เนื่องจาก ประมาณวันที่ 13 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา ดิฉันได้นำรถยนต์ Chevrolet Captiva ปี 2009 เข้าซ่อมที่ศูนย์เชพโรเลต(แถวนวมินทร์) เพราะมีอาการเร่งไม่ขึ้น โดยที่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ปกติ แต่สามารถขับได้เพียงไม่เกิน 20 กม./ชม. จากนั้นศูนย์ได้มีการติดต่อมาเพื่อแจ้ง เรื่องรายการ การซ่อมว่าอะไรบ้าง และราคาประมาณ 29,500 บาท เมื่อทราบราคาแล้วดิฉันจึงยืนยันกับทางศูนย์ ว่าเรายืนยันที่จะซ่อม โดยหวังว่าการซ่อมอาการเร่งไม่ขึ้นจะหายไป เพราะทางศูนย์มีช่างที่ชำนาญงานและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ครบครัน เพื่อช่วยการวินิจฉัยอาการรถ จากนั้นเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2558 ทางศูนย์แจ้งว่ารถที่ซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถที่จะเข้ามารับรถได้เลย โดยค่าซ่อมสรุปแล้วอยู่ที่ 29,268.57 บาท โดยทางศูนย์แจ้งว่ารับประกันการซ่อมและอะไหล่ 10,000 กม. หรือ 6 เดือนแล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน จากนั้นดิฉันจึงไปรับรถกลับมาที่บ้าน โดยเมื่อขับรถออกจากศูนย์ อาการของรถเป็นปกติไม่มีปัญหาเรื่องของอาการเร่งไม่ขึ้น
แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านได้ 1 ชั่วโมง ดิฉันได้ลองสตาร์ทรถอีกครั้ง เครื่องยนต์ก็มีปัญหาอาการสั่น และทดลองเหยียบคันเร่งอีกครั้ง ก็ปรากฏว่ารถมีอาการเร่งไม่ขึ้นเหมือนเดิม จึงโทรแจ้งที่ศูนย์เชพโรเลตดังกล่าว ให้มารับรถเพื่อไปตรวจสอบอีกครั้ง และวันรุ่งขึ้นทางศูนย์ก็ส่งเจ้าหน้าที่มารับรถเพื่อไปตรวจสอบอีกครั้ง และหลังจากนั้นอีกไม่กี่วันดิฉันได้รับการติดต่อว่าต้องมีการเปลี่ยนอะไหล่อีก 1 ชิ้น ซึ่งราคาอยู่ที่ 39,000 บาท ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ดิฉันค่อนข้างตกใจ เพราะราคาค่าซ่อมในครั้งแรกเกือบ 3 หมื่นบาท และรอบนี้แจ้งว่าให้เปลี่ยนอะไหล่ 39,000 บาท ดิฉันจึงถามกับทางศูนย์ว่าสรุปรถยนต์ของดิฉันเสียที่ส่วนไหนหรือเป็นที่อะไร ศูนย์แจ้งว่าเป็นที่อะไหล่ที่จะเปลี่ยนรอบที่ 2 ดิฉันจึงสงสัยว่า แล้วในรอบแรกที่ศูนย์เปลี่ยนอะไหล่ไปแสดงว่าอะไหล่ไม่ได้เสียใช่หรือไม่ แล้วแบบนี้ทางศูนย์จะรับผิดชอบอย่างไร ศูนย์แจ้งในครั้งแรกว่าจะไม่รับผิดชอบอะไร เพราะอะไหล่ได้ถูกใช้ไปแล้ว ดิฉันจึงร้องเรียนผ่านทาง Call center เกี่ยวกับการบริการของศูนย์เชพโรเลตแห่งนี้ เพราะหากไม่ได้เสียที่อะไหล่ชุดแรก ศูนย์ก็ควรจะมีวิธีรับผิดชอบลูกค้าและมีทางออกให้ลูกค้าที่ดีกว่านี้ ศูนย์ของคุณวินิจฉัยอาการผิด ทำให้ลูกค้าต้องทั้งเสียค่าใช้จ่ายและเสียความรู้สึก
ผู้ช่วยผู้จัดการศูนย์ ได้ใช้วาจาที่ทำให้ดิฉันรู้สึกไม่ดี เพราะหากรถเราซ่อมเองได้หรือเรามีที่ซ่อมที่ดีกว่าเราคงไม่เอารถมาซ่อมที่ศูนย์ ซึ่งเป็นศูนย์บริการของ Chevrolet เอง และดิฉันคิดว่าศูนย์จะเป็นที่พึ่งของคนที่ใช้รถยี่ห้อของเขา
ดิฉันจึงร้องเรียนไปที่ Call center อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทางศูนย์ดังกล่าวได้ติดต่อเข้ามาว่าจะทำการเปลี่ยนอะไหล่เก่าคืนให้โดยที่ขอคิดค่าบริการประมาณ 2,000 บาท ดิฉันก็ไม่ติดใจอะไร ด้วยอาการรถยนต์ของดิฉันยังเป็นอยู่ จึงขอเปลี่ยนอะไหล่รอบแรกเข้าไปแล้วเปลี่ยนในจุดที่เสียได้หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ได้ หากจะเปลี่ยนจะต้องเปลี่ยนทั้งหมด ซึ่งดิฉันคิดว่าทางศูนย์ควรจะเข้าใจลูกค้าบ้าง เพราะในครั้งแรกที่เปลี่ยนอะไหล่ไป ไม่ได้เสียที่จุดนั้นแล้วทางศูนย์จะเปลี่ยนเพื่ออะไร จะทำให้ลูกค้าเสียค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่ควรจะเสียทำไม
ด้วยที่ไม่ยอมที่จะเปลี่ยนอะไหล่ในส่วนที่เสีย ดิฉันจึงตัดสินใจว่าจะเอารถยนต์ของดิฉันออกมาซ่อมที่อู่ข้างนอกเพราะหากจะเปลี่ยนอะไหล่ทั้ง 2 ชุด รวมเป็นเงินประมาณ 70,000 บาท กับอะไหล่ที่ไม่ได้เสีย แต่เราต้องเปลี่ยน ต้องเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ดิฉันคิดว่าเป็นเงินไม่ใช่น้อยและศูนย์ไม่คิดจะช่วยเหลือลูกค้าเลย ดิฉันจึงตัดสินใจไม่ซ่อมที่ศูนย์แห่งนี้ แต่เมื่อศูนย์เปลี่ยนชุดอะไหล่เก่าของรถยนต์ดิฉันเข้าไป ปรากฏว่ารถยนต์ของดิฉันสตาร์ทไม่ติด ดิฉันจึงติดต่อ ผู้ช่วยผู้จัดการศูนย์ดังกล่าว อีกครั้งเพื่อแจ้งว่าตอนที่เอารถเข้าไปซ่อมอาการของรถคือ เร่งไม่ขึ้น เหยียบแล้วความเร็วไม่ขึ้น รอบไม่ขึ้นเกิน 2,000 รอบ แต่ไม่ได้หมายความว่ารถสตาร์ทไม่ติด เพราะรถสตาร์ทติดปกติ ขับได้เพียงแต่ใช้ความเร็วไม่ได้ จึงขอให้ทางศูนย์ช่วยเหลือให้รถสตาร์ทติดก่อนจึงจะมารับรถคืน ซึ่งทางศูนย์ก็บ่ายเบี่ยง จะให้เอารถมายกออกไปเลย โดยแจ้งว่าอะไหล่ที่เปลี่ยน(ชุดสายไฟ)มันไหม้ มันก็เลยสตาร์ทไม่ติด ดิฉันจึงแย้งว่าตอนรถเข้าศูนย์ไปสายไฟก็ไม่ได้ไหม้แต่อย่างใดและรถยังคงขับได้ จนล่าสุดวันที่ 21 กันยายน 2558 ศูนย์แจ้งว่าจะลองตรวจสอบให้เพื่อให้สตาร์ทติดแต่ไม่รับปาก ซึ่งดิฉันมองว่าทางศูนย์เชพโรเลตแห่งนี้ ปฎิเสธลูกค้าโดยที่ไม่มีเจตนาจะช่วยลูกค้าเลย และยังใช้วาจาที่ไม่สุภาพ ซึ่งหากเป็นศูนย์บริการลูกค้าควรจะมีทางออกให้ลูกค้าหรือคุยกับลูกค้าแบบสุภาพ เหมือนที่โฆษณาไว้ เพราะลูกค้าที่เข้ามาที่ศูนย์บริการทุกคนคาดหวังว่าจะได้รับการบริการที่ดีอยู่แล้ว
และล่าสุด ปลายเดือนกันยายน 58 ดิฉันทำหนังสือส่ง เชฟโรเลต (ประเทศไทย)เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และมีเจ้าหน้าที่โทรมาเพื่อสอบถามและแจ้งว่าจะดำเนินการตรวจสอบให้ จนวันนี้รวมวันที่เข้าซ่อม จะเข้าเดือนที่ 2 แล้วยังไม่มีคำตอบ แบบนี้ดิฉันควรจะทำอย่างไรคะ แต่ที่แน่ๆรถคันนี้ออกมาจากศูนย์แล้วขายแน่นอนค่ะ ไม่ไหวจริงๆ
เตือนใจก่อน ก่อนตัดสินใจ! ซื้อเชฟโรเลต แคปติว่าและศูนย์บริการที่สวนทางกับโฆษณา
แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านได้ 1 ชั่วโมง ดิฉันได้ลองสตาร์ทรถอีกครั้ง เครื่องยนต์ก็มีปัญหาอาการสั่น และทดลองเหยียบคันเร่งอีกครั้ง ก็ปรากฏว่ารถมีอาการเร่งไม่ขึ้นเหมือนเดิม จึงโทรแจ้งที่ศูนย์เชพโรเลตดังกล่าว ให้มารับรถเพื่อไปตรวจสอบอีกครั้ง และวันรุ่งขึ้นทางศูนย์ก็ส่งเจ้าหน้าที่มารับรถเพื่อไปตรวจสอบอีกครั้ง และหลังจากนั้นอีกไม่กี่วันดิฉันได้รับการติดต่อว่าต้องมีการเปลี่ยนอะไหล่อีก 1 ชิ้น ซึ่งราคาอยู่ที่ 39,000 บาท ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ดิฉันค่อนข้างตกใจ เพราะราคาค่าซ่อมในครั้งแรกเกือบ 3 หมื่นบาท และรอบนี้แจ้งว่าให้เปลี่ยนอะไหล่ 39,000 บาท ดิฉันจึงถามกับทางศูนย์ว่าสรุปรถยนต์ของดิฉันเสียที่ส่วนไหนหรือเป็นที่อะไร ศูนย์แจ้งว่าเป็นที่อะไหล่ที่จะเปลี่ยนรอบที่ 2 ดิฉันจึงสงสัยว่า แล้วในรอบแรกที่ศูนย์เปลี่ยนอะไหล่ไปแสดงว่าอะไหล่ไม่ได้เสียใช่หรือไม่ แล้วแบบนี้ทางศูนย์จะรับผิดชอบอย่างไร ศูนย์แจ้งในครั้งแรกว่าจะไม่รับผิดชอบอะไร เพราะอะไหล่ได้ถูกใช้ไปแล้ว ดิฉันจึงร้องเรียนผ่านทาง Call center เกี่ยวกับการบริการของศูนย์เชพโรเลตแห่งนี้ เพราะหากไม่ได้เสียที่อะไหล่ชุดแรก ศูนย์ก็ควรจะมีวิธีรับผิดชอบลูกค้าและมีทางออกให้ลูกค้าที่ดีกว่านี้ ศูนย์ของคุณวินิจฉัยอาการผิด ทำให้ลูกค้าต้องทั้งเสียค่าใช้จ่ายและเสียความรู้สึก
ผู้ช่วยผู้จัดการศูนย์ ได้ใช้วาจาที่ทำให้ดิฉันรู้สึกไม่ดี เพราะหากรถเราซ่อมเองได้หรือเรามีที่ซ่อมที่ดีกว่าเราคงไม่เอารถมาซ่อมที่ศูนย์ ซึ่งเป็นศูนย์บริการของ Chevrolet เอง และดิฉันคิดว่าศูนย์จะเป็นที่พึ่งของคนที่ใช้รถยี่ห้อของเขา
ดิฉันจึงร้องเรียนไปที่ Call center อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทางศูนย์ดังกล่าวได้ติดต่อเข้ามาว่าจะทำการเปลี่ยนอะไหล่เก่าคืนให้โดยที่ขอคิดค่าบริการประมาณ 2,000 บาท ดิฉันก็ไม่ติดใจอะไร ด้วยอาการรถยนต์ของดิฉันยังเป็นอยู่ จึงขอเปลี่ยนอะไหล่รอบแรกเข้าไปแล้วเปลี่ยนในจุดที่เสียได้หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ได้ หากจะเปลี่ยนจะต้องเปลี่ยนทั้งหมด ซึ่งดิฉันคิดว่าทางศูนย์ควรจะเข้าใจลูกค้าบ้าง เพราะในครั้งแรกที่เปลี่ยนอะไหล่ไป ไม่ได้เสียที่จุดนั้นแล้วทางศูนย์จะเปลี่ยนเพื่ออะไร จะทำให้ลูกค้าเสียค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่ควรจะเสียทำไม
ด้วยที่ไม่ยอมที่จะเปลี่ยนอะไหล่ในส่วนที่เสีย ดิฉันจึงตัดสินใจว่าจะเอารถยนต์ของดิฉันออกมาซ่อมที่อู่ข้างนอกเพราะหากจะเปลี่ยนอะไหล่ทั้ง 2 ชุด รวมเป็นเงินประมาณ 70,000 บาท กับอะไหล่ที่ไม่ได้เสีย แต่เราต้องเปลี่ยน ต้องเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ดิฉันคิดว่าเป็นเงินไม่ใช่น้อยและศูนย์ไม่คิดจะช่วยเหลือลูกค้าเลย ดิฉันจึงตัดสินใจไม่ซ่อมที่ศูนย์แห่งนี้ แต่เมื่อศูนย์เปลี่ยนชุดอะไหล่เก่าของรถยนต์ดิฉันเข้าไป ปรากฏว่ารถยนต์ของดิฉันสตาร์ทไม่ติด ดิฉันจึงติดต่อ ผู้ช่วยผู้จัดการศูนย์ดังกล่าว อีกครั้งเพื่อแจ้งว่าตอนที่เอารถเข้าไปซ่อมอาการของรถคือ เร่งไม่ขึ้น เหยียบแล้วความเร็วไม่ขึ้น รอบไม่ขึ้นเกิน 2,000 รอบ แต่ไม่ได้หมายความว่ารถสตาร์ทไม่ติด เพราะรถสตาร์ทติดปกติ ขับได้เพียงแต่ใช้ความเร็วไม่ได้ จึงขอให้ทางศูนย์ช่วยเหลือให้รถสตาร์ทติดก่อนจึงจะมารับรถคืน ซึ่งทางศูนย์ก็บ่ายเบี่ยง จะให้เอารถมายกออกไปเลย โดยแจ้งว่าอะไหล่ที่เปลี่ยน(ชุดสายไฟ)มันไหม้ มันก็เลยสตาร์ทไม่ติด ดิฉันจึงแย้งว่าตอนรถเข้าศูนย์ไปสายไฟก็ไม่ได้ไหม้แต่อย่างใดและรถยังคงขับได้ จนล่าสุดวันที่ 21 กันยายน 2558 ศูนย์แจ้งว่าจะลองตรวจสอบให้เพื่อให้สตาร์ทติดแต่ไม่รับปาก ซึ่งดิฉันมองว่าทางศูนย์เชพโรเลตแห่งนี้ ปฎิเสธลูกค้าโดยที่ไม่มีเจตนาจะช่วยลูกค้าเลย และยังใช้วาจาที่ไม่สุภาพ ซึ่งหากเป็นศูนย์บริการลูกค้าควรจะมีทางออกให้ลูกค้าหรือคุยกับลูกค้าแบบสุภาพ เหมือนที่โฆษณาไว้ เพราะลูกค้าที่เข้ามาที่ศูนย์บริการทุกคนคาดหวังว่าจะได้รับการบริการที่ดีอยู่แล้ว
และล่าสุด ปลายเดือนกันยายน 58 ดิฉันทำหนังสือส่ง เชฟโรเลต (ประเทศไทย)เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และมีเจ้าหน้าที่โทรมาเพื่อสอบถามและแจ้งว่าจะดำเนินการตรวจสอบให้ จนวันนี้รวมวันที่เข้าซ่อม จะเข้าเดือนที่ 2 แล้วยังไม่มีคำตอบ แบบนี้ดิฉันควรจะทำอย่างไรคะ แต่ที่แน่ๆรถคันนี้ออกมาจากศูนย์แล้วขายแน่นอนค่ะ ไม่ไหวจริงๆ