จอมใจจอมขวัญ ตอนที่ 10

กระทู้สนทนา


ตอนที่ 1-9
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



          ลมพัดโชยกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ที่ปลูกอยู่โดยรอบตลบอบอวล แสงแดดยามบ่ายอ่อนๆ ส่องลงมายังร่างบางที่นั่งร้อยมาลัยอยู่ตรงชานเรือน ระเบียงโปร่งกว้างตีด้วยไม้ระแนงซีกห่างๆ ที่มองออกไปเห็นด้านนอก

          สายตาเหม่อมองทอดยาวออกไป จับจ้องอยู่ที่ดงกล้วยเขียวครึ้ม แล้วใจสะท้านหวั่นไหว ด้วยคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งก่อน

          ดวงตาสองคู่สอดประสานจ้องมองกัน ดั่งจะสื่อถึงความนัย ทำให้หญิงสาวหลบสายตาด้วยความสะเทิ้นอาย หัวใจหวั่นไหวเต้นรัว อ้อมแขนที่แข็งแรงดึงร่างบางมากอดรัดแนบสนิท  หน้านวลพิงซบกับอกกว้าง ได้ยินเสียงหัวใจที่ร่ำร้องไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

          ภาพมโนในความนึกคิดทำให้ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย

          “แม่เฟื่อง...แม่เฟื่อง นั่งเหม่อกระไรรึ แล้วทำไมหน้าแดงเยี่ยงนั้น หรือว่าไม่สบาย?”  มือที่เอื้อมมาจับที่ต้นแขนเขย่าเรียก แล้วเลื่อนขึ้นไปแตะที่หน้าผาก

          หญิงสาวสะดุ้งตกใจออกจากภวังค์ แล้วกล่าวตอบ “เปล่าจ้ะ สงสัยอากาศคงจะร้อนกระมังจ้ะแม่”

          “แล้วหล่อนไปนั่งตากแดดทำกระไร เข้าไปนั่งในร่มนู่นไป” มือชี้ไปด้านในด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว

          “ฉันไม่เป็นกระไรดอกจ้ะ นั่งตรงนี้ลมพัดเย็นดี” ดวงหน้าที่แดงก่ำดั่งลูกตำลึงก้มหน้าก้มตาร้อยยมาลัย

         ผู้เป็นมารดาถอนหายใจด้วยความระเหี่ยใจ มาลัยของบุตรสาวบิดเบี้ยวไปมาไม่ได้รูป “มาลัยถวายพระ ตั้งใจร้อยหน่อยสิแม่เฟื่อง ไม่ใช่ร้อยกันลวกๆ บิดไปบิดมา มันไม่งาม”

         “จ้ะ” แม่เฟื่องรับคำ แล้วใช้มือบิดพวงมาลัยที่ร้อยอยู่ในเข็มเล่มยาวให้เข้าที่ แต่ด้วยความแรงของน้ำหนักมือทำให้กลีบดอกช้ำร่วงหล่นลงมาบนพื้น

         เฮ้อ! นางจวงผู้เป็นมารดาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมอันใด มีลูกสาวคนเดียวก็ กระโดกกระเดกดั่งม้าดีดกะโหลก  งานบ้านงานเรือนรึ จะหยิบจับอันใดก็แตกหักเสียหาย นึกขึ้นแล้วก็สะท้อนใจ

         ถึงแม้ตระกูลของหล่อนไม่ใช่ขุนน้ำขุนนาง   แต่ก็ถือว่าไม่ได้ด้อย ด้วยมีเงินทองทรัพย์ศฤงคาร  เป็นพ่อค้าคหบดี มีคนนับหน้าถือตา บุตรสาวของตนก็ถือเป็นหญิงที่เพียบพร้อมคนหนึ่ง ยกเว้นก็แต่เรื่องงานบ้านงานเรือนนี่แหละที่น่าหนักใจ

         ทำไมแม่เฟื่องไม่เกิดเป็นชายเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป  ด้วยมีไหวพริบเฉลียวฉลาด อ่าน เขียนรึก็คล่องแคล่ว ช่วยงานจดบัญชีสินค้าผู้เป็นบิดาได้มากโข แต่หาใช่คุณสมบัติของกุลสตรีไม่ คิดได้ดังนั้นนนางจวงจึงดึงชายผ้าแถบขึ้นมาซับหัวตา แล้วทอดถอนใจ

         “แม่เฟื่อง ร้อยมาลัยเสร็จแล้ว แม่วานเจ้าเอาสาลี่ไปให้ป้านวลหน่อยหนา เพิ่งได้มาจากเรือสำเภาจีนที่มาขึ้นท่าเมื่อวาน สดเชียว”

          นางจวงลากเชี่ยนหมากไม้ฝั่งมุกลายวิจิตรมาไว้ตรงหน้า แล้วหยิบมีดเล่มเล็กมาเจียนหมาก ใบพลูสีเขียวสดถูกป้ายด้วยปูนแดง ตามด้วยยาฉุน เสร็จแล้วจึงจีบพลูเป็นรูปกรวย ส่งเข้าปากกัดเป็นคำ เคี้ยวพร้อมหมากชิ้นเล็กที่เจียนไว้ เมื่อเคี้ยวแหลกแล้วจึงลากกระโถนข้างตัวมาบ้วนทิ้ง แล้วหยิบผ้ามาซับปาก

          สาลี่ลูกโตสีเหลืองนวลถูกจัดวางในตระกร้าสวยงาม แล้วยื่นส่งให้บุตรสาว พวงมาลัยที่เพิ่งร้อยเสร็จถูกวางไว้ในกระจาด แล้วยื่นมือไปรับของจากมารดา

         “ถือดีๆ หละ อย่าให้ช้ำ”  แม่จวงกำชับด้วยรู้นิสัยความซุ่มซ่ามของบุตรสาวเป็นอย่างดี

        “โถ! แม่ก็สั่งหยั่งกับฉันเป็นเด็กเล็กๆ ฉันโตแล้วหนา” แม่เฟื่องทำหน้ามุ่ย รู้สึกน้อยใจมารดา

        “ถ้าโตแล้วจริงดั่งว่า เจ้าควรจะสำรวมกิริยามากกว่านี้ ที่แม่พูดบ่นพร่ำสอน เพราะรักเจ้าดอกหนา หากแม่ไม่อยู่แล้วเจ้าจะทำเยี่ยงไร หยิบจับอะไรก็หยิบโหย่ง วันหนึ่งเจ้าออกเรือนไป มีลูกมีเต้า แล้วเจ้าจะเข้าใจหัวอกของแม่”

        น้ำตาเริ่มคลอเบ้าด้วยแม่เฟื่องเพลานี้โตเป็นสาวแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ออกเรือนเป็นฝั่งเป็นฝา  แต่นางจวงก็ยังไม่สามารถสั่งสอนให้บุตรสาวเป็นแม่ศรีเรือนได้

        ผู้เป็นบุตรสาวเห็นมารดามีน้ำตาจึงเดินเข้าไปกอดแล้วกล่าว“ฉันขอโทษที่เป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องได้ราว แม่อย่าร้องไห้เลยหนา ฉันสัญญาว่าจะเรียนงานบ้านงานเรือนให้คล่องแคล่ว แต่ดูท่าแล้วฉันคงเป็นสาวเทื้อคาบ้านให้แม่เลี้ยงไปอีกนาน ฮ่าๆๆ”

        แม่จวงผละจากอ้อมกอดของบุตรสาว แล้วมองหน้าผู้เป็นดั่งดวงใจ รอยยิ้มบนใบหน้าที่เรียวได้รูป รับกับดวงตากลมโต ผิวพรรณนวลเนียนไร้ซึ่งตำหนิ น่าสัมผัส ถึงแม้จะไม่สวยบาดตา แต่แม่เฟื่องก็น่ารักน่ามอง

        “ทำเป็นพูดดีไป ผ่านไปสองสามปี เจ้าอาจจะเร่งออกเรือนก็เป็นได้ ไปได้แล้ว เดี๋ยวจะเย็นย่ำค่ำมืดืดเสียก่อน”



         เรือนไทยหมู่หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า  สายตากวาดมองหาเงาของชายผู้หนึ่ง แต่ไร้ซึ่งวี่แวว เมื่อมองผ่านไปที่ใดก็จะมีแต่ภาพชายผู้นั้นปรากฎขึ้นทุกที่  ความคิดถึงเกาะกุมจิตใจทำให้รู้สึกเจ็บแปลบในทรวง ความรู้สึกแบบนี้มันช่างแตกต่างกับเมื่อครั้งที่หล่อนยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เพลานั้นแค่รู้สึกน้อยอกน้อยใจ แต่เพลานี้กลับรู้สึกปั่นป่วนในจิตใจ

         หญิงสาวเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบแผ่นหลังที่คุ้นเคย แม่เฟื่องวิ่งถือตระกร้าสาลีโดยลืมคำเตือนของมารดา แล้วตะโกนเรียก “พี่เพิ่ม”

         ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างคล้ายคลึงกันหันมา แล้วยิ้มให้กับหญิงสาว รอยยิ้มบนใบหน้าของแม่เฟื่องนิ่งค้าง ด้วยความผิดหวัง พ่อพร้อมผู้พี่มีความสูงไล่เลี่ยกัน แต่หุ่นบาง และผิวขาวกว่า ด้วยทำการค้าขายอยู่แต่ในร่ม ไม่ค่อยได้ออกแดด ส่วนพ่อเพิ่มผู้น้องมีร่างกายกำยำ ผิวเข้มจากการตากแดดตากลม และมีใบหน้าคมเข้มกว่า

         “พ่อเพิ่มยังไม่กลับมาดอก  ไม่สบายหรือกระไร ถึงมองผิดเพี้ยน” พ่อพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยความน้อยใจ

         “น่าจะใช่ วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย” แม่เฟื่องพูดเฉไฉแก้ความขวยเขินที่ทักผิด

         “เป็นกระไรมากไหม แล้วมีธุระอันใดถึงมาเดินตากลม ทำไมไม่ไปพักผ่อน”  ความน้อยใจเมื่อครู่หายไปฉับพลัน ด้วยรู้สึกเป็นห่วงหญิงสาวตรงหน้า

        “ไม่เป็นกระไรมากดอก เดินรับลมหายดีแล้ว อ้อ! แม่ใช้ให้เฟื่องเอาสาลี่มาให้แม่ป้าจ้ะ”

         “นายแม่อยู่ในครัวกำลังทำขนมตาลง่วนอยู่ ขึ้นไปสิ”

         แม่เฟื่องได้ยินดังนั้น จึงเดินผละจากไป

          “ประเดี๋ยวก่อน” ชายหนุ่มเรียกหญิงสาวให้รั้งรอ ด้วยคิดอะไรได้บางอย่าง

          เจ้าของดวงหน้านวลหันกลับมาถาม “มีกระไรหรือพี่พร้อม”

          “หากเจ้าไม่รีบร้อนกลับเรือน พี่จะชวนเจ้าพายเรือไปเก็บสายบัวมาแกงเสียหน่อย แต่หากยังไม่หายดีก็ไม่เป็นไร”

          หญิงสาวยิ้มขึ้นมาทันใด เมื่อคิดว่าจะได้ไปพายเรือเล่นสนุกสนาน “ไปสิ ฉันไม่เป็นกระไรดอกสบายดี เสร็จเมื่อไรฉันจะรีบลงมา”

          พ่อพร้อมมองตามร่างบางที่เดินขึ้นเรือนไปด้วยความอิ่มเอมใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่