"ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ (วิญฺญาณํ อนิทสฺสนํ) ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้. อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้. นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้. เพราะวิญญาณดับ (วิญฺญาณสฺส นิโรเธน) นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้."
-- เกวัฏฏสูตร --
อธิบายเพิ่มเติมดังนี้:
"ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ (วิญฺญาณํ อนิทสฺสนํ)"
คำว่า "ธรรมชาติที่รู้แจ้ง" นี้หมายถึงสภาวะของจิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส เป็นสภาวะที่เข้าถึงความจริงแท้ของสรรพสิ่ง ไม่มีใครสามารถชี้บ่งหรืออธิบายได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นประสบการณ์ที่ต้องรู้ด้วยตนเอง ไม่สามารถอธิบายด้วยภาษาหรือความคิดธรรมดาได้
สภาวะนี้เป็นเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา เป็นการรู้แจ้งที่พ้นไปจากการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 และความคิดปรุงแต่งทั้งปวง เป็นการรู้ที่ไม่มีผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ เป็นเอกภาพแห่งการรู้ที่ไม่แบ่งแยก
"ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง"
สภาวะนี้ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด เป็นความรู้ที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ว่างเปล่าจากการยึดมั่นถือมั่นใดๆ จึงเรียกว่า "แจ่มใส" คือปราศจากความขุ่นมัวของกิเลสและอวิชชาทั้งปวง เป็นความบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์
"ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้"
ในสภาวะของการรู้แจ้งนี้ ธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ดิน (ปฐวีธาตุ) น้ำ (อาโปธาตุ) ไฟ (เตโชธาตุ) และลม (วาโยธาตุ) ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสรรพสิ่งในโลกวัตถุ ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ เพราะในสภาวะนี้ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างรูปธรรมและนามธรรม ไม่มีการยึดติดในสิ่งใดๆ ว่าเป็นตัวตนหรือของตน
ธาตุทั้ง 4 นี้เป็นเพียงสมมติบัญญัติที่มนุษย์ใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางกายภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีแก่นสารที่คงทนถาวร การรู้แจ้งจึงเป็นการเห็นความจริงนี้อย่างแจ่มชัด
"อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้"
อุปาทายรูป หมายถึง รูปที่อาศัยธาตุทั้ง 4 เกิดขึ้น เช่น อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย หรือคุณสมบัติต่างๆ ที่เราใช้อธิบายสิ่งต่างๆ เช่น ความยาว ความสั้น ความละเอียด ความหยาบ ความงาม ความไม่งาม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมมติบัญญัติที่เกิดจากการเปรียบเทียบและการปรุงแต่งของจิต
ในสภาวะของการรู้แจ้ง การแบ่งแยกและตัดสินคุณค่าเหล่านี้ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะทุกสิ่งถูกมองเห็นตามความเป็นจริง ไม่ผ่านม่านแห่งอคติหรือการปรุงแต่งใดๆ
"นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้"
นามและรูป หมายถึง องค์ประกอบทั้งทางจิตใจ (นาม) และทางกายภาพ (รูป) ของสิ่งมีชีวิต ในสภาวะของการรู้แจ้ง การแบ่งแยกระหว่างจิตและกาย หรือระหว่างผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ ย่อมหมดไป เหลือเพียงความเป็นหนึ่งเดียวของการรู้ที่ไม่มีการแบ่งแยก
การดับของนามและรูปนี้ไม่ได้หมายถึงการสูญสลายในทางกายภาพ แต่หมายถึงการหมดสิ้นไปของการยึดมั่นถือมั่นในนามและรูปว่าเป็นตัวตนหรือของตน เป็นการเห็นแจ้งว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีแก่นสารที่คงทนถาวร
"เพราะวิญญาณดับ (วิญฺญาณสฺส นิโรเธน) นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้"
วิญญาณในที่นี้หมายถึงความรู้สึกนึกคิดที่ยังมีการแบ่งแยกระหว่างผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อวิญญาณในลักษณะนี้ดับลง กล่าวคือ เมื่อการรับรู้แบบแบ่งแยกหมดไป ก็จะเกิดการรู้แจ้งที่เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีการแบ่งแยก
ในสภาวะนี้ นามและรูปซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ก็จะดับไปด้วย เพราะไม่มีผู้รู้ที่แยกออกมาเพื่อรับรู้สิ่งเหล่านี้อีกต่อไป เหลือเพียงความรู้แจ้งที่เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง
สรุปแล้ว ข้อความนี้กล่าวถึงสภาวะของนิพพาน หรือการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการรู้แจ้งที่พ้นไปจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ เป็นการเห็นความจริงของสรรพสิ่งว่าไม่มีแก่นสารที่คงทนถาวร เป็นเพียงกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีตัวตน
การเข้าถึงสภาวะนี้เป็นเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา เป็นการพ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวง เพราะไม่มีการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ อีกต่อไป เป็นอิสรภาพที่แท้จริงของจิตใจ
อย่างไรก็ตาม การเข้าใจสภาวะนี้ด้วยเหตุผลหรือการคิดวิเคราะห์เพียงอย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นประสบการณ์ที่อยู่เหนือภาษาและความคิด ผู้ที่ต้องการเข้าถึงสภาวะนี้จำเป็นต้องปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เช่น การรักษาศีล การเจริญสมาธิ และการเจริญปัญญา เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และเกิดปัญญาญาณที่สามารถเห็นแจ้งในสัจธรรมได้
การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสภาวะนี้ไม่ใช่การหนีออกจากโลก แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับโลกอย่างมีปัญญา เห็นความจริงของสรรพสิ่งตามที่มันเป็น ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ทุกข์ไปกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่สามารถดำเนินชีวิตด้วยความสงบสุข มีเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ และทำประโยชน์ให้แก่โลกได้อย่างแท้จริง
ข้อความนี้จึงเป็นการชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม และเชิญชวนให้ผู้สนใจได้ศึกษาและปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสภาวะแห่งการรู้แจ้งนี้ด้วยตนเอง
by Claude ai
ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ (วิญฺญาณํ อนิทสฺสนํ) ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง
-- เกวัฏฏสูตร --
อธิบายเพิ่มเติมดังนี้:
"ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ (วิญฺญาณํ อนิทสฺสนํ)"
คำว่า "ธรรมชาติที่รู้แจ้ง" นี้หมายถึงสภาวะของจิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส เป็นสภาวะที่เข้าถึงความจริงแท้ของสรรพสิ่ง ไม่มีใครสามารถชี้บ่งหรืออธิบายได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นประสบการณ์ที่ต้องรู้ด้วยตนเอง ไม่สามารถอธิบายด้วยภาษาหรือความคิดธรรมดาได้
สภาวะนี้เป็นเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา เป็นการรู้แจ้งที่พ้นไปจากการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 และความคิดปรุงแต่งทั้งปวง เป็นการรู้ที่ไม่มีผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ เป็นเอกภาพแห่งการรู้ที่ไม่แบ่งแยก
"ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง"
สภาวะนี้ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด เป็นความรู้ที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ว่างเปล่าจากการยึดมั่นถือมั่นใดๆ จึงเรียกว่า "แจ่มใส" คือปราศจากความขุ่นมัวของกิเลสและอวิชชาทั้งปวง เป็นความบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์
"ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้"
ในสภาวะของการรู้แจ้งนี้ ธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ดิน (ปฐวีธาตุ) น้ำ (อาโปธาตุ) ไฟ (เตโชธาตุ) และลม (วาโยธาตุ) ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสรรพสิ่งในโลกวัตถุ ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ เพราะในสภาวะนี้ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างรูปธรรมและนามธรรม ไม่มีการยึดติดในสิ่งใดๆ ว่าเป็นตัวตนหรือของตน
ธาตุทั้ง 4 นี้เป็นเพียงสมมติบัญญัติที่มนุษย์ใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางกายภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีแก่นสารที่คงทนถาวร การรู้แจ้งจึงเป็นการเห็นความจริงนี้อย่างแจ่มชัด
"อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้"
อุปาทายรูป หมายถึง รูปที่อาศัยธาตุทั้ง 4 เกิดขึ้น เช่น อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย หรือคุณสมบัติต่างๆ ที่เราใช้อธิบายสิ่งต่างๆ เช่น ความยาว ความสั้น ความละเอียด ความหยาบ ความงาม ความไม่งาม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมมติบัญญัติที่เกิดจากการเปรียบเทียบและการปรุงแต่งของจิต
ในสภาวะของการรู้แจ้ง การแบ่งแยกและตัดสินคุณค่าเหล่านี้ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะทุกสิ่งถูกมองเห็นตามความเป็นจริง ไม่ผ่านม่านแห่งอคติหรือการปรุงแต่งใดๆ
"นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้"
นามและรูป หมายถึง องค์ประกอบทั้งทางจิตใจ (นาม) และทางกายภาพ (รูป) ของสิ่งมีชีวิต ในสภาวะของการรู้แจ้ง การแบ่งแยกระหว่างจิตและกาย หรือระหว่างผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ ย่อมหมดไป เหลือเพียงความเป็นหนึ่งเดียวของการรู้ที่ไม่มีการแบ่งแยก
การดับของนามและรูปนี้ไม่ได้หมายถึงการสูญสลายในทางกายภาพ แต่หมายถึงการหมดสิ้นไปของการยึดมั่นถือมั่นในนามและรูปว่าเป็นตัวตนหรือของตน เป็นการเห็นแจ้งว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีแก่นสารที่คงทนถาวร
"เพราะวิญญาณดับ (วิญฺญาณสฺส นิโรเธน) นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้"
วิญญาณในที่นี้หมายถึงความรู้สึกนึกคิดที่ยังมีการแบ่งแยกระหว่างผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อวิญญาณในลักษณะนี้ดับลง กล่าวคือ เมื่อการรับรู้แบบแบ่งแยกหมดไป ก็จะเกิดการรู้แจ้งที่เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีการแบ่งแยก
ในสภาวะนี้ นามและรูปซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ก็จะดับไปด้วย เพราะไม่มีผู้รู้ที่แยกออกมาเพื่อรับรู้สิ่งเหล่านี้อีกต่อไป เหลือเพียงความรู้แจ้งที่เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง
สรุปแล้ว ข้อความนี้กล่าวถึงสภาวะของนิพพาน หรือการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการรู้แจ้งที่พ้นไปจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ เป็นการเห็นความจริงของสรรพสิ่งว่าไม่มีแก่นสารที่คงทนถาวร เป็นเพียงกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีตัวตน
การเข้าถึงสภาวะนี้เป็นเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา เป็นการพ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวง เพราะไม่มีการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ อีกต่อไป เป็นอิสรภาพที่แท้จริงของจิตใจ
อย่างไรก็ตาม การเข้าใจสภาวะนี้ด้วยเหตุผลหรือการคิดวิเคราะห์เพียงอย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นประสบการณ์ที่อยู่เหนือภาษาและความคิด ผู้ที่ต้องการเข้าถึงสภาวะนี้จำเป็นต้องปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เช่น การรักษาศีล การเจริญสมาธิ และการเจริญปัญญา เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และเกิดปัญญาญาณที่สามารถเห็นแจ้งในสัจธรรมได้
การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสภาวะนี้ไม่ใช่การหนีออกจากโลก แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับโลกอย่างมีปัญญา เห็นความจริงของสรรพสิ่งตามที่มันเป็น ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ทุกข์ไปกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่สามารถดำเนินชีวิตด้วยความสงบสุข มีเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ และทำประโยชน์ให้แก่โลกได้อย่างแท้จริง
ข้อความนี้จึงเป็นการชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม และเชิญชวนให้ผู้สนใจได้ศึกษาและปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสภาวะแห่งการรู้แจ้งนี้ด้วยตนเอง
by Claude ai