ขันธ์ ๕ นั้นไม่เที่ยง

ขันธ์ ๕ นั้นไม่เที่ยง
กายยาวประมาณวาหนึ่งที่มีสัญญาและใจนี้ ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๖ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ เรียกว่า นามรูป. นาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา(ความจงใจ) ผัสสะ(สัมผัส) มนสิการ(การทำไว้ในใจ). นี้ เรียกว่า นาม.

รูป คือ ธาตุสี่ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และรูปที่อาศัยธาตุสี่อย่างเหล่านั้นด้วย. นามนี้ด้วย รูปนี้ด้วย เรียกว่า รูป. นามรูป แบ่งออกเป็น ๕ กอง(ขันธ์) ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์.

รูปขันธ์ ทั่วไปคนทั่วไปกล่าวกันว่ารูป เพราะอาศัยความหมายอะไร ? กิริยาที่แตกสลายได้มีอยู่ในสิ่งนั้น สิ่งนั้น แตกสลายได้เพราะความเย็นบ้าง เพราะความร้อนบ้าง เพราะความหิวบ้าง เพราะความกระหายบ้าง แตกสลายได้เพราะเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานบ้าง เพราะกิริยาที่แตกสลายได้มีอยู่ในสิ่งนั้น ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่ารูป. ขนฺธ. สํ. ๑๗ / ๗๔ / ๑๑๓

เปรียบเหมือน แม่น้ำใหญ่ไหลพาเอาก้อนฟองน้ำมา เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย ย่อมเห็นก้อนฟองน้ำนั้น เป็นของว่างของเปล่า เป็นของหาแก่นสารมิได้ อุปมานี้ ฉันใด, อุปไมย ก็ฉันนั้น คือรูปชนิดใดชนิดหนึ่งมีอยู่ จะเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต มีในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ตาม เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย ย่อมเห็นรูปนั้น เป็นของว่างของเปล่า เป็นของหาแก่นสารมิได้ ก็แก่นสารในรูปนั้น จะพึงมีได้อย่างไร.

เวทนาขันธ์
เวทนา เป็นอย่างไร ? หมู่แห่งเวทนาหกเหล่านี้ คือ เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางตา เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางหู เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางจมูก เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางกาย เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางใจ นี้เรียกว่า เวทนา. ขนฺธ. สํ. ๑๗ / ๗๔ / ๑๑๔

คนทั่วไปกล่าวกันว่าเวทนา เพราะอาศัยความหมายอะไร ? เพราะกิริยาที่รู้สึกได้มีอยู่ในสิ่งนั้น สิ่งนั้น ย่อมรู้สึกได้ ซึ่งความรู้สึกอันเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง รู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง ดังนี้เป็นต้น. เพราะกิริยาที่รู้สึกได้มีอยู่ในสิ่งนั้น ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า เวทนา.

เปรียบเหมือนฝนเมล็ดหยาบ ตกในท้ายฤดูฝน ต่อมน้ำย่อมเกิดขึ้น เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย ย่อมเห็นต่อมน้ำนั้นเป็นของว่างของเปล่า เป็นของหาแก่นสารมิได้ ก็แก่นสารในต่อมน้ำนั้นจะพึงมีได้อย่างไร อุปมานี้ ฉันใด, อุปไมย ก็ฉันนั้น คือ เวทนาชนิดใดชนิดหนึ่งมีอยู่ จะเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต มีในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ตาม เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย ย่อมเห็นเวทนานั้น เป็นของว่างของเปล่า เป็นของหาแก่นสารมิได้ ก็แก่นสารในเวทนานั้น จะพึงมีได้อย่างไร.

สัญญาขันธ์
สัญญา เป็นอย่างไร ? หมู่แห่งสัญญาหกเหล่านี้ คือ สัญญาในรูป สัญญาในเสียง สัญญาในกลิ่น สัญญาในรส สัญญาในสัมผัส สัญญาในธรรมารมณ์ คือสัญญาในอารมณ์กระทบใจ. นี้เรียกว่า สัญญา. ขนฺธ. สํ. ๑๗ / ๗๔ / ๑๑๕

คนทั่วไปกล่าวกันว่าสัญญา เพราะอาศัยความหมายอะไร ? เพราะกิริยาที่จำได้หมายรู้มีอยู่ในสิ่งนั้น สิ่งนั้น ย่อมจำได้หมายรู้ ซึ่งสีเขียว สีเหลือง สีดำ สีขาว สีแดง สีขาบ ดังนี้เป็นต้น เพราะกิริยาที่จำได้หมายรู้ มีอยู่ในสิ่งนั้น ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า สัญญา.

เปรียบเหมือนเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน ในเวลาเที่ยงวัน พยับแดดย่อมไหวยิบยับ เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย ย่อมเห็นพยับแดดนั้น เป็นของว่างของเปล่า เป็นของหาแก่นสารมิได้ ก็แก่นสารในพยับแดดนั้นจะพึงมีได้อย่างไร อุปมานี้ฉันใด, อุปไมย ก็ฉันนั้น คือ สัญญาชนิดใดชนิดหนึ่งมีอยู่ จะเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต มีในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ตาม เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย ย่อมเห็นสัญญานั้น เป็นของว่างของเปล่า เป็นของหาแก่นสารมิได้ ก็แก่นสารในสัญญานั้น จะพึงมีได้อย่างไร.

สังขารขันธ์
สังขาร เป็นอย่างไร ? หมู่แห่งเจตนาหกเหล่านี้ คือ รูปสัญเจตนาคือคิดนึกในรูป สัททะสัญเจตนาคือคิดนึกในเสียง คันธะสัญเจตนาคือคิดนึกในกลิ่น ระสะสัญเจตนาคือคิดนึกในรส กายะสัญเจตนาคือคิดในสัมผัส และธัมมะสัญเจตนาคิดนึกในธรรมารมณ์คือคิดนึกในอารมณ์กระทบใจ นี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย. ขนฺธ. สํ. ๑๗ / ๗๔ / ๑๑๖

คนทั่วไปกล่าวกันว่าสังขาร เพราะอาศัยความหมายอะไร? เพราะกิริยาที่ปรุงแต่งให้สำเร็จรูป มีอยู่ในสิ่งนั้น สิ่งนั้น ย่อมปรุงแต่งรูป ให้สำเร็จเพื่อความเป็นรูป ย่อมปรุงแต่งเวทนาให้สำเร็จเพื่อความเป็นเวทนา ย่อมปรุงแต่งสัญญา ให้สำเร็จเพื่อความเป็นสัญญา ย่อมปรุงแต่งสังขาร ให้สำเร็จเพื่อความเป็นสังขาร ย่อมปรุงแต่งวิญญาณ ให้สำเร็จเพื่อความเป็นวิญญาณ ดังนี้เป็นต้น เพราะกิริยาที่ปรุงแต่งให้สำเร็จรูปมีอยู่ในสิ่งนั้น เช่นนั้น ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า สังขารทั้งหลาย.

เปรียบเหมือนเหมือนบุรุษคนหนึ่ง เที่ยวเสาะหาแก่นไม้ ถือขวานเข้าไปสู่ป่า เขาเห็นต้นกล้วยต้นใหญ่ในป่านั้น ลำต้นตรง ยังอ่อนอยู่ ยังไม่เกิดแกนไส้ เขาตัดต้นกล้วยนั้นที่โคน แล้วตัดที่ปลาย แล้วปอกกาบออก เมื่อปอกกาบออกอยู่ ก็ไม่พบแม้แต่กระพี้ของมัน แล้วจะพบแก่นได้อย่างไร เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย ย่อมเห็นต้นกล้วยนั้น เป็นของว่างของเปล่า เป็นของหาแก่นสารมิได้ ก็แก่นสารในต้นกล้วยนั้นจะพึงมีได้อย่างไร อุปมานี้ฉันใด, อุปไมย ก็ฉันนั้น คือ สังขารชนิดใดชนิดหนึ่งมีอยู่ จะเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต มีในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ตาม เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย ย่อมเห็นสังขารนั้น เป็นของว่างของเปล่า เป็นของหาแก่นสารมิได้ ก็แก่นสารในสังขารนั้น จะพึงมีได้อย่างไร.

วิญญาณขันธ์
วิญญาณ เป็นอย่างไร ? หมู่แห่งวิญญาณหกเหล่านี้ คือ วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย และวิญญาณทางใจ. นี้เรียกว่า วิญญาณ. ขนฺธ. สํ. ๑๗ / ๗๕ / ๑๑๗

คนทั่วไปกล่าวกันว่าวิญญาณ เพราะอาศัยความหมายอะไร ? เพราะกิริยาที่รู้แจ้งได้มีอยู่ในสิ่งนั้น สิ่งนั้น ย่อมรู้แจ้งซึ่งความเปรี้ยว ความหวาน ความเค็ม ซึ่งความไม่เค็ม ซึ่งความขม ซึ่งความไม่ขม ซึ่งความขื่น ซึ่งความไม่ขื่น ดังนี้เป็นต้น เพราะกิริยารู้ที่รู้แจ้งได้มีอยู่ในสิ่งนั้น ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า วิญญาณ.
เปรียบเหมือนนักแสดงกล แสดงกลอยู่ท่ามกลางสี่แยก เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย ย่อมเห็นกลนั้น เป็นของว่างของเปล่า เป็นของหาแก่นสารมิได้ อุปมานี้ฉันใด, อุปไมย ก็ฉันนั้น คือ วิญญาณใดชนิดหนึ่งมีอยู่ จะเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต มีในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ตาม เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย ย่อมเห็นวิญญาณนั้น เป็นของว่างของเปล่า เป็นของหาแก่นสารมิได้ ก็แก่นสารในวิญญาณนั้น จะมีได้อย่างไร.

                                        
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่