปัญหาต่างๆอีกมากมาย เพื่อจุดประสงค์ในการช่วยหางานและเป็นที่ปรึกษาในการช่วยแก้ไขปัญหาและหาทางออกให้แก่พวกเขาเหล่านั้น
ตัวเรือหลังจากปรับปรุงสังเกตว่าแท่นยิงจรวดบนป้อมหลักได้ถูกถอดออกแล้วแทนที่ด้วยป้อมปืนต่อต้านอากาศยาน
-กองเรือ Force h-
ในเดือนกันยายน 1941 ตัวเรือได้เดินทางออกจากสหรัฐไปเข้าร่วมกับกองเรือ force h ที่ gibralta เพื่อคุ้มกันขบวนเรือสินค้าที่เดินทางไปยัง malta จากกองเรืออิตาลีที่กำลังป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆนั้น ก่อนที่จะเดินทางไปประจำการอยู่ที่ประเทศไอซ์แลนด์ในเดือน พฤศจิกายน 1941 เพื่อซ่อมแซมตัวเรือและทำการติดอาวุธที่นั่น หลังจากปรับปรุงตัวเรือเสร็จ ตัวเรือก็ได้กลับมาเข้าร่วมภารกิตกับกองเรือ force h ในการคุ้มกันขบวนเรือสินค้าที่เดินทางไปที่ malta อีกครั้ง ในเดือน พฤษภาคม 1942 และหลังจากนั้นตัวเรือก็ได้มีส่วนร่วมในยุทธการอีกมายมาก ไม่ว่าจะเป็น operation torch โดยระดมยิงปืนใหญ่สนับสนุนแก่กองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรในการตีโต้ฝ่ายอักษะในแอฟริกาเหนือ และยังได้ระดมยิงชายฝั่งในสนับสนุนการยกพลขึ้นบกที่ ซิชิลี และ โซเลโน่ ประเทศอิตาลี ในเดือนตุลาคม 1943 ก่อนที่อิตาลีจะลงนาม ตั้งโต๊ะเจรจาขอยอมแพ้และเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 3 กันยายน 1943
หลังจากจบภารกิจตัวเรือได้แล่นเดินทางกลับไปยังอังกฤษ และได้ทำการสนับสนุนระดมยิงชายฝั่งที่เมืองนอร์มังนี ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเป็นการสนับสนุนและทำลายเครื่องกีดขวาง กับระเบิด ป้อมปืนและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่นั่น เพื่อเป็นเคลียร์ทางก่อนที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะยกพลขึ้นบกที่นั่น ในเดือนมิถุนายน 1944 โดยเรือได้รับหน้าที่ให้ทำการระดมยิงที่หาดซอร์ด ที่กองกำลังอังกฤษจะยกพลขึ้นบกที่นั่น ตัวเรือระดมยิงเข้าไปลึกในหาดในระยะกว่า 35 กิโลเมตรเป็นเวลากว่า 30 ชั่วโมง เพื่อทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนหาดและลึกเข้าไปในตัวหาด โดยยิงทำลายสะพานทุกแห่งเพื่อไม่ให้กองทัพรถถังแพนเซอร์ของเยอรมันใช้ทำการข้ามได้ และยังได้ระดมยิงสิ่งปลูกสร้างทางทหารของเยอรมันทั้งหมดบนเกาะ alderney และเมือง caen ประเทศฝรั่งเศสจนราบเป็นหน้ากลอง เพื่อสนับสนุนการบุกแก่เหล่าทหารราบของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร
-อุบัติเหตุ-
ในวันที่ 7 มิถุนายน 1944 ตัวเรือดันวิ่งแล่นเข้าไปชนกับเรือประจัญบาน HMS Nelson และเรือยกพลขึ้นบก Lct 427 ในอุบัติเหตุครั้งนี้ เรือ Lct 427 เสียหนักจนจมลงไปสู่ก้นทะเลในที่สุด พร้อมกับลูกเรืออีก 13 ชีวิต ส่วน Rodney และ HMS Nelson ไม่ได้รับความเสียหายมากนักในการชนครั้งนี้
ในเดือนกันยายน 1944 ตัวเรือได้รับภารกิจคุ้มกันเรือกองเรือสินค้าในทะเลเหนือที่เดินทางไปยังเมืองท่า Murmansk ประเทศรัสเซีย ก่อนที่ตัวเรือจะแล่นเดินทางกลับท่าเรือที่ scapa flow ประเทศอังกฤษในเดือน ตุลาคม 1944 ในฐานะเรือธงและประจำการอยู่ที่นั่นจนสงครามได้จบลง
ซากเรือ Lct 427 ที่จมจากอุบัติเหตุจากการชนกับเรือ Rodney และ Nelson
-สุดท้าย-
ตลอดระยะเวลาของตัวเรือที่ได้รับใช้ชาติด้วยความซื่อสัตว์และกล้าหาญแก่ประเทศบ้านเกิดของตัวเองเป็นระยะเวลาเกือบๆ 20 ปี ตัวเรือได้เดินทางเป็นระยะทางกว่า 289000 กิโลเมตร ตัวเรือนั้นตั้งแต่ปี 1942 เป็นต้นมา มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหากวนใจเรือมาตลอดมาคือเครื่องยนต์ของตัวเรือแทบไม่เคยได้รับการอัพเกรดและซ่อมแซมเลย เนื่องจากทางกองทัพเรืออังกฤษเองก็มองว่าเรือ Rodney นั้นเริ่มล้าสมัยและไม่มีความคุ้มค่าใดๆเลยที่จะปรับปรุง เมื่อเทียบกับเรือประจัญบาน HMS Nelson ที่ต่อในชั้นเดียวกันที่กลับถูกปรับปรุงและยืดอายุการใช้งาน และในท้ายที่สุดตัวเรือได้ถูกปลดประจำการ และถูกขายแก่เอกชน ก่อนที่จะทำการแยกชิ้นส่วนตัวเรือในวันที่ 26 มีนาคม 1948 เป็นการปิดฉากของเรือรบผู้รับใช้ชาติด้วยความซื่อสัตว์และกล้าหาญไปอย่างน่าเสียดายในท้ายที่สุด
รายละเอียดโดยรวม
อาวุธ : ปืนใหญ่ขนาด 16 นิ้ว 3 ป้อม ป้อมละ 3 กระบอก
: ปืนรองขนาด 6 นิ้ว 6 ป้อม ป้อมละ 2 กระบอก
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 4.7 นิ้ว 6 กระบอก
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 40 มิลลิเมตร 8 กระบอก
: ท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 24.5 นิ้ว 2 ท่อ
: เรดาร์เรือแบบ type 279
ความเร็วสูงสุด 23 น็อต
ระวางขับน้ำ 34000 ตัน
ลูกเรือ 1314 คน
อ้างอิง
http://www.bbc.com/news/uk-england-hampshire-14933341
https://en.m.wikipedia.org/wiki/HMS_Rodney_(29)
กดโหวตและกดถูกใจ กระทู้ จขกท.จะเป็นการให้กำลังใจ จขกท.อย่างดีครับ
กระทู้เก่าๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากภารกิจปลิดชีพเรือประจัญบานบิสมาร์คจนจมสู่ก้นทะเลได้เสร็จสิ้น เนื่องจากตัวเรือและกองเรืออังกฤษเกือบทั้งหมดน้ำมันใกล้หมด ทั้งหมดจึงต้องแล่นเดินทางกลับไปที่ท่าเรือที่ Portsmouth เพื่อทำการเติมน้ำมัน แต่ในระหว่างที่กองเรือกำลังแล่นเดินทางกลับท่าเรือที่ Portsmouth กองทัพอากาศเยอรมันก็ได้ทำการโจมตีพอดี ในการโจมตีของกองทัพอากาศเยอรมันครั้งนี้โชคดีที่เรือส่วนใหญ่ของกองเรืออังกฤษที่ส่วนใหญ่แทบไม่เป็นอะไรจากการโจมตีครั้งนี้ มีแต่เรือพิฆาต HMS Mashoana ที่โดนระเบิดจากเครื่องบินของกองทัพเยอรมันจนได้รับความเสียหายและจมในที่สุด
หลังจากนั้นตัวเรือได้แล่นไปที่อู่ South Boston Navy Yard ที่เมืองบอสตั้น มลรัฐแมตซาซูเซต ประเทศสหรัฐเพื่อทำการซ่อมแซมและติดตั้งอาวุธ แท่นยิงจรวดบนป้อมเรือหลักถูกถอดออกเนื่องจากมันไร้ความเสถียร ไร้ประสิทธิภาพ และมันสร้างอันตรายแก่ลูกเรือ และถูกแทนที่ด้วยปืนต่อสู้อากาศยานแบบใหม่อย่าง QF 2 pounder naval gun ขนาด 40 มิลลิเมตร รุทที่ทันสมัยและเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดกว่าแทน การปรับปรุงครั้งนี้เป็นนัยยะสำคัญทางการเมือง มันคือการประกาศไปในตัวว่าสหรัฐพร้อมที่เข้าข้างอังกฤษและช่วยเหลืออังกฤษทุกด้านในสงคราม แม้ว่าตอนนั้นตัวเองจะยังไม่เข้าร่วมสงครามและประกาศตัวเป็นกลางก็ตาม และมันยังเป็นการตอบโต้ของสหรัฐที่เริ่มมีท่าทีความขัดแย้งกับฝ่ายอักษะ อันได้แก่เยอรมัน ญี่ปุ่น และอิตาลีที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ
ตัวเรือถึงแม้จะปรับปรุงเสร็จแล้วก็ยังคงจอดอยู่ที่นั่นซักพัก เพื่อเป็นการให้ลูกเรือได้สานสัมพันธ์กับทหารและพลเมืองของสหรัฐ ในแค้มของ Civilian Conservation Corps หรือ CCC ที่เป็นสถานที่ที่รวมตัวของพวกหนุ่มสาวชาวสหรัฐที่มีปัญหาชีวิตต่างๆ ไม่ว่าจะโสด ไม่มีงานทำ มีปัญหาครอบครัว และปัญหาต่างๆอีกมากมาย เพื่อจุดประสงค์ในการช่วยหางานและเป็นที่ปรึกษาในการช่วยแก้ไขปัญหาและหาทางออกให้แก่พวกเขาเหล่านั้น
ตัวเรือหลังจากปรับปรุงสังเกตว่าแท่นยิงจรวดบนป้อมหลักได้ถูกถอดออกแล้วแทนที่ด้วยป้อมปืนต่อต้านอากาศยาน
-กองเรือ Force h-
ในเดือนกันยายน 1941 ตัวเรือได้เดินทางออกจากสหรัฐไปเข้าร่วมกับกองเรือ force h ที่ gibralta เพื่อคุ้มกันขบวนเรือสินค้าที่เดินทางไปยัง malta จากกองเรืออิตาลีที่กำลังป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆนั้น ก่อนที่จะเดินทางไปประจำการอยู่ที่ประเทศไอซ์แลนด์ในเดือน พฤศจิกายน 1941 เพื่อซ่อมแซมตัวเรือและทำการติดอาวุธที่นั่น หลังจากปรับปรุงตัวเรือเสร็จ ตัวเรือก็ได้กลับมาเข้าร่วมภารกิตกับกองเรือ force h ในการคุ้มกันขบวนเรือสินค้าที่เดินทางไปที่ malta อีกครั้ง ในเดือน พฤษภาคม 1942 และหลังจากนั้นตัวเรือก็ได้มีส่วนร่วมในยุทธการอีกมายมาก ไม่ว่าจะเป็น operation torch โดยระดมยิงปืนใหญ่สนับสนุนแก่กองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรในการตีโต้ฝ่ายอักษะในแอฟริกาเหนือ และยังได้ระดมยิงชายฝั่งในสนับสนุนการยกพลขึ้นบกที่ ซิชิลี และ โซเลโน่ ประเทศอิตาลี ในเดือนตุลาคม 1943 ก่อนที่อิตาลีจะลงนาม ตั้งโต๊ะเจรจาขอยอมแพ้และเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 3 กันยายน 1943
หลังจากจบภารกิจตัวเรือได้แล่นเดินทางกลับไปยังอังกฤษ และได้ทำการสนับสนุนระดมยิงชายฝั่งที่เมืองนอร์มังนี ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเป็นการสนับสนุนและทำลายเครื่องกีดขวาง กับระเบิด ป้อมปืนและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่นั่น เพื่อเป็นเคลียร์ทางก่อนที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะยกพลขึ้นบกที่นั่น ในเดือนมิถุนายน 1944 โดยเรือได้รับหน้าที่ให้ทำการระดมยิงที่หาดซอร์ด ที่กองกำลังอังกฤษจะยกพลขึ้นบกที่นั่น ตัวเรือระดมยิงเข้าไปลึกในหาดในระยะกว่า 35 กิโลเมตรเป็นเวลากว่า 30 ชั่วโมง เพื่อทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนหาดและลึกเข้าไปในตัวหาด โดยยิงทำลายสะพานทุกแห่งเพื่อไม่ให้กองทัพรถถังแพนเซอร์ของเยอรมันใช้ทำการข้ามได้ และยังได้ระดมยิงสิ่งปลูกสร้างทางทหารของเยอรมันทั้งหมดบนเกาะ alderney และเมือง caen ประเทศฝรั่งเศสจนราบเป็นหน้ากลอง เพื่อสนับสนุนการบุกแก่เหล่าทหารราบของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร
-อุบัติเหตุ-
ในวันที่ 7 มิถุนายน 1944 ตัวเรือดันวิ่งแล่นเข้าไปชนกับเรือประจัญบาน HMS Nelson และเรือยกพลขึ้นบก Lct 427 ในอุบัติเหตุครั้งนี้ เรือ Lct 427 เสียหนักจนจมลงไปสู่ก้นทะเลในที่สุด พร้อมกับลูกเรืออีก 13 ชีวิต ส่วน Rodney และ HMS Nelson ไม่ได้รับความเสียหายมากนักในการชนครั้งนี้
ในเดือนกันยายน 1944 ตัวเรือได้รับภารกิจคุ้มกันเรือกองเรือสินค้าในทะเลเหนือที่เดินทางไปยังเมืองท่า Murmansk ประเทศรัสเซีย ก่อนที่ตัวเรือจะแล่นเดินทางกลับท่าเรือที่ scapa flow ประเทศอังกฤษในเดือน ตุลาคม 1944 ในฐานะเรือธงและประจำการอยู่ที่นั่นจนสงครามได้จบลง
ซากเรือ Lct 427 ที่จมจากอุบัติเหตุจากการชนกับเรือ Rodney และ Nelson
-สุดท้าย-
ตลอดระยะเวลาของตัวเรือที่ได้รับใช้ชาติด้วยความซื่อสัตว์และกล้าหาญแก่ประเทศบ้านเกิดของตัวเองเป็นระยะเวลาเกือบๆ 20 ปี ตัวเรือได้เดินทางเป็นระยะทางกว่า 289000 กิโลเมตร ตัวเรือนั้นตั้งแต่ปี 1942 เป็นต้นมา มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหากวนใจเรือมาตลอดมาคือเครื่องยนต์ของตัวเรือแทบไม่เคยได้รับการอัพเกรดและซ่อมแซมเลย เนื่องจากทางกองทัพเรืออังกฤษเองก็มองว่าเรือ Rodney นั้นเริ่มล้าสมัยและไม่มีความคุ้มค่าใดๆเลยที่จะปรับปรุง เมื่อเทียบกับเรือประจัญบาน HMS Nelson ที่ต่อในชั้นเดียวกันที่กลับถูกปรับปรุงและยืดอายุการใช้งาน และในท้ายที่สุดตัวเรือได้ถูกปลดประจำการ และถูกขายแก่เอกชน ก่อนที่จะทำการแยกชิ้นส่วนตัวเรือในวันที่ 26 มีนาคม 1948 เป็นการปิดฉากของเรือรบผู้รับใช้ชาติด้วยความซื่อสัตว์และกล้าหาญไปอย่างน่าเสียดายในท้ายที่สุด
รายละเอียดโดยรวม
อาวุธ : ปืนใหญ่ขนาด 16 นิ้ว 3 ป้อม ป้อมละ 3 กระบอก
: ปืนรองขนาด 6 นิ้ว 6 ป้อม ป้อมละ 2 กระบอก
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 4.7 นิ้ว 6 กระบอก
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 40 มิลลิเมตร 8 กระบอก
: ท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 24.5 นิ้ว 2 ท่อ
: เรดาร์เรือแบบ type 279
ความเร็วสูงสุด 23 น็อต
ระวางขับน้ำ 34000 ตัน
ลูกเรือ 1314 คน
อ้างอิง
http://www.bbc.com/news/uk-england-hampshire-14933341
https://en.m.wikipedia.org/wiki/HMS_Rodney_(29)
กดโหวตและกดถูกใจ กระทู้ จขกท.จะเป็นการให้กำลังใจ จขกท.อย่างดีครับ
กระทู้เก่าๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
HMS Rodney 29 เรือประจัญบานแบบแรกของกองทัพเรืออังกฤษที่ทำการติดตั้งเรดาร์
HMS Rodney เป็นเรือประจัญบานในชั้น Nelson class battleship โดยเรือประจัญบานที่ต่อในชั้นนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ถูกตัดทอนและลดขนาดระวางขับน้ำลงมาจากเรือประจัญบานแบบ G3 battlecruiser ที่มีระวางขับน้ำถึง 52000 ตัน!! แต่เรือแบบ G3 นั้นยังเป็นเพียงแค่แบบแปลนเท่านั้น เพราะก่อนจะสร้างก็ดันมาติดสนธิสัญญาวอชิงตันซะก่อนในปี 1922 ที่ว่าด้วยการห้ามต่อเรือที่มีระวางขับน้ำเกิน 35000 ตัน
เพื่อให้คล้อยเป็นไปตามสนธิสัญญา กองทัพเรืออังกฤษจึงได้มีการเอาเรือ G3 battlecruiser มาย่อและตัดขนาดให้เหลือระวางขับน้ำเพียง 34000 ตัน เท่านั้น และได้ออกแบบตัวเรือใหม่ทั้งหมดจนเกิดออกมาเป็นเรือชั้น Nelson class battleship เรือ Rodney นั้นเป็น 1 ในเรือชั้น Nelson class ที่ต่อออกมาทั้งหมด 2 ลำคือ Nelson และ Rodney
การออกแบบเรือที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเอาป้อมหลักมาไว้ข้างหน้าทั้งหมด เพื่อลดน้ำหนักที่ถ่วงไปทางข้างหลังตัวเรือ เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วของเรือในการเดินทางไปข้างหน้า แต่ในภายหลังกลับพบว่าการออกแบบลักษณะนี้แทบมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยกับตัวเรือ แถมเกราะที่หนาของมันทำให้มันมีพื้นที่ที่จำกัด และยังทำให้ตัวเรือนั้นช้ามากถ้าเทียบกับเรือประจัญบานแบบอื่นๆ มันสามารถทำความเร็วได้สูงสุดเพียงแค่ 23 น็อตเท่านั้น โดยชื่อ Rodney นั้นเป็นการตั้งชื่อให้เกียรติแด่ Lord George Brydges Rodney แม่ทัพชาวอังกฤษ ผู้เก่งกล้าและยิ่งใหญ่ในสงครามปลดแอกเสรีภาพของสหรัฐจากอังกฤษ
ตัวเรือถูกวางกระดูกงูพร้อมๆกับเรือแบบ Nelson ในวันที่ 28 ธันวาคม 1922 ก่อนจะปล่อยลงน้ำในวันที่ 17 ธันวาคม 1925 โดยมีสมเด็จเจ้าหญิง แมรี่ แห่งแฮร์วูด ได้ทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำ โดยเอาขวดไวร์แดงฟาดตัวเรือจนขวดแตก 3 ขวดก่อนปล่อยเรือลงน้ำในที่สุด หลังจากปล่อยเรือลงน้ำก็ได้มีการเอาเรือไปทดสอบทางทะเล ก่อนที่เรือจะเข้าระวางประจำการอย่างเป็นทางการในเดือน พฤศจิกายน 1927 หรือ 3 เดือนหลังจาก Nelson เรือประจัญบานผู้เป็นพี่เข้าประจำการ และเรือทั้ง 2 ลำยังเป็นเรือเพียงชั้นเดียวของอังกฤษในสงครามที่ติดตั้งปืนใหญ่ที่มีขนาดถึง 16 นิ้ว
-ติดตั้งเรดาร์-
หลังจากเข้าประจำการตัวเรือได้ใช้เวลาเกือบทั้งหมดในลาดตระเวณแถวน่านน้ำแอตแลนติก ต่อมาในเดือนตุลาคม 1938 ตัวเรือได้รับการติดตั้งเรดาร์รุ่นต้นแบบ type 79y redar ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่กองทัพเรืออังกฤษมีการเอาเรดาร์มาติดตั้งบนเรือรบ และตัวเรือก็ได้สิทธิ์นั้นไป
-สงครามโลกครั้งที่ 2-
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวเรือได้รับภารกิจให้ออกตามล่าเรือประจัญบานเยอรมัน Scharnhorst และ Gneisenau ที่กำลังปั่นป่วนและทำลายขบวนกองเรือสินค้าของอังกฤษในทะเลเหนือ แต่ระหว่างออกตามล่าทุกอย่างก็ต้องกยุดชะงัก เพราะระบบหางเสือของเรือดันมีปัญหา ทำให้ตัวเรือต้องแล่นกลับไปที่เมืองท่าที่ liverpool เพื่อพาลูกเรือไปซ้อมเตะบอลกับทีมหงส์แดง(ไม่ใช่ละ) เพื่อไปซ่อมระบบหางเสือที่นั่น จนกระทั่งวันที่ 31 ธันวาคม 1939 ท่าเรือที่ liverpool ถูกโจมตีโดยกองทัพอากาศของเยอรมัน ที่มีฐานบินอยู่ที่เมือง karmoy ประเทศนอร์เวย์
ในการโจมตีครั้งนี้ตัวเรือได้โดนระเบิดขนาด 500 กิโลกรัมจากเครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมัน วิ่งเจาะทะลุป่องควันในส่วนด้านบนของไปถึงห้องเก็บกระสุนก่อนที่จะทะลุออกด้านข้างตัวเรือจนได้รับเสียหายแต่โชคดีที่ระเบิดลูกนั้นด้าน
ในวันที่ 13 กันยายน 1940 ตัวเรือได้แล่นเดินทางไปซ่อมแซมความเสียหายและประจำการอยู่ที่ท่าเรือที่ scapa flow ที่นั่นตัวเรือได้รับการติดตั้งเรดาร์รุ่นใหม่ เรดาร์ตัวต้นแบบ type 79y ถูกถอดออกและได้ทำการติดตั้ง type 279 ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าแทน แถมยังติดแท่นยิงจรวดสู้อากาศยาน(แบบไม่นำวิถี) ซึ่งถือว่าเป็นเรือรบแบบแรกๆของโลกที่มีการติดตั้งแท่นยิงจรวด และเรือได้แล่นเดินทางต่อไปที่ท่าเรือที่ rosyth ตรงช่องแคบอังกฤษเพื่อเตรียมรับมือการบุกของเรือเยอรมันที่จะบุกผ่านช่องแคบ ใน operation sea lion แต่สุดท้ายการบุกของกองเรือเยอรมันนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ต่อมาตัวเรือได้รับหน้าที่ให้ไปคุ้มกันขบวนสินค้าจากเมืองท่าที่ halifax ประเทศแคนาดาที่กำลังเดินทางมายังประเทศอังกฤษ
ในวันที่ 31 มกราคม 1941 ตัวเรือได้รับหน้าที่ให้คุ้มกันขบวนเรือสินค้าที่มหาสมุทรแอนแลนติกเหนือ พร้อมกับตามล่าและทำลายเรือประจัญบานของเยอรมัน Scharnhorst และ Gneisenau คู่กรณีเก่าที่กำลังป้วนเปี้ยนอยู่แถวมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เพื่อก่อกวนและทำลายขบวนเรือสินค้าของอังกฤษที่แล่นเดินทางอยู่แถวๆนั้น จนกระทั่งวันที่ 16 มีนาคม 1941 ขนาดที่ตัวเรือกำลังคุ้มกันเรือสินค้าที่แล่นเดินทางไปมาแถวๆมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ก็ได้พบกับสัญญาณของเรือประจัญบานเของยอรมัน Scharnhorst Gneisenau จนได้ แต่เรือเลือกที่จะไม่ตามไปเพราะพบว่ากองเรือประจัญบานของเยอรมันได้แล่นหลบหนีไปแล้ว เพราะกลัวในพลังอำนาจของปืนใหญ่ขนาด 16 นิ้วบนตัวเรือ
ตัวเรือหลังจากติดตั้งเรดาร์รุ่นใหม่แบบที่ทันสมัยอย่าง type 279 และสังเกตบนป้อมปืนจะมีแท่นยิงจรวดต่อต้านอากาศยาน(aa rocket projectors)
-ตามล่า บิสมาร์ค-
ในเดือนพฤษภาคม 1941 เรือภายใต้การบังคับบัญชาของ Frederick Dalrymple-Hamilton และเรือพิฆาตอีก 4 ลำได้แก่ HMS Eskimo, HMS Somali, HMS Mashoana และ HMS Tarta ได้รับคำสั่งให้ไปแล่นเดินทางที่แคนาดา เพื่อคุ้มกันเรือสินค้า mv britannic ที่ทั้งขนส่งผู้โดยสารที่จะเดินทางไปที่นั่น และขนปืนต่อต้านอากาศยานและหม้อน้ำของเรือไปด้วยเพื่อเอาไปปรับปรุงตัวเรือและซ่อมแซมเรือที่ได้รับความเสียหายที่สหรัฐหลังจากปล่อยผู้โดยสารลงที่แคนาดาเสร็จ และหลังจากนั้นก็จะไปทัวที่นั่นซักพักเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ก่อนจะเดินทางไปที่แคนาอีกครั้งเพื่อไปรับทหารที่นั่นก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศอังกฤษ
แต่ทุกอย่างก็ต้องยกเลิกในวันที่ 24 พฤษภาคม 1941 ตัวเรือและเรือพิฆาตอีก 3 ลำคือ HMS Somali, HMS Mashoana และ HMS Tarta ได้ถูกยกเลิกภารกิจที่กำลังเดินทางไปกับเรือ mv britannia และได้รับภารกิจใหม่ให้ตามล่าค้นหาและทำลายเรือประจัญบานบิสมาร์ค ที่พึ่งจมเรือผู้เปรียบสเมือนความภาคภูมิใจของอังกฤษอย่าง HMS Hood ไปหมาดๆ จากข่าวกรองจากเรือประจัญบานของอังกฤษ HMS Malaya ที่ตอนนี้กำลังจอดซ่อมอยู่ที่เมืองท่าที่ new york สหรัฐอเมริกานั้นได้คาดการว่าตอนนี้เรือประจัญบานบิสมาร์คผู้ฉาวโฉ่ของเยอรมัน กำลังแล่นเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมือง Brest ประเทศฝรั่งเศส ทำให้ตัวเรือ Rodney และเรือประจัญบาน HMS King george v ที่ตอนนี้กำลังค้นหาเรือประจัญบานบิสมาร์ค ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก ได้แล่นมาสมทบกันในวันที่ 26 พฤษภาคม 1941 ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางตะวันออกหมายที่จะแล่นไปตัดหน้าเรือประจัญบานบิสมาร์คที่กำลังเดินทางไปยังเมือง brest ประเทศฝรั่งเศสและปลิดชีพเรือรบผู้ฉาวโฉ่ลำนี้ซะ ต่อมาในขณะที่กำลังแล่นเดินทางไปหาบิสมาร์ค กองเรืออังกฤษที่มีเรือประจัญบาน HMS King george v เป็นเรือนำไปได้ตัดสินใจส่งเรือพิฆาต 3 ลำในกองเรือตนกลับประเทศอังกฤษไปเนื่องจากเรือทั้ง 3 ลำนั้นน้ำมันใกล้หมดแล้ว
ในช้าววันถัดมาในวันที่ 27 พฤษภาคม 1941 เรือ Rodney และเรือลาดตระเวณหนัก HMS Norfolk และ HMS Dorsetshire ที่แล่นตามเรือประจัญบาน HMS King george v มาติดๆ ได้เจอกับเรือประจัญบานบิสมาร์ค และได้เข้าปะทะกับเรือบิสมาร์คผู้ฉาวโฉ่ทันที ตอนนี้บิสมาร์คพึ่งโดนเครื่องบินบรรทุกตอร์ปิโดปีก 2 ชั้นแบบ swordfish ที่ปล่อยจากเรือบรรทุกเครื่องบินของอังกฤษ HMS Ark royal ยิงตอร์ปิโดเข้าใส่จนหางเสือเรือนั้นเสียหายไปเมื่อวันก่อน และตอนนี้บิสมาร์คก็กำลังจะโดนฝูงเรือรบอังกฤษผู้โกรธแค้นจากการที่ตนเองจมเรือ HMS Hood รุมสหบาทาเช่นกัน
-รุมสกรัมบิสมาร์ค-
ไม่รอช้าการรุมสกรัมบิสมาร์คก็เริ่มขึ้น หลังจากได้เริ่มการรุมสกรัมบิสมาร์คผู้ไร้ทางสู้ไปซักพัก Rodney ไม่รอช้า ตัวเรือได้เริ่มแล่นเข้าไปใกล้ๆบิสมาร์ค เมื่อเข้าได้ระยะที่เหมาะสมในระยะ 2.7 กิโลเมตรห่างจากตัวเรือบิสมาร์ค ตัวเรือก็เริ่มซัดปืนใหญ่ทุกกระบอกที่ตนเองมีทั้งหมดของตนเองอย่างบ้าคลั่งประดาหน้าใส่บิสมาร์คแทบจะทันที ตัวเรือได้ซัลโวกระสุนไปกว่า 340 นัดจากป้อมปืนหลักขนาด 16 และอีก 716 นัดจากป้อมปืนรองขนาด 6 นิ้ว มีกระสุนนัดหนึ่งที่ยิงจากตัวเรือวิ่งทะลุผ่านหน้าหอเรือก่อนที่จะไประเบิดตรงป้อมปืนหลักที่ 2 ของบิสมาร์คจนเสียหายยับเยิน กระสุนแทบทุกนัดที่ยิงจากเรือนั้นเข้าเป้า และไม่ต่างจากกองเรืออังกฤษลำอื่นๆ ตอนนี้บิสมาร์คที่กำลังอยู่ในสภาพรอความตาย ได้พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากกองรืออังกฤษที่กำลังโกรธแค้นและบ้าคลั่ง
เท่านั้นยังไม่พอตัวเรือยังได้ซัลโวตอปิโดขนาด 24.5 นิ้วทั้งหมด 12 ลูกโดยทำการยิงดักหน้าตัวเรือ ทุกลูกพลาดเป้า แต่มีลูกหนึ่งวิ่งเข้าไประเบิดกลางตัวเรือ แม้ว่าบิสมาร์คจะไม่จมจากตอร์ปิโดลูกนี้ แต่นั้นก็เพียงพอทำให้ตัวเรือ Rodney เป็นเรือประจัญบานลำแรกในประวัติศาสตร์และลำเดียวในโลกที่ยิงตอร์ปิโดใส่เรือประจัญบานด้วยกันสำเร็จ
ตอนนี้ Rodney และ HMS King george v และเรือรบทุกลำของอังกฤษ ได้ระดมยิงอาวุธทุกอย่างที่ตนเองมี จนบิสมาร์คหมดสภาพในการรบ ก่อนที่ HMS Dorsetshire จะมาปิดงานโดยการซัลโวตอร์ปิโดทั้งหมดใส่บิสมาร์คจนจมลงสู่ทะเลในที่สุด ถึงแม้ในภายหลังจะมีการเปิดเผยว่าสาเหตุที่บิสมาร์คจมเพราะผู้การเรือบิสมาร์ค สั่งให้ปล่อยน้ำเข้าตัวเรือก็ตามแต่ความเสียหายทั้งหมดจากกองเรืออังกฤษผู้โกรธแค้นก็เพียงพอที่ทำให้บิสมาร์คตัดสินใจปลิดชีพตัวเองไปในที่สุด
ตัวเรือในขณะกำลังระดมยิงอย่างบ้าคลั่งแบบไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด ควันดำๆนั่นคือเรือบิสมาร์คที่ตอนนี้กำลังกลายเป็นทะเลเพลิง