วิธีไปนิพพานเมืองแก้ว วิธีนี้ต้องระดับพระอนาคามี และ พระอรหันต์เท่านั้น เพราะจิตพ้นจากนิวรณ์5เป็นปกติ จิตมีความสว่างผ่องใสตลอดเวลา ส่วนพระสกิทาคามี พระโสดาบัน ได้แค่เห็นแต่ไปไม่ได้ เพราะกำลังไม่พอ ให้เข้าฌาณ4ก่อน เมื่อเข้าฌาณ4แล้วจิตจะมีความสว่างไสวเป็นแก้วใสประกายพรึก เมื่อจิตผ่องใสสว่างไสวดีแล้ว ให้ถอนสมาธิจากฌาณ4มาอยู่สมาธิขั้นอ่อนๆแล้วเอาความสว่างไสวของใจหรือจิตแล้วแต่จะสมมุติเรียก ปรุงความรู้ขึ้นมาเมื่อปรุงความรู้ขึ้นมาแล้ว สิ่งที่รู้ที่เห็นจะมีลักษณะเป็นแก้วแพรวพราว เมื่อความสว่างไสวเป็นมโนภาพที่เป็นแก้วชัดเจนดีแล้ว ก็ให้เข้าฌาณ4ไปอีกรอบ คราวนี้เมื่อเข้าถึงฌาณ4 จะมีปรากฏการณ์ว่า ความรู้สึกว่ามีร่างกายตัวตนหายไปหมด ก็จะเหลือแต่จิตที่นิ่งเด่นสว่างไสวอยู่ คราวนี้ความรู้ที่ปรุงใว้ตั้งแต่ตน จะมีความสว่างไสวแพรวพราวมาก จะเห็นมีรูปพระกายละเอียดเป็นกายแก้วต่างๆมากมายยิ่งนัก จิตก็จะน้อมเข้าไปในมิตินั้น จะมีปรากฏการณ์ว่า มีตัวตนเข้าไปในนั้นจริงๆ เหตุด้วยเพราะอำนาจของฌาณ4 เมื่อร่างกายตัวตนหายหมด ความรู้สึกว่ามีร่างกายตัวมันหายไป แต่ความรู้สึกของใจคือธรรมมารมณ์ส่วนละเอียดมันยังอยู่ ก็คือเหลือแต่ใจหรือจิตที่นิ่งเด่นสว่างไสวอยู่ จิตก็จะน้อมเข้าไปในแสงสว่างไสวอันผ่องใสแพรวพราวนั้น จิตก็จะเคลื่นไปสู่มิตินั้น มีความเป็นแก้วสว่างไสวแพรวพราวมาก สามารถไปเดิน ยืน นั่ง นอน ในมิติแก้วนั้นได้ แล้วสามารถถามตอบปัญหา กับกายแก้วในมิตินั้นได้ด้วย ซึ่งตรงจุดนี้จริงๆแล้ว ไม่มีพระพุทธเจ้าจริง และไม่มีพระอรหันต์เจ้าจริงๆ เป็นเพียงภูมิรู้ของผู้ปฏิบัติ ที่ถามตอบกับจิตตนเอง แต่ผู้ปฏิบัติไม่แยบคลาย ก็จะเข้าใจผิดว่ามีพระพุทธเจ้ามาตอบให้ จริงๆไม่มี เป็นเพียงจิตตนเอง มันปรุงภูมิรู้ขึ้นมา เกิดความรู้สึกว่า นี้คือกายแก้วเป็นเรา นี้คือกายแก้วพระอรหันต์ นี้คือกายแก้วพระพุทธเจ้า ความจริงไม่มี เป็นเพียงความรู้สึกที่จิตปรุงความรู้ขึ้นมาเท่านั้น ฉนั้นตรงจุดนี้จึงเรียกว่านิมิตในสมาธิ ไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงอำนาจจิตปรุงภูมิรู้ขึ้นมาเท่านั้น
ส่วนอีกอัน พระนิพพานเป็นธรรมชาติรู้อันบริสุทธิ์ อันนี้พระอรหันต์สุขวิปัสสโก ท่านจะรู้ในใจเป็นปกติอยู่ เพราะท่านไม่มีนิมิต คือท่านเข้าฌาณ4ไม่ได้ อย่างต่ำท่านได้ปฐมฌาณ เมื่อจิตท่านได้ปฐมฌาณเป็นปกติเป็น วิหารธรรม ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน อยู่ นิวรณ์5 ประการก็ไม่สามารถที่จะเข้ามาในใจท่านได้ ธรรมชาติรู้ภายในใจก็จะเด่นชัดขึ้นมา แล้วพระอรหันต์สุขวิปัสสโกท่านก็จะอาศัยธรรมชาติรู้นี้เป็นเครื่องอยู่ภายในใจหรือจิต ใจท่านจะตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา ในภูมิรู้ตรงส่วนนี้ไม่มีสมมุติบัญญัติ เพราะ รู้นั้น บัญญัติไม่ได้ว่าคือสิ่งใด เพราะถ้าบัญญัติว่าเป็นสิ่งใดได้อยู่ จะกลายเป็นสมมุติทันที ฉนั้นท่านจะไม่บัญญัติสิ่งใด ในรู้นั้น รู้นั้น จึงได้แต่รู้ ภายในใจท่าน รู้นี้จึงบริสุทธิ์ ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปทาน แล้วธรรมชาติรู้นี้จะมีในใจ ของพระอรหันต์สุขวิปัสโก และ พระอรหันเจโตสมาธิ และพระอรหันต์ที่มีความรู้พิเศษ ทุกประเภท เมื่อร่างกายแตกดับ รู้นั้นไม่ได้แตกไม่ได้ดับไปด้วย ยังคงรู้อยู่เป็นปกติ ไม่มีการเคลื่อน ไม่มีการไป ไม่มีการมา เหลือแต่รู้ ที่บัญญัติสิ่งใดไม่ได้เลย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จะไม่มีอำนาจ ไปทำให้ธรรมชาติรู้นี้หวั่นไหวได้เลย เพราะรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสมมุติ ส่วนรู้บริสุทธิ์นี้ เป็นวิมุติจิต ฉนั้นถ้าถามว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้านิพพานแล้วไปอยู่ไหน ท่านเหล่านั้นก็เข้าสู่วิมุตินี้แล เป็นธรรมชาติรู้ เป็นหนึ่งรวมกัน ไม่มีความแตกต่าง แต่เป็นหนึ่งในธรรมชาติรู้ ฉนั้น พระนิพพานอันนี้จึงสามารถที่จะรู้แจ้งด้วยใจตน ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเมื่อตายหรือนิพพานแล้ว ธรรมชาติรู้นี้ ก็ยังอยู่ เป็นอมตะธรรม แล้วธรรมชาติรู้นี้ไม่มีสิ่งใดมากระทบได้ เพราะสิ่งที่เป็นเครื่องให้ถูกระทบหรือขันธ์5 ได้ถูกวิปัสสนาแตกดับสลายไปจากใจแล้ว คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ธรรมชาติรู้นี้จึงอิสระต่อทุกสรรพสิ่ง พระอรหันต์ทุกประเภทย่อมเห็นธรรมชาติรู้นี้ เป็นปกติตลอดเวลา ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน คราวนี้ก็จะได้คำตอบแล้ว ว่าพระนิพพาน ไม่ใช่อัตตาหรือกายแก้ว และ พระนิพพานไม่ใช่อนัตตาหรือสูญหายไปเลย แต่พระนิพพานคือธรรมชาติรู้ ที่มีอยู่ตลอดไม่มีเสื่อมไม่มีดับ
พระนิพพานเป็นธรรมชาติรู้บริสุทธิ์หรือพระนิพพานเป็นเมืองแก้ว
ส่วนอีกอัน พระนิพพานเป็นธรรมชาติรู้อันบริสุทธิ์ อันนี้พระอรหันต์สุขวิปัสสโก ท่านจะรู้ในใจเป็นปกติอยู่ เพราะท่านไม่มีนิมิต คือท่านเข้าฌาณ4ไม่ได้ อย่างต่ำท่านได้ปฐมฌาณ เมื่อจิตท่านได้ปฐมฌาณเป็นปกติเป็น วิหารธรรม ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน อยู่ นิวรณ์5 ประการก็ไม่สามารถที่จะเข้ามาในใจท่านได้ ธรรมชาติรู้ภายในใจก็จะเด่นชัดขึ้นมา แล้วพระอรหันต์สุขวิปัสสโกท่านก็จะอาศัยธรรมชาติรู้นี้เป็นเครื่องอยู่ภายในใจหรือจิต ใจท่านจะตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา ในภูมิรู้ตรงส่วนนี้ไม่มีสมมุติบัญญัติ เพราะ รู้นั้น บัญญัติไม่ได้ว่าคือสิ่งใด เพราะถ้าบัญญัติว่าเป็นสิ่งใดได้อยู่ จะกลายเป็นสมมุติทันที ฉนั้นท่านจะไม่บัญญัติสิ่งใด ในรู้นั้น รู้นั้น จึงได้แต่รู้ ภายในใจท่าน รู้นี้จึงบริสุทธิ์ ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปทาน แล้วธรรมชาติรู้นี้จะมีในใจ ของพระอรหันต์สุขวิปัสโก และ พระอรหันเจโตสมาธิ และพระอรหันต์ที่มีความรู้พิเศษ ทุกประเภท เมื่อร่างกายแตกดับ รู้นั้นไม่ได้แตกไม่ได้ดับไปด้วย ยังคงรู้อยู่เป็นปกติ ไม่มีการเคลื่อน ไม่มีการไป ไม่มีการมา เหลือแต่รู้ ที่บัญญัติสิ่งใดไม่ได้เลย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จะไม่มีอำนาจ ไปทำให้ธรรมชาติรู้นี้หวั่นไหวได้เลย เพราะรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสมมุติ ส่วนรู้บริสุทธิ์นี้ เป็นวิมุติจิต ฉนั้นถ้าถามว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้านิพพานแล้วไปอยู่ไหน ท่านเหล่านั้นก็เข้าสู่วิมุตินี้แล เป็นธรรมชาติรู้ เป็นหนึ่งรวมกัน ไม่มีความแตกต่าง แต่เป็นหนึ่งในธรรมชาติรู้ ฉนั้น พระนิพพานอันนี้จึงสามารถที่จะรู้แจ้งด้วยใจตน ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเมื่อตายหรือนิพพานแล้ว ธรรมชาติรู้นี้ ก็ยังอยู่ เป็นอมตะธรรม แล้วธรรมชาติรู้นี้ไม่มีสิ่งใดมากระทบได้ เพราะสิ่งที่เป็นเครื่องให้ถูกระทบหรือขันธ์5 ได้ถูกวิปัสสนาแตกดับสลายไปจากใจแล้ว คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ธรรมชาติรู้นี้จึงอิสระต่อทุกสรรพสิ่ง พระอรหันต์ทุกประเภทย่อมเห็นธรรมชาติรู้นี้ เป็นปกติตลอดเวลา ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน คราวนี้ก็จะได้คำตอบแล้ว ว่าพระนิพพาน ไม่ใช่อัตตาหรือกายแก้ว และ พระนิพพานไม่ใช่อนัตตาหรือสูญหายไปเลย แต่พระนิพพานคือธรรมชาติรู้ ที่มีอยู่ตลอดไม่มีเสื่อมไม่มีดับ