คำว่า ธาตุ นั้นในทางโลกจะหมายถึง สิ่งที่ย่อยเล็กที่สุด แต่ในทางพุทธศาสนาจะหมายถึง สิ่งพื้นฐาน หรือ สิ่งที่มีอยู่จริง คือหมายถึงว่า จริงๆแล้วสิ่งทั้งหลาย (คือ วัตถุสิ่งของ คน สัตว์ และพืช ทั้งหลาย) ที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ มันไม่มีตัวตนของมันจริงๆเลย เพราะว่าสิ่งที่มีอยู่จริงๆก็คือธาตุ ที่ธรรมชาติได้นำเอาธาตุมาปรุงแต่งให้เกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นมา โดยธาตุที่เป็นพื้นฐานให้เกิดสิ่งทั้งหลายทั้งที่เป็นสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตนั้น ก็มีอยู่ ๖ ธาตุ อันได้แก่
๑. ธาตุดิน คือคุณสมบัติที่ค่อนแข็ง หรือของแข็ง
๒. ธาตุน้ำ คือคุณสมบัติที่เหลว เอิบอาบ เกาะกุมตัวเอง หรือของเหลว
๓. ธาตุไฟ คือคุณสมบัติที่ทำลาย หรือความร้อน
๔. ธาตุลม คือคุณสมบัติที่บางเบา แผ่กระจาย หรือก๊าซ
๕. ธาตุว่าง (อากาศธาตุ) คือคุณสมบัติที่ว่าง ไม่มีอะไร หรือสูญญากาศ
๖. ธาตุวิญญาณ (วิญญาณธาตุ) คือคุณสมบัติที่รับรู้สิ่งต่างๆได้ หรือวิญญาณ
ธาตุนี้สรุปได้ ๒ อย่าง คือ รูปธาตุ กับ นามธาตุ โดยรูปธาตุก็คือสิ่งที่เป็นพวกวัตถุและสิ่งของรวมทั้งพลังงานทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก ก็เกิดขึ้นมาจากการที่ธาตุ ๔ มาร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น แล้วก็อาศัยสูญญากาศตั้งอยู่ ถ้าไม่มีสุญญากาศมันก็จะไม่มีที่อยู่ (อากาศธาตุไม่จัดว่าเป็นรูปธาตุหรือนามธาตุ)
ส่วนนามธาตุก็หมายถึง ธาตุพิเศษที่ไม่มีรูปร่างให้ถูกต้องได้เหมือนวัตถุธาตุ อันได้แก่วิญญาณธาตุ (หรือการรับรู้) ซึ่งเป็นธาตุที่ต้องอาศัยรูปธาตุพิเศษ อันได้แก่ระบบประสาททั้ง ๖ ของ ร่างกายของคน สัตว์ และพืช ที่ยังไม่ตายเกิดขึ้นมา ซึ่งเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ทำให้มีการรับรู้ (วิญญาณ) เกิดขึ้นมาตามระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกาย อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อมารับรู้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพะ (สิ่งกระทบกาย) และ ธรรมารมณ์ (สิ่งกระทบใจ) ที่ตรงกัน ซึ่งวิญญาณนี้เองที่เป็นเหตุให้เกิดจิตใจของเราขึ้นมา และเกิดสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายขึ้นมาในโลก
ธาตุพื้นฐานโลก
๑. ธาตุดิน คือคุณสมบัติที่ค่อนแข็ง หรือของแข็ง
๒. ธาตุน้ำ คือคุณสมบัติที่เหลว เอิบอาบ เกาะกุมตัวเอง หรือของเหลว
๓. ธาตุไฟ คือคุณสมบัติที่ทำลาย หรือความร้อน
๔. ธาตุลม คือคุณสมบัติที่บางเบา แผ่กระจาย หรือก๊าซ
๕. ธาตุว่าง (อากาศธาตุ) คือคุณสมบัติที่ว่าง ไม่มีอะไร หรือสูญญากาศ
๖. ธาตุวิญญาณ (วิญญาณธาตุ) คือคุณสมบัติที่รับรู้สิ่งต่างๆได้ หรือวิญญาณ
ธาตุนี้สรุปได้ ๒ อย่าง คือ รูปธาตุ กับ นามธาตุ โดยรูปธาตุก็คือสิ่งที่เป็นพวกวัตถุและสิ่งของรวมทั้งพลังงานทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก ก็เกิดขึ้นมาจากการที่ธาตุ ๔ มาร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น แล้วก็อาศัยสูญญากาศตั้งอยู่ ถ้าไม่มีสุญญากาศมันก็จะไม่มีที่อยู่ (อากาศธาตุไม่จัดว่าเป็นรูปธาตุหรือนามธาตุ)
ส่วนนามธาตุก็หมายถึง ธาตุพิเศษที่ไม่มีรูปร่างให้ถูกต้องได้เหมือนวัตถุธาตุ อันได้แก่วิญญาณธาตุ (หรือการรับรู้) ซึ่งเป็นธาตุที่ต้องอาศัยรูปธาตุพิเศษ อันได้แก่ระบบประสาททั้ง ๖ ของ ร่างกายของคน สัตว์ และพืช ที่ยังไม่ตายเกิดขึ้นมา ซึ่งเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ทำให้มีการรับรู้ (วิญญาณ) เกิดขึ้นมาตามระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกาย อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อมารับรู้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพะ (สิ่งกระทบกาย) และ ธรรมารมณ์ (สิ่งกระทบใจ) ที่ตรงกัน ซึ่งวิญญาณนี้เองที่เป็นเหตุให้เกิดจิตใจของเราขึ้นมา และเกิดสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายขึ้นมาในโลก