ข้อมูลเบื้องต้น
เรื่องเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นช่วงที่ไทยเกิดวิกฤตเป็นอย่างมากเกือบจะเสียบ้านเสียเมืองไป มีทั้งศึกเหนือเสือใต้ ศึกจากแดนไกล แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของ ร.5 ทำให้สยามผ่านพ้นวิกฤตครั้งนั้นมาได้ด้วยดี เนื้อหาจะอยู่ช่วงก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์ รศ.112 คือช่วงปราบฮ่อซึ่งทำให้บานปลายจนเกิดเป็นวิกฤติ รศ.112 เป็นนิยายรักอิงประวัติศาสตร์ รักและรบ ไม่ว่าจะเป็นการรักชาติ รักพ่อแม่พี่น้อง รักของคู่รัก หรือแม้กระทั่งรักต่อพี่น้องร่วมชาติ
เนื้อเรื่อง หญิงสาวคนหนึ่งที่มีใจผูกพันกับชายคนรักตั้งแต่เด็ก ด้วยความรักชาติ ภาระและหน้าที่ ทำให้เขาเลือกที่จะไปรบมากกว่าความสุขส่วนตน ชายอีกผู้หนึ่งรักและผูกพันกับหญิงสาวเช่นกันจนเสียสละยอมหลีกทางให้ทั้งคู่ หญิงสาวอีกคนผู้มาทีหลังทำทุกอย่างเพื่อให้ชายคนรักได้สมหวัง ความรักที่เสียสละให้แก่กันของทั้ง 4 คน จะเป็นอย่างไร งดงามเพียงใด ลองเข้ามาอ่านดูนะคะ
http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1392630
คืนถิ่น
บ้านท่าจีนเป็นชุมนุมชนใหญ่อยู่บริเวณอ่าวไทย มีทำเลเหมาะในการประมงและการพาณิชย์ มีฐานะเป็นเมืองท่าตลาดริมน้ำ จึงทำให้มีเรือสำเภาจีนมาติดต่อทำการค้าอยู่เสมอ มีทั้งพ่อค้าจากทางทะเลและในเมืองมาติดต่อค้าขายกันอย่างเนืองแน่น
ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา การค้าขายเป็นไปอย่างคึกคัก เรือสำเภาจากจีนจอดเทียบท่าเพื่อขนถ่ายสินค้า
"ช่วยด้วยเจ้าข้า ขโมยๆๆ" หญิงวัยกลางคนตะโกนโวยวายเสียงดังลั่น
ชายหนุ่มผู้ผ่านมาเห็นเหตุการณ์พอดีปรี่เข้ามาถาม "เกิดกระไรขึ้น"
"อ้ายขโมยมันวิ่งมาฉกถุงเงินฉันไป พ่อช่วยฉันหน่อยได้หรือไม่ มิฉะนั้นโดนหวายลงหลังเป็นแน่แท้" เหงื่อผุดขึ้นที่ใบหน้าด้วยความกังวลใจ กริ่งเกรงโทษที่จะได้รับ
"ป้ามิต้องกังวลไป ฉันจะตามไปเอาคืนมาให้จงได้ อ้ายโจรมันไปทิศใดรึ"
"ทางโน้นจ้าพ่อ เห็นหลังมันไวๆ" ปลายนิ้วชี้ไปที่หัวขโมยที่เพิ่งออกวิ่งไป
"ประเดี๋ยวฉันมา ป้ารออยู่ก่อนหนาอย่าเพิ่งไปไหน"
เขาวิ่งโจนทะยานตามหลังของหัวขโมยอย่างไม่ลดละ ผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาเพื่อจับจ่ายหาซื้อข้าวของต่างกระโดดหลบข้าง แหวกเป็นทางให้กับสองผู้ไล่ล่า "ขอโทษด้วยหนา พี่ป้าน้าอาทั้งหลาย ฉันรีบ" ร่างที่ปะทะเข้ากับผู้คนกล่าวขอโทษขอโพยแล้ววิ่งต่อไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าตัวเล็กวิ่งซอกซอนเข้าไปในฝูงชน เพียงสักพักร่างเล็กปราดเปรียวก็วิ่งลัดเลาะหายเข้าไปในตรอก "หายไปไหน ไวจริงเชียว" เสียงบ่นด้วยความหัวเสีย
ชายหนุ่มกวาดตามองโดยรอบไร้ซึ่งวี่แววเจ้าหัวขโมย จึงตัดสินใจเดินหันหลังกลับ แต่แล้วเสียงสบถที่ดังแว่วมา ทำให้เขาต้องวิ่งย้อนกลับไปดูในตรอกซึ่งมีซอกเล็กๆ แยกออกไปอีกที เจ้าหัวขโมยยืนหันหลังพร้อมถุงเงินในมือเหมือนกำลังชะเง้อมองอะไรอยู่ ชายหนุ่มเดินย่องเข้าไปอย่างแผ่วเบาจับตัวพร้อมกล่าวตำหนิ "ตัวเล็กตัวน้อย ริอาจเป็นขโมย มิกลัวโดนตัดมือรึ?"
"ปล่อยเดี๋ยวนี้! บอกให้ปล่อย" หนุ่มน้อยดิ้นรนสุดกำลังทั้งเตะทั้งถีบ
"ตัวเล็กฤทธิ์มากจริงนะ" มือแข็งแรงกำยำกอดรวบตัวเอาไว้เพื่อไม่ให้เจ้าหัวขโมยดิ้นไปได้
กอดปล้ำอยู่สักพักแต่แล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อหน้าอกที่ควรจะแบนราบกับให้ความรู้สึกอ่อนนุ่ม วงแขนคลายออกเล็กน้อยด้วยความไม่แน่ใจ ในขณะที่อยู่ในห้วงแห่งความคิดรอยเขี้ยวเล็กๆ ก็ฝังลงที่หลังมือเสียแล้ว
ชายหนุ่มสะบัดแขนออกด้วยความเจ็บปวด เจ้าหัวขโมยดิ้นหลุดออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความไวที่มีไม่แพ้กัน เขากระชากมือกลับไพร่หลังแล้วล๊อคคอ ความใกล้ทำให้ได้กลิ่นหอมจางๆ
"ทำไมถึงริเป็นโจร" ด้วยเวลานี้เขาแน่ใจแล้วว่าเจ้าหัวขโมยไม่ใช่หนุ่มน้อยแต่อย่างใด ร่างกายที่ให้สัมผัสเนียนนุ่ม กลิ่นหอมละมุนละไม ใบหน้าด้านข้างเผยให้เห็นถึงผิวเนียนละเอียดดั่งลูกผู้มีอันจะกินมากกว่าจะ เป็นโจร
"ฉันมิได้เป็นโจร" เสียงแข็งโต้เถียงไม่ลดละ
"มิเป็นโจรแล้วถุงเงินนี่คือกระไร"
"ตะกี้มีคนวิ่งมาชน มันทำตกเอาไว้" ร่างกายสะบัดดิ้นสุดกำลังแต่ก็ไม่อาจสู้แรงชายหนุ่มร่างกำยำได้
ชายหนุ่มอีกคนวิ่งเข้ามากระชากแขนชายหนุ่มคนแรกล้มลง "จะทำกระไร" หมัดที่กำลังเงื้อจะต่อยต้องชะงักลงเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
"พ่อเพิ่ม กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่รึ ทำไมไม่ส่งข่าวมา" มือยื่นออกไปฉุดดึงเพิ่มขึ้นมายืนด้วยความยินดีปรีดา
"ฉันอยากให้พ่อกับแม่ประหลาดใจ จึงไม่ได้แจ้งมาก่อน" สายตาเสมองไปยังสาวน้อยหน้ามนผู้ที่ดูคุ้นตา
"มีเรื่องกระไรกันรึ" ชายหนุ่มกล่าวแล้วมองหน้าที่ยับยู่ยี่ไม่สบอารมณ์ของสาวน้อยในคราบหนุ่มน้อย ที่ตอนนี้หน้าตาขะมุกขะมอมจากการดิ้นรนต่อสู้
"เข้าใจผิดกันเล็กน้อยหน่ะพี่พร้อม" ปากบางได้รูปบุ้ยใบ้ไปทางคนที่ทำหน้ามุ่ยเป็นเชิงถามว่าเป็นผู้ใด
"จำแม่เฟื่องได้ไหมพ่อเพิ่ม ตอนนี้โกนจุกโตเป็นสาวแล้วหนา" น้ำเสียงบ่งบอกถึงความเอ็นดู
"อ๋อ แม่เฟื่องจอมซุกซนนี่เอง พี่ต้องขอโทษเจ้าที่เข้าใจผิด"
หญิงสาวทำหน้าตาปั้นปึง นิ่งเฉยไม่โต้ตอบด้วยยังไม่หายโกรธ
"แล้วนึกพิเรนทร์กระไรถึงแต่งตัวเยี่ยงนี้รึ"
เพิ่มจ้องมองสาวน้อยตรงหน้าที่นุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาลเข้ม สวมเสื้อสีขาวคอกลม คาดเอวด้วยผ้าขาวม้า โพกหัวด้วยผ้าลายเดียวกับผ้าคาดเอวเพื่อเก็บปอยผม ปิดบังความเป็นเด็กสาวรุ่นดรุณี แล้วกลายสภาพเป็นหนุ่มน้อยวัยละอ่อนหน้ามนแทน
"แม่เฟื่องถึงจะโกนจุกแล้วก็ยังซุกซนเป็นเด็กๆ อยากจะออกไปเที่ยวเล่น แม่น้าบ่นปวดหัววันละหลายเพลา เกรงว่าจักไม่งามเพราะแม่เฟื่องโตเป็นสาวแล้ว แม่เลยบ่นกระปอดกระแปดไม่อยากเป็นหญิงแล้ว ใคร่เป็นชายมากกว่า เลยแต่งตัวพิเรนทร์เยี่ยงนี้แหละ ฮ่าๆๆๆๆ"
หญิงสาวผู้โดนพาดพิงทำตาเขียวใส่ หน้าตางอง้ำบอกบุญไม่รับ
"ก็มันจริงไม่ใช่รึ ทีตะก่อนฉันจักไปไหนมาไหนไม่เห็นมีปัญหากระไร บัดเดี๋ยวนี้แม่ห้ามนู่นห้ามนี่วุ่นวายเสียยกใหญ่ เป็นหญิงไม่เห็นสนุกเลย"
"เออ ทำพูดเข้า นี่ถ้าแม่น้ามาได้ยินคงลมออกหูทีเดียวเชียว" เสียงหัวเราะชอบใจด้วยความสนิทสนมเอ็นดู
"แล้วเจ้าไม่ดีใจดอกรึ ที่ท่านแม่ทัพของเจ้ากลับมาแล้ว" พ่อพร้อมเสมองไปยังชายหนุ่มที่เคยเป็นหัวหน้าของบรรดาลูกบ่าวไพร่ในบ้านและ ข้างบ้าน
"ฉันไม่ดีใจดอก ตอนไปก็ไม่ลา ตอนกลับมาก็จำกันไม่ได้" น้ำเสียงบ่งบอกถึงความน้อยอกน้อยใจ
"เจ้าโกรธพี่ดอกรึ อย่าโกรธไปเลยหนาพี่มีของเล่นมาฝาก" เพิ่มเริ่มจำเค้าหน้าลูกสมุนคนสนิทได้เลาๆ แล้ว
"ฉันโตแล้ว ไม่ใช่เด็ก ไม่เล่นของเล่นดอก" หน้าตาง้ำงอเดินสะบัดออกไป
"ถ้าจะโตแล้วจริงๆ ถึงได้แสนงอนนัก"
เสียงบ่นอุบอิบที่ดังไปถึงหูพร้อมจนทำให้เขาต้องหัวเราะออกมา
"ก็ท่านแม่ทัพใหญ่ไปไม่ส่งข่าวคราวตั้ง 3 ปี ทหารเอกก็ได้แต่ชะเง้อคอมองที่ท่าน้ำทุกวัน จะไม่ให้โกรธได้เยี่ยงไร"
คล้อยหลังเพียงไม่นานหญิงสาวก็เดินย้อนกลับมาหาคนทั้งคู่ แววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธยังไม่จางหาย หล่อนดึงมือเพิ่มแล้วกระแทกถุงเงินลงบนฝ่ามือก่อนจะกล่าวว่า "ฉันไม่ได้เป็นโจร" แล้วเดินปึงปังจากไป
"เออแหน่ะ ท่าทางจักโกรธยังไม่หายจริงๆ" สายตาจ้องมองตามหลังทหารเอกคนสนิท รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากแสดงถึงความเอ็นดู
"พี่พร้อมรีบตามไปเถิด ประเดี๋ยวจักเกิดเรื่องเสียเปล่าๆ เดี๋ยวฉันต้องเอาถุงเงินไปคืนเจ้าของก่อน"
"ไปเถอะพ่อ เดี๋ยวพี่จักไปรออยู่ที่ร้าน สั่งความสักประเดี๋ยว"
พร้อมมีงานด่วนที่จะต้องสะสางจึงฝากเพิ่มไปส่งเฟื่องที่บ้านแทนตน เวลา ผ่านไป 3 ปี สิ่งแวดล้อมบ้านเรือนโดยรอบยังเหมือนเดิม มีเพียงแต่คนที่เปลี่ยนแปลง เค้าหน้าของเด็กน้อยทาบทับลงบนหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้เติบใหญ่ขึ้น แค่เพียงชั่วเวลาไม่กี่ปีจากเด็กน้อยกลายเป็นสาวรุ่นดรุณีผู้มีใบหน้าหมดจด นวลผ่อง แม้สรีระร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ร่องรอยของความซุกซนดื้อรั้นยังคงปรากฎอยู่ไม่จาง
"ยังโกรธพี่อยู่อีกรึ"
"ฉันคงไม่มีสิทธิไปโกรธใครดอก ไม่ได้สลักสำคัญอันใดต่อผู้ใด" หน้าตากระเหง้ากระหงอดดั่งม้าหมากรุก
"เออแหน่ะ สำบัดสำนวนจริงเชียว พี่ไม่ได้มาลาเจ้าเพราะคุณลุงท่านต้องรีบเดินทางไปราชการ ท่านจะเอาพี่ไปฝากกับครูดาบมากฝีมือท่านหนึ่ง แม้แต่ข้าวของก็ไม่ได้เตรียมกระไรไปมากนัก อย่าโกรธพี่เลยนะ พี่มีของมาฝากเจ้า"
เพิ่มล้วงมือลงไปในห่อผ้าควานหาของบางอย่าง แล้วหยิบตุ๊กตาไม้แกะสลักหยาบๆ มีหัวกลมมนปราศจากรายละเอียดบนหน้า แขน ขา ราบเรียบปราศจากนิ้วมือนิ้วเท้า เขายื่นส่งไปให้เฟื่อง
หญิงสาวยื่นมือไปรับด้วยความสนใจแต่ก็ยังปั้นหน้าอยู่เช่นเดิมแล้วกล่าวว่า "ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่เล่นตุ๊กตาดอก"
เพิ่มควานหาของบางอย่างอีกครั้ง ดาบไม้สั้นขนาดเหมาะมือ ยังไม่ทันที่จะยื่นส่งมือเรียวเล็กก็คว้าหมับไปทันที
"ของฉันรึ" รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นที่มุมปากอย่างลืมตัว ความขุ่นข้องที่มีจางหายลงไป
ชายหนุ่มอดรู้สึกขบขันปนเอ็นดูไม่ได้ แม้หล่อนจะโตเป็นสาวแล้ว แต่ความทะโมนซุกซนยังไม่เปลี่ยน จะว่าไปแล้วความผิดประการนี้สาเหตุมาจากเขานั่นเอง เพิ่มถอนหายใจแล้วรู้สึกผิด
"จะไม่ขอบใจพี่หน่อยรึ"
"ฉันขอขอบใจพ่อเพิ่มที่มีแก่ใจจำสัญญาได้"
คำพูดห้วนๆ น้ำเสียงฟังดูห่างเหินจนทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกล่าว "บัดเดี๋ยวนี้พี่เป็นคนแปลกหน้าไปแล้วรึ ทำไมไม่เรียกพี่เพิ่มแล้วก็เฟื่องดังเดิม"
เฟื่องรู้สึกหน้าเสียเมื่อน้ำเสียงที่ตัดพ้อจากชายหนุ่มทำให้รู้สึกปั่นป่วน หล่อนเคารพรักนับถือเขาดั่งพี่ชาย สนิทสนมเล่นหัวกันมาแต่เล็กแต่น้อย แต่จู่ๆ ชายหนุ่มกลับหายไปโดยไม่ร่ำลา หล่อนทั้งน้อยใจและเสียใจยิ่งนัก
"ไม่เป็นไร พี่ไม่อยากบังคับ พี่ผิดเองที่ไม่มาลาเจ้า ของฝากนั้นถือว่าแทนคำขอโทษแล้วกัน" น้ำเสียงราบเรียบ สีหน้านิ่งเฉย
หญิงสาวอดที่จะใจเสียไม่ได้จึงรีบกล่าวออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ "เออ...เฟื่องต้องขอโทษพี่เพิ่มด้วยจะ เฟื่องเพียงแต่น้อยใจเท่านั้นเอง อย่าโกรธน้องเลยนะ"
เพิ่มยิ้มที่มุมปากในเมื่อไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผลก็ต้องใช้ไม้แข็งนี่แหละ "ของฝากถูกใจหรือไม่"
"ถูกใจมากจะ เฟื่องอยากได้ดาบไม้มาตั้งนาน แม่ก็บ่นหาว่าเป็นหญิงใยอยากเล่นดาบไม้ ทำไมไม่ไปเล่นหม้อข้าวหม้อแกงพิลึกคน เฟื่องจะอยากเล่นทำไมไอ้หม้อแกงนี่ ก็เป็นทหารหาญก็ต้องออกไปรบจริงไหมพี่เพิ่ม" หน้าตากลับบึ้งตึงดังเดิมเมื่อนึกถึงเรื่องที่ต่อล้อต่อเถียงกับผู้เป็นแม่
ชายหนุ่มรู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันที การละเล่นที่เขาเคยเล่นกับเฟื่องสมัยเด็กมันกลับฝังจิตฝังใจของสาวน้อยตรงหน้าไปได้ เขาแต่งตั้งตัวเองเป็นแม่ทัพใหญ่ออกศึกปราบศัตรู โดยแต่งตั้งเฟื่องเป็นทหารเอกคู่ใจร่วมน้ำสัตยาบันรบเคียงบ่าเคียงไหล่ เขาฝึกปรือการปีนต้นไม้ ยิงนก ตกปลา หรือแม้กระทั่งการดำน้ำ จนทหารเอกมีฝีมือกล้าแข็งยากจะหาผู้ใดเทียบได้
"เอาเป็นว่าตอนนี้เจ้าโตเป็นสาวแล้ว ดาบเป็นเรื่องของชาย ส่วนเจ้าเป็นหญิงควรจะฝึกการเรือนไว้ดีกว่า"
"แต่..." เฟื่องอ้าปากจะกล่าวต่อแต่ต้องชะงักไปเมื่อมีคำพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
"ไม่มีแต่ ตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจ แล้ววันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจ" น้ำเสียงดุดัน นัยตาแข็งกร้าวเสมองมาทางดรุณีน้อย
"เอาหละถึงบ้านเจ้าแล้ว พี่คงไม่ขึ้นไปที่เรือน เอาไว้พี่สะสางธุระเรียบร้อยแล้วจะมากราบน้าท่านทั้งสองแล้วกัน"
หญิงสาวเดินจากไปด้วยหน้า ตาบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ ไม่หันกลับมากล่าวร่ำลาใดๆ เพียงคล้อยหลังไปไม่นานเสียงบ่นเอ็ดตะโรของผู้เป็นนายหญิงของบ้านก็ดังลั่น บ่งบอกถึงความเอือมระอาผู้เป็นบุตรสาวยิ่งนัก เพิ่มอมยิ้มพร้อมส่ายหัวแล้วเดินกลับเรือนของตนที่อยู่ไม่ห่างเท่าไหร่นัก
จอมใจจอมขวัญ(พีเรียด) ตอนที่ 1
ข้อมูลเบื้องต้น
เรื่องเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นช่วงที่ไทยเกิดวิกฤตเป็นอย่างมากเกือบจะเสียบ้านเสียเมืองไป มีทั้งศึกเหนือเสือใต้ ศึกจากแดนไกล แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของ ร.5 ทำให้สยามผ่านพ้นวิกฤตครั้งนั้นมาได้ด้วยดี เนื้อหาจะอยู่ช่วงก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์ รศ.112 คือช่วงปราบฮ่อซึ่งทำให้บานปลายจนเกิดเป็นวิกฤติ รศ.112 เป็นนิยายรักอิงประวัติศาสตร์ รักและรบ ไม่ว่าจะเป็นการรักชาติ รักพ่อแม่พี่น้อง รักของคู่รัก หรือแม้กระทั่งรักต่อพี่น้องร่วมชาติ
เนื้อเรื่อง หญิงสาวคนหนึ่งที่มีใจผูกพันกับชายคนรักตั้งแต่เด็ก ด้วยความรักชาติ ภาระและหน้าที่ ทำให้เขาเลือกที่จะไปรบมากกว่าความสุขส่วนตน ชายอีกผู้หนึ่งรักและผูกพันกับหญิงสาวเช่นกันจนเสียสละยอมหลีกทางให้ทั้งคู่ หญิงสาวอีกคนผู้มาทีหลังทำทุกอย่างเพื่อให้ชายคนรักได้สมหวัง ความรักที่เสียสละให้แก่กันของทั้ง 4 คน จะเป็นอย่างไร งดงามเพียงใด ลองเข้ามาอ่านดูนะคะ
http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1392630
คืนถิ่น
บ้านท่าจีนเป็นชุมนุมชนใหญ่อยู่บริเวณอ่าวไทย มีทำเลเหมาะในการประมงและการพาณิชย์ มีฐานะเป็นเมืองท่าตลาดริมน้ำ จึงทำให้มีเรือสำเภาจีนมาติดต่อทำการค้าอยู่เสมอ มีทั้งพ่อค้าจากทางทะเลและในเมืองมาติดต่อค้าขายกันอย่างเนืองแน่น
ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา การค้าขายเป็นไปอย่างคึกคัก เรือสำเภาจากจีนจอดเทียบท่าเพื่อขนถ่ายสินค้า
"ช่วยด้วยเจ้าข้า ขโมยๆๆ" หญิงวัยกลางคนตะโกนโวยวายเสียงดังลั่น
ชายหนุ่มผู้ผ่านมาเห็นเหตุการณ์พอดีปรี่เข้ามาถาม "เกิดกระไรขึ้น"
"อ้ายขโมยมันวิ่งมาฉกถุงเงินฉันไป พ่อช่วยฉันหน่อยได้หรือไม่ มิฉะนั้นโดนหวายลงหลังเป็นแน่แท้" เหงื่อผุดขึ้นที่ใบหน้าด้วยความกังวลใจ กริ่งเกรงโทษที่จะได้รับ
"ป้ามิต้องกังวลไป ฉันจะตามไปเอาคืนมาให้จงได้ อ้ายโจรมันไปทิศใดรึ"
"ทางโน้นจ้าพ่อ เห็นหลังมันไวๆ" ปลายนิ้วชี้ไปที่หัวขโมยที่เพิ่งออกวิ่งไป
"ประเดี๋ยวฉันมา ป้ารออยู่ก่อนหนาอย่าเพิ่งไปไหน"
เขาวิ่งโจนทะยานตามหลังของหัวขโมยอย่างไม่ลดละ ผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาเพื่อจับจ่ายหาซื้อข้าวของต่างกระโดดหลบข้าง แหวกเป็นทางให้กับสองผู้ไล่ล่า "ขอโทษด้วยหนา พี่ป้าน้าอาทั้งหลาย ฉันรีบ" ร่างที่ปะทะเข้ากับผู้คนกล่าวขอโทษขอโพยแล้ววิ่งต่อไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าตัวเล็กวิ่งซอกซอนเข้าไปในฝูงชน เพียงสักพักร่างเล็กปราดเปรียวก็วิ่งลัดเลาะหายเข้าไปในตรอก "หายไปไหน ไวจริงเชียว" เสียงบ่นด้วยความหัวเสีย
ชายหนุ่มกวาดตามองโดยรอบไร้ซึ่งวี่แววเจ้าหัวขโมย จึงตัดสินใจเดินหันหลังกลับ แต่แล้วเสียงสบถที่ดังแว่วมา ทำให้เขาต้องวิ่งย้อนกลับไปดูในตรอกซึ่งมีซอกเล็กๆ แยกออกไปอีกที เจ้าหัวขโมยยืนหันหลังพร้อมถุงเงินในมือเหมือนกำลังชะเง้อมองอะไรอยู่ ชายหนุ่มเดินย่องเข้าไปอย่างแผ่วเบาจับตัวพร้อมกล่าวตำหนิ "ตัวเล็กตัวน้อย ริอาจเป็นขโมย มิกลัวโดนตัดมือรึ?"
"ปล่อยเดี๋ยวนี้! บอกให้ปล่อย" หนุ่มน้อยดิ้นรนสุดกำลังทั้งเตะทั้งถีบ
"ตัวเล็กฤทธิ์มากจริงนะ" มือแข็งแรงกำยำกอดรวบตัวเอาไว้เพื่อไม่ให้เจ้าหัวขโมยดิ้นไปได้
กอดปล้ำอยู่สักพักแต่แล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อหน้าอกที่ควรจะแบนราบกับให้ความรู้สึกอ่อนนุ่ม วงแขนคลายออกเล็กน้อยด้วยความไม่แน่ใจ ในขณะที่อยู่ในห้วงแห่งความคิดรอยเขี้ยวเล็กๆ ก็ฝังลงที่หลังมือเสียแล้ว
ชายหนุ่มสะบัดแขนออกด้วยความเจ็บปวด เจ้าหัวขโมยดิ้นหลุดออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความไวที่มีไม่แพ้กัน เขากระชากมือกลับไพร่หลังแล้วล๊อคคอ ความใกล้ทำให้ได้กลิ่นหอมจางๆ
"ทำไมถึงริเป็นโจร" ด้วยเวลานี้เขาแน่ใจแล้วว่าเจ้าหัวขโมยไม่ใช่หนุ่มน้อยแต่อย่างใด ร่างกายที่ให้สัมผัสเนียนนุ่ม กลิ่นหอมละมุนละไม ใบหน้าด้านข้างเผยให้เห็นถึงผิวเนียนละเอียดดั่งลูกผู้มีอันจะกินมากกว่าจะ เป็นโจร
"ฉันมิได้เป็นโจร" เสียงแข็งโต้เถียงไม่ลดละ
"มิเป็นโจรแล้วถุงเงินนี่คือกระไร"
"ตะกี้มีคนวิ่งมาชน มันทำตกเอาไว้" ร่างกายสะบัดดิ้นสุดกำลังแต่ก็ไม่อาจสู้แรงชายหนุ่มร่างกำยำได้
ชายหนุ่มอีกคนวิ่งเข้ามากระชากแขนชายหนุ่มคนแรกล้มลง "จะทำกระไร" หมัดที่กำลังเงื้อจะต่อยต้องชะงักลงเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
"พ่อเพิ่ม กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่รึ ทำไมไม่ส่งข่าวมา" มือยื่นออกไปฉุดดึงเพิ่มขึ้นมายืนด้วยความยินดีปรีดา
"ฉันอยากให้พ่อกับแม่ประหลาดใจ จึงไม่ได้แจ้งมาก่อน" สายตาเสมองไปยังสาวน้อยหน้ามนผู้ที่ดูคุ้นตา
"มีเรื่องกระไรกันรึ" ชายหนุ่มกล่าวแล้วมองหน้าที่ยับยู่ยี่ไม่สบอารมณ์ของสาวน้อยในคราบหนุ่มน้อย ที่ตอนนี้หน้าตาขะมุกขะมอมจากการดิ้นรนต่อสู้
"เข้าใจผิดกันเล็กน้อยหน่ะพี่พร้อม" ปากบางได้รูปบุ้ยใบ้ไปทางคนที่ทำหน้ามุ่ยเป็นเชิงถามว่าเป็นผู้ใด
"จำแม่เฟื่องได้ไหมพ่อเพิ่ม ตอนนี้โกนจุกโตเป็นสาวแล้วหนา" น้ำเสียงบ่งบอกถึงความเอ็นดู
"อ๋อ แม่เฟื่องจอมซุกซนนี่เอง พี่ต้องขอโทษเจ้าที่เข้าใจผิด"
หญิงสาวทำหน้าตาปั้นปึง นิ่งเฉยไม่โต้ตอบด้วยยังไม่หายโกรธ
"แล้วนึกพิเรนทร์กระไรถึงแต่งตัวเยี่ยงนี้รึ"
เพิ่มจ้องมองสาวน้อยตรงหน้าที่นุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาลเข้ม สวมเสื้อสีขาวคอกลม คาดเอวด้วยผ้าขาวม้า โพกหัวด้วยผ้าลายเดียวกับผ้าคาดเอวเพื่อเก็บปอยผม ปิดบังความเป็นเด็กสาวรุ่นดรุณี แล้วกลายสภาพเป็นหนุ่มน้อยวัยละอ่อนหน้ามนแทน
"แม่เฟื่องถึงจะโกนจุกแล้วก็ยังซุกซนเป็นเด็กๆ อยากจะออกไปเที่ยวเล่น แม่น้าบ่นปวดหัววันละหลายเพลา เกรงว่าจักไม่งามเพราะแม่เฟื่องโตเป็นสาวแล้ว แม่เลยบ่นกระปอดกระแปดไม่อยากเป็นหญิงแล้ว ใคร่เป็นชายมากกว่า เลยแต่งตัวพิเรนทร์เยี่ยงนี้แหละ ฮ่าๆๆๆๆ"
หญิงสาวผู้โดนพาดพิงทำตาเขียวใส่ หน้าตางอง้ำบอกบุญไม่รับ
"ก็มันจริงไม่ใช่รึ ทีตะก่อนฉันจักไปไหนมาไหนไม่เห็นมีปัญหากระไร บัดเดี๋ยวนี้แม่ห้ามนู่นห้ามนี่วุ่นวายเสียยกใหญ่ เป็นหญิงไม่เห็นสนุกเลย"
"เออ ทำพูดเข้า นี่ถ้าแม่น้ามาได้ยินคงลมออกหูทีเดียวเชียว" เสียงหัวเราะชอบใจด้วยความสนิทสนมเอ็นดู
"แล้วเจ้าไม่ดีใจดอกรึ ที่ท่านแม่ทัพของเจ้ากลับมาแล้ว" พ่อพร้อมเสมองไปยังชายหนุ่มที่เคยเป็นหัวหน้าของบรรดาลูกบ่าวไพร่ในบ้านและ ข้างบ้าน
"ฉันไม่ดีใจดอก ตอนไปก็ไม่ลา ตอนกลับมาก็จำกันไม่ได้" น้ำเสียงบ่งบอกถึงความน้อยอกน้อยใจ
"เจ้าโกรธพี่ดอกรึ อย่าโกรธไปเลยหนาพี่มีของเล่นมาฝาก" เพิ่มเริ่มจำเค้าหน้าลูกสมุนคนสนิทได้เลาๆ แล้ว
"ฉันโตแล้ว ไม่ใช่เด็ก ไม่เล่นของเล่นดอก" หน้าตาง้ำงอเดินสะบัดออกไป
"ถ้าจะโตแล้วจริงๆ ถึงได้แสนงอนนัก"
เสียงบ่นอุบอิบที่ดังไปถึงหูพร้อมจนทำให้เขาต้องหัวเราะออกมา
"ก็ท่านแม่ทัพใหญ่ไปไม่ส่งข่าวคราวตั้ง 3 ปี ทหารเอกก็ได้แต่ชะเง้อคอมองที่ท่าน้ำทุกวัน จะไม่ให้โกรธได้เยี่ยงไร"
คล้อยหลังเพียงไม่นานหญิงสาวก็เดินย้อนกลับมาหาคนทั้งคู่ แววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธยังไม่จางหาย หล่อนดึงมือเพิ่มแล้วกระแทกถุงเงินลงบนฝ่ามือก่อนจะกล่าวว่า "ฉันไม่ได้เป็นโจร" แล้วเดินปึงปังจากไป
"เออแหน่ะ ท่าทางจักโกรธยังไม่หายจริงๆ" สายตาจ้องมองตามหลังทหารเอกคนสนิท รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากแสดงถึงความเอ็นดู
"พี่พร้อมรีบตามไปเถิด ประเดี๋ยวจักเกิดเรื่องเสียเปล่าๆ เดี๋ยวฉันต้องเอาถุงเงินไปคืนเจ้าของก่อน"
"ไปเถอะพ่อ เดี๋ยวพี่จักไปรออยู่ที่ร้าน สั่งความสักประเดี๋ยว"
พร้อมมีงานด่วนที่จะต้องสะสางจึงฝากเพิ่มไปส่งเฟื่องที่บ้านแทนตน เวลา ผ่านไป 3 ปี สิ่งแวดล้อมบ้านเรือนโดยรอบยังเหมือนเดิม มีเพียงแต่คนที่เปลี่ยนแปลง เค้าหน้าของเด็กน้อยทาบทับลงบนหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้เติบใหญ่ขึ้น แค่เพียงชั่วเวลาไม่กี่ปีจากเด็กน้อยกลายเป็นสาวรุ่นดรุณีผู้มีใบหน้าหมดจด นวลผ่อง แม้สรีระร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ร่องรอยของความซุกซนดื้อรั้นยังคงปรากฎอยู่ไม่จาง
"ยังโกรธพี่อยู่อีกรึ"
"ฉันคงไม่มีสิทธิไปโกรธใครดอก ไม่ได้สลักสำคัญอันใดต่อผู้ใด" หน้าตากระเหง้ากระหงอดดั่งม้าหมากรุก
"เออแหน่ะ สำบัดสำนวนจริงเชียว พี่ไม่ได้มาลาเจ้าเพราะคุณลุงท่านต้องรีบเดินทางไปราชการ ท่านจะเอาพี่ไปฝากกับครูดาบมากฝีมือท่านหนึ่ง แม้แต่ข้าวของก็ไม่ได้เตรียมกระไรไปมากนัก อย่าโกรธพี่เลยนะ พี่มีของมาฝากเจ้า"
เพิ่มล้วงมือลงไปในห่อผ้าควานหาของบางอย่าง แล้วหยิบตุ๊กตาไม้แกะสลักหยาบๆ มีหัวกลมมนปราศจากรายละเอียดบนหน้า แขน ขา ราบเรียบปราศจากนิ้วมือนิ้วเท้า เขายื่นส่งไปให้เฟื่อง
หญิงสาวยื่นมือไปรับด้วยความสนใจแต่ก็ยังปั้นหน้าอยู่เช่นเดิมแล้วกล่าวว่า "ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่เล่นตุ๊กตาดอก"
เพิ่มควานหาของบางอย่างอีกครั้ง ดาบไม้สั้นขนาดเหมาะมือ ยังไม่ทันที่จะยื่นส่งมือเรียวเล็กก็คว้าหมับไปทันที
"ของฉันรึ" รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นที่มุมปากอย่างลืมตัว ความขุ่นข้องที่มีจางหายลงไป
ชายหนุ่มอดรู้สึกขบขันปนเอ็นดูไม่ได้ แม้หล่อนจะโตเป็นสาวแล้ว แต่ความทะโมนซุกซนยังไม่เปลี่ยน จะว่าไปแล้วความผิดประการนี้สาเหตุมาจากเขานั่นเอง เพิ่มถอนหายใจแล้วรู้สึกผิด
"จะไม่ขอบใจพี่หน่อยรึ"
"ฉันขอขอบใจพ่อเพิ่มที่มีแก่ใจจำสัญญาได้"
คำพูดห้วนๆ น้ำเสียงฟังดูห่างเหินจนทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกล่าว "บัดเดี๋ยวนี้พี่เป็นคนแปลกหน้าไปแล้วรึ ทำไมไม่เรียกพี่เพิ่มแล้วก็เฟื่องดังเดิม"
เฟื่องรู้สึกหน้าเสียเมื่อน้ำเสียงที่ตัดพ้อจากชายหนุ่มทำให้รู้สึกปั่นป่วน หล่อนเคารพรักนับถือเขาดั่งพี่ชาย สนิทสนมเล่นหัวกันมาแต่เล็กแต่น้อย แต่จู่ๆ ชายหนุ่มกลับหายไปโดยไม่ร่ำลา หล่อนทั้งน้อยใจและเสียใจยิ่งนัก
"ไม่เป็นไร พี่ไม่อยากบังคับ พี่ผิดเองที่ไม่มาลาเจ้า ของฝากนั้นถือว่าแทนคำขอโทษแล้วกัน" น้ำเสียงราบเรียบ สีหน้านิ่งเฉย
หญิงสาวอดที่จะใจเสียไม่ได้จึงรีบกล่าวออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ "เออ...เฟื่องต้องขอโทษพี่เพิ่มด้วยจะ เฟื่องเพียงแต่น้อยใจเท่านั้นเอง อย่าโกรธน้องเลยนะ"
เพิ่มยิ้มที่มุมปากในเมื่อไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผลก็ต้องใช้ไม้แข็งนี่แหละ "ของฝากถูกใจหรือไม่"
"ถูกใจมากจะ เฟื่องอยากได้ดาบไม้มาตั้งนาน แม่ก็บ่นหาว่าเป็นหญิงใยอยากเล่นดาบไม้ ทำไมไม่ไปเล่นหม้อข้าวหม้อแกงพิลึกคน เฟื่องจะอยากเล่นทำไมไอ้หม้อแกงนี่ ก็เป็นทหารหาญก็ต้องออกไปรบจริงไหมพี่เพิ่ม" หน้าตากลับบึ้งตึงดังเดิมเมื่อนึกถึงเรื่องที่ต่อล้อต่อเถียงกับผู้เป็นแม่
ชายหนุ่มรู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันที การละเล่นที่เขาเคยเล่นกับเฟื่องสมัยเด็กมันกลับฝังจิตฝังใจของสาวน้อยตรงหน้าไปได้ เขาแต่งตั้งตัวเองเป็นแม่ทัพใหญ่ออกศึกปราบศัตรู โดยแต่งตั้งเฟื่องเป็นทหารเอกคู่ใจร่วมน้ำสัตยาบันรบเคียงบ่าเคียงไหล่ เขาฝึกปรือการปีนต้นไม้ ยิงนก ตกปลา หรือแม้กระทั่งการดำน้ำ จนทหารเอกมีฝีมือกล้าแข็งยากจะหาผู้ใดเทียบได้
"เอาเป็นว่าตอนนี้เจ้าโตเป็นสาวแล้ว ดาบเป็นเรื่องของชาย ส่วนเจ้าเป็นหญิงควรจะฝึกการเรือนไว้ดีกว่า"
"แต่..." เฟื่องอ้าปากจะกล่าวต่อแต่ต้องชะงักไปเมื่อมีคำพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
"ไม่มีแต่ ตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจ แล้ววันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจ" น้ำเสียงดุดัน นัยตาแข็งกร้าวเสมองมาทางดรุณีน้อย
"เอาหละถึงบ้านเจ้าแล้ว พี่คงไม่ขึ้นไปที่เรือน เอาไว้พี่สะสางธุระเรียบร้อยแล้วจะมากราบน้าท่านทั้งสองแล้วกัน"
หญิงสาวเดินจากไปด้วยหน้า ตาบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ ไม่หันกลับมากล่าวร่ำลาใดๆ เพียงคล้อยหลังไปไม่นานเสียงบ่นเอ็ดตะโรของผู้เป็นนายหญิงของบ้านก็ดังลั่น บ่งบอกถึงความเอือมระอาผู้เป็นบุตรสาวยิ่งนัก เพิ่มอมยิ้มพร้อมส่ายหัวแล้วเดินกลับเรือนของตนที่อยู่ไม่ห่างเท่าไหร่นัก