จิตบรรลุนิพพาน (สมเด็จพระญาณสังวร)

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
https://pagoda.or.th/vajirananasamvara/2019-05-24-14-01-03-4.html

จิตบรรลุนิพพาน

            บัดนี้ จะแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อม
นมัสการพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์
เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

            พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติแสดงธรรมะ ในกายอันยาววาหนึ่ง มีสัญญา มีใจนี้เอง ไม่ได้ตรัสแสดง
บัญญัติธรรมะในที่อื่น ดังพระพุทธภาษิตที่ตรัสแก่โรหิตัสสะเทพบุตร ว่าเราบัญญัติโลก บัญญัติโลกสมุทัยเหตุให้
เกิดโลก โลกนิโรธ ความดับโลก โลกนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับโลก ในกายอันยาววาหนึ่ง มีสัญญา
มีใจนี้ และพระองค์ได้ทรงถึงที่สุดโลกแล้ว จึงทรงสิ้นทุกข์ด้วยประการทั้งปวง

            โดยที่โรหิตัสสะเทวะบุตรได้เกิดขึ้นในชาติภพคราวหนึ่ง เป็นผู้ที่มีฤทธิมาก สามารถเหาะไปได้รวดเร็วมาก 
จึงต้องการที่จะพบที่สุดโลกว่าอยู่ที่ไหน เพราะเมื่อยืนอยู่บนพื้นพิภพคือโลกนี้ ก็เห็นพื้นพิภพนี้กว้างใหญ่ไพศาล 
แต่ก็น่าจะมีที่สุด จึงได้เหาะไปอย่างรวดเร็ว เพื่อจะหาที่สุดของพื้นพิภพคือโลกนี้ แต่ก็หาไม่พบ ต้องสิ้นชีวิตเสียก่อน 
ฉะนั้นเมื่อมาเกิดเป็นเทพบุตร จึงได้มากราบทูลถามพระพุทธเจ้า ว่าได้ทรงพบที่สุดโลกแล้วหรือยัง และที่สุดโลกนั้น
อยู่ที่ไหน พระองค์จึงตรัสตอบว่าที่สุดโลกนั้นได้ทรงบรรลุถึงแล้ว แต่ว่าไม่อาจที่จะถึงด้วยการไปทางกายได้ ดังที่
โรหิตะเทพบุตรเมื่อครั้งเกิดเป็นผู้ที่มีฤทธิ์มากนั้นได้เหาะไปค้นหา

            และก็ได้ตรัสน้อมเข้ามาถึงโลกในภายใน ว่าได้ทรงบัญญัติโลกในภายใน ดังที่ได้แสดงแล้วนั้น คือภายในกาย
มีสัญญามีใจนี้เอง และก็ได้ทรงบัญญัติทั้งเหตุเกิดโลก ทั้งความดับโลก ทั้งทางปฏิบัติให้ถึงความดับโลก เพราะฉะนั้น
ได้ตรัสรู้ทั้ง ๔ นี้ และได้ทรงปฏิบัติถึงความดับโลกแล้ว เพราะฉะนั้น จึงได้ทรงถึงที่สุดโลก ถ้ายังปฏิบัติให้ถึงความดับโลก
มิได้ ก็ยังไม่ถึงที่สุดโลก ต้องเกิดต่อไป

            เพราะฉะนั้นโลกที่ทรงบัญญัติดั่งกล่าวนี้โดยตรง จึงเป็นขันธ์โลก โลกคือขันธ์ ที่ตรัสไว้เป็น ๕ รูปขันธ์กองรูป 
คือสิ่งที่แข้นแข็งอันมีอยู่ในกายนี้ สิ่งที่เอิบอาบเหลวไหลอันมีอยู่ในกายนี้ สิ่งที่อบอุ่นอันมีอยู่ในกายนี้ สิ่งที่พัดไหวอันมีอยู่
ในกายนี้ ก็คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อันรวมกันเข้าเป็นก้อนรูปกายอันนี้ ที่ทุกคนมีอยู่นี้เองเป็นรูปขันธ์ กองรูป

            เวทนาขันธ์กองเวทนาก็คือ ความรู้เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทางกายทางใจ ที่ทุกคนมีอยู่นี้เอง 
สัญญาขันธ์กองสัญญา คือความจำได้หมายรู้ จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ จำธรรมะคือเรื่องราวทางใจ ที่ใจ
คิดนึก ดำริ หมกมุ่นถึงทุกอย่าง ความจำได้หมายรู้นี้รวมเป็นสัญญาขันธ์กองสัญญา สังขารขันธ์กองสังขาร ก็คือความคิดปรุง 
หรือความปรุงคิด รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง และเรื่องราวที่ใจคิดนึกรู้ต่างๆ ปรุงคิดหรือคิดปรุง ดีบ้างไม่ดีบ้าง
 เป็นกลางๆ บ้าง รวมเข้าก็เป็นสังขารขันธ์กองสังขาร ซึ่งคำว่าสังขารในขันธ์ ๕ นี้หมายถึงความคิดปรุงหรือความปรุงคิด
ทางจิตใจ

            วิญญาณขันธ์กองวิญญาณ คือความรู้ทางตาในเมื่อตากับรูปประจวบกัน ที่เราเรียกว่าเห็น ความรู้ทางหูเมื่อหูกับ
เสียงประจวบกัน ที่เราเรียกว่าได้ยิน ความรู้ทางจมูกในเมื่อจมูกกับกลิ่นได้ประจวบกัน ที่เราเรียกว่าทราบกลิ่น หรือดม 
ความรู้ทางลิ้นในเมื่อลิ้นกับรสประจวบกัน ที่เราเรียกว่าลิ้มรส หรือทราบรส ความรู้ทางกายในเมื่อกายและสิ่งที่ถูกต้องกาย
มาประจวบกัน ที่เราเรียกว่าถูกต้อง หรือทราบสิ่งที่กายถูกต้อง

            ความรู้ในเมื่อมโนคือใจกับธรรมะคือเรื่องราวมาประจวบกัน ที่เราเรียกว่ารู้บ้างคิดบ้าง ก็รวมเป็นวิญญาณขันธ์กอง
วิญญาณ คือความรู้ทางอายตนะ เมื่ออายตนะภายในและภายนอกที่คู่กัน มาประจวบกันดังกล่าว นี้ก็คือโลก ขันธ์โลก 
โลกคือขันธ์ ย่อเข้าก็เป็นนามรูป รูปก็เป็นรูป เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ก็เป็นนาม

            และที่เรียกว่ารูปนั้นก็เพราะเป็นสิ่งที่ย่อยยับไปได้ สลายไปได้ ที่เรียกว่านามนั้น ก็เพราะเป็นสิ่งที่น้อมไป คือน้อม
ไปรู้ดังกล่าว หากจะถามว่าเป็นความน้อมไปรู้ของใคร หรือของอะไร ที่เป็นนามนั้น ก็ตอบว่าของจิตนี้เอง คือทุกคนที่ดำรง
ชีวิตอยู่นี้มีกายและจิตประกอบกันอยู่ จึงเป็นกายที่มีชีวิต ในเมื่อดับจิต จิตพรากออกไปเสียแล้ว กายนี้ก็สิ้นชีวิตกลายเป็นศพ
เพราะฉะนั้น ความมีชีวิตดำรงอยู่ ก็เพราะมีกายและจิตประกอบกันอยู่ และกายนี้เองที่เป็นรูปกาย ก็ประกอบด้วยธาตุทั้งหลาย
ดังกล่าว และมีจิตเข้าประกอบจึงรู้อะไรได้

            เพราะจิตนี้เป็นธรรมชาติที่เรียกว่าวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ รู้อะไรได้ เป็นธรรมชาติที่น้อมไปได้ และเป็นธรรมชาติที่ปภัสสร
คือผุดผ่อง เพราะฉะนั้นจิตนี้เองจึงเป็นธรรมชาติอันสำคัญ อันมีอยู่ในทุกๆ คน ท่านเปรียบร่างกายเหมือนอย่างเรือ จิตเหมือน
อย่างคนพายเรือ อีกอย่างหนึ่งร่างกายเหมือนอย่างบ่าวหรือคนรับใช้ จิตเหมือนอย่างนายคือผู้ใช้

            เพราะฉะนั้นจิตจึงมีความสำคัญมาก จนถึงพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในหมวดธรรมะที่มี ๑ ข้อ จิตก็เป็นธรรมชาติที่มี ๑ ข้อ
หรือเป็นหนึ่งอยู่ในทุกๆ คน และก็ตรัสสอนเอาไว้ว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่อง และได้ตรัสว่าเมื่อถูกอุปกิเลสคือ
เครื่องเศร้าหมองทั้งหลายที่จรมา ก็ทำให้จิตนี้เศร้าหมองไป ( เริ่ม ) แต่ว่าเมื่อปฏิบัติในจิตตภาวนาคือการอบรมจิต ก็จะวิมุติ
คือหลุดพ้นจากเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามานั้นได้ และจิตก็ปภัสสรคือผุดผ่อง เพราะฉะนั้น การปฏิบัติในจิตตภาวนาอบรมจิต
จึงเป็นไปดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้นี้ และที่จิตเป็นธรรมชาติที่น้อมไปได้นั้น ก็น้อมไปได้ทางอายตนะที่มีอยู่ที่กาย
เพื่อรู้ทางอายตนะนั้นเอง ซึ่งมีเป็นปรกติธรรมดา เพราะว่าจิตนี้เป็นวิญญาณธาตุ ธาตุรู้

            ข้อที่ว่าเป็นวิญญาณธาตุนี้ ก็ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ ว่าบุรุษนี้ อันหมายถึงว่าบุคคลชายหญิงทุกคนนี้มีธาตุ ๖ 
ประกอบกันอยู่ คือ ปฐวีธาตุ ธาตุดิน ได้แก่สิ่งที่แข้นแข็ง อาโปธาตุ ธาตุน้ำ ได้แก่สิ่งที่เอิบอาบเหลวไหล เตโชธาตุ ธาตุไฟ 
ได้แก่สิ่งที่อบอุ่น เร่าร้อน วาโยธาตุ ธาตุลม ได้แก่สิ่งที่พัดไหว ตลอดถึงลมหายใจเข้าออก อากาสธาตุ ธาตุอากาศ คือช่องว่าง
อันได้แก่ช่องว่างทั้งหลายบรรดาที่มีอยู่ในร่างกายอันนี้ และวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ คือธรรมชาติที่รู้อะไรๆ ได้ ก็คือจิตนี้เอง

            เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นธาตุรู้นี้ จึงน้อมไปรู้รูปทางตา เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก รสทางลิ้น โผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องทางกาย
 และเรื่องราวอะไรทั้งหลายทางมโนคือใจคือมโนอันเป็นข้อที่ ๖ นี้ อาจจะแสดงเป็นนามธรรมก็ได้ อาจจะแสดงเป็นรูปธรรมก็ได้
 เมื่อเป็นรูปธรรมแล้ว ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาซึ่งมีความรู้ถึงวิทยาในปัจจุบัน จึงได้ชี้เอามันสมองว่าเป็นตัวมโนที่เป็นรูปธรรม 
เพราะว่า จะต้องผ่านมันสมอง จึงจะบังเกิดเป็นความรู้ความคิดต่างๆ ขึ้นได้ และที่เรียกว่ารู้รูปทางตา รู้เสียงทางหูเป็นต้นนั้น 
ตามวิทยาปัจจุบันก็แสดงว่ารูปเสียงเป็นต้นที่ผ่านจักขุประสาท โสตประสาทแล้ว ก็ต้องผ่านเข้าไปถึงมันสมองในส่วนที่มีหน้าที่
ให้รู้รูปคือเห็นรูป ในส่วนที่มีหน้าที่ให้รู้เสียงคือได้ยินเสียง

            คือลำพังประสาททั้ง ๕ จักขุประสาท โสตประสาท ฆานประสาท ชิวหาประสาท กายประสาท แต่อย่างเดียว ไม่อาจที่จะ
ให้รู้รูปรู้เสียงรู้กลิ่นรู้รสรู้โผฏฐัพพะได้ ต้องผ่านเข้าไปถึงมันสมอง ในส่วนที่มีหน้าที่ให้รู้รูปรู้เสียงรู้กลิ่นรู้รสรู้โผฏฐัพพะ จึงจะสำเร็จ
เป็นความรู้ขึ้นได้ ที่เราเรียกว่าเห็นรูปได้ยินเสียงทราบกลิ่นทราบรสทราบโผฏฐัพพะ และอันนี้เองคือตัวมโนที่เป็นรูปธรรม

            จิตออกรู้อายตนะภายนอกทั้งหลาย ต้องอาศัยกายที่เป็นรูปธรรม คือตาอันได้แก่จักขุประสาทเป็นต้น ประกอบด้วยมโน
ที่เป็นรูปธรรมคือมันสมอง จึงจะเป็นรู้ขึ้นได้ ที่เรียกว่าเห็นรูปได้ยินเสียงทราบกลิ่นทราบรสทราบโผฏฐัพพะ และก็สามารถที่จะ
อาศัยมโนที่เป็นรูปธรรมนี้คิดนึกดำริหมกมุ่นถึงเรื่องต่างๆ ได้

            อาการที่จิตยังไม่น้อมไปไหน จะอยู่นิ่งเรียกกันว่าภวังคจิต ภวังคะแปลว่าองค์ของภพ จะเรียกว่าเป็นองค์ของภพชาติ
ก็ได้ เพราะว่าที่เป็นภพเป็นชาติขึ้นนั้น ก็ต้องอาศัยกายและจิตอันนี้เอง และในกายและจิตทั้งสองนี้ จิตเป็นสิ่งสำคัญ เป็นที่ตั้ง
ของภพชาติ เพราะฉะนั้นจึงเท่ากับว่าตัวภวังคะคือองค์ของภพนี้เป็นที่ตั้งของจิต

            จิตอยู่ที่ภวังคะคือองค์ของภพชาติอันนี้ และเมื่อจิตอยู่เฉยๆ ยังไม่น้อมออกรู้ก็เรียกว่าภวังคะจิต ถ้าจะเปรียบเหมือนว่า
เป็นคนอยู่ในบ้านๆ หนึ่ง ซึ่งมีประตูชั้นนอก ๕ ประตู มีประตูชั้นใน ๑ ประตู คือเป็นห้องที่มีฝาสองชั้น ฝาชั้นในมีประตูเดียว ฝา
ชั้นนอกมีห้าประตู เมื่อบุคคลซึ่งอยู่ภายในห้องโดยปรกติธรรมดา ไม่ออกไปข้างไหน ไม่มีอะไรมาเรียก ก็พักเฉยอยู่ในห้องนั้น
เรียกว่าเป็นภวังคะจิต
            คราวนี้ เมื่อมีใครมาเคาะประตู เช่นว่า เมื่อมีเสียงมากระทบกับหู ก็เท่ากับว่าเสียงนั้นเองมาเคาะประตู คือมาเคาะโสต
ประสาท และผ่านเข้าไปที่มโนซึ่งเป็นรูปธรรมชั้นในอันได้แก่สมอง ก็ไปกระทบถึงจิต จิตก็ออกรับ คือออกไปทางมโน ซึ่งเป็น
รูปธรรม ซึ่งเป็นประตูชั้นในนั้น แล้วก็ออกไปทางประตูที่ถูกเคาะ คือทางหู ก็รู้เสียงได้ยินเสียง อาการที่จิตน้อมออกไปดั่งนี้ 
ไปได้ยินเสียงขึ้นทีแรกก็เป็นวิญญาณก่อน เรียกว่าโสตวิญญาณ

            และเมื่อเสียงกับโสตทวารคือประตูหู และโสตวิญญาณที่เป็นตัวได้ยินเสียงนั้น รวมตัวกันเข้ามากระทบถึงจิตแรงขึ้น 
ความรู้ของจิตคือที่น้อมไปรู้นั้นก็แรงขึ้น เป็นสัมผัสคือความกระทบ ก็เป็นความรู้กระทบ เมื่อเป็นความรู้กระทบซึ่งเป็นสัมผัส
ดังนี้ ก็เป็นความรู้ที่แรงขึ้นอีก เป็นรู้เป็นสุขเป็นทุกข์เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเรียกว่าเวทนา และเมื่อเป็นเวทนา ก็เป็น
สัญญาคือจำได้หมายรู้ จำสุข จำทุกข์ จำกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทั้งจำรูปเสียงเป็นต้นที่มากระทบเป็นสัมผัส อันเป็นเหตุให้
เป็นทุกข์เป็นสุขเป็นกลางไม่ทุกข์ไม่สุขได้ เป็นสัญญา ก็เป็นรู้จำ เมื่อเป็นรู้จำแล้ว ก็เป็นรู้ปรุงอันเรียกว่าสังขาร อันได้แก่
เอาสิ่งที่รู้ทีแรก สิ่งที่สัมผัส สิ่งที่เป็นสุขเป็นทุกข์เป็นกลางไม่ทุกข์ไม่สุขนั้นมาปรุงคิดหรือคิดปรุง ก็เป็นสังขารคือรู้ รู้ปรุง 
ปรุงคิด ก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง

            และเมื่อถึงขั้นนี้ถ้าหยุดอยู่แค่นั้น จิตก็กลับเข้ามาสู่ห้องในใหม่ อันเรียกว่าภวังคจิต และเมื่อมีใครมาเคาะประตูอีก
ทางไหน ก็ออกไปทางนั้น น้อมออกไปทางนั้น ก็เป็นวิญญาณ เป็นสัมผัส เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร แล้วก็กลับเข้ามา
สู่ห้องในอีกเรียกว่าภวังคจิต ท่านแสดงไว้ดั่งนี้

ยังมีต่อ...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่