ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/34280583
ตอนที่ 2
http://ppantip.com/topic/34285085
1ในปีพุทธศักราช 2416 จุลศักราช 1235 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฏากร พิพัฒน์ และได้โปรดเกล้าตั้งหอรัษฏากรพิพัฒน์ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็นสำนักงานกลางสำหรับเก็บเงินผลประโยชน์รายได้ภาษีอากรของแผ่นดินมารวมไว้ในที่แห่งเดียว มิให้แยกย้ายกระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ ดังที่เคยเป็นมาแต่ก่อน เปลี่ยนจากระบบเจ้าภาษีนายอากร มาเป็นทางราชการเป็นผู้เก็บเอง แล้วนำส่งเงินผลประโยชน์เข้าส่วนกลาง โดยมีพนักงานบัญชีกลางสำหรับรวบรวมบัญชีผลประโยชน์แผ่นดิน และตรวจตราการเก็บภาษีอากรของหน่วยงานต่างๆ ให้เป็นไปอย่างรัดกุม ไม่ให้รั่วไหล
เรือเข้าเทียบท่าชายวัยกลางคนแต่งชุดราชการเต็มยศก้าวขึ้นบันไดท่าน้ำ โดยมีบ่าวคนสนิทเดินถือเอกสารตามหลัง ขุนพิพัฒน์เที่ยงธรรมก้าวขึ้นเรือนเดินตรงไปยังตั่งนั่งลงพิงหมอนขวาน คลายกระดุมเสื้อที่รัดแน่นเพื่อระบายความร้อนอบอ้าว แล้วยื่นมือรับถ้วยน้ำชาที่ผู้เป็นลูกรินยื่นมาให้
"พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงมีพระบรมราชโองการตั้งหอรัษฏากรพิพัฒน์ ยกเลิกระบบเจ้าภาษีนายอากร แล้วให้หน่วยงานราชการเป็นผู้จัดเก็บนำส่งส่วนกลาง" ผู้เป็นพ่อกล่าวเปรยพร้อมพนมมือขึ้นเหนือหัว
"แล้วงานราชการของคุณพ่อ เป็นอย่างไรบ้าง เปลี่ยนแปลงหรือไม่" เพิ่มถามด้วยความสนใจ
"งานของพ่อยังเหมือนเดิม เพียงแต่ภาษีที่จัดเก็บส่งตรงไปยังส่วนกลาง ไม่ได้ผ่านกรมกองใดขึ้นไป" ผู้เป็นพ่อกล่าวอธิบาย
การเปลี่ยนแปลงระบบจัดเก็บภาษีอากรใหม่ ขุนพิพัฒน์เที่ยงธรรมไม่ได้รับผลกระทบอันใดด้วยฐานะเดิมที่มั่งคั่งอยู่แล้ว และเข้ารับราชการด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต คงมีก็แต่กลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่โดนลดทอนผลโยชน์เท่านั้นที่ระส่ำระส่าย
"ว่าแต่เจ้าเถิด จะอยู่นานหรือไม่ ลุงเจ้าจะเรียกตัวไปเมื่อใด"
"ลูกยังไม่ทราบเลยจ๊ะ คุณลุงท่านยุ่งๆ อยู่ จึงยังไม่ได้เรียกตัวมา"
"งั้นก็ดีแล้วอยู่บ้านให้แม่เจ้าได้ชื่นใจบ้าง บ่นคิดถึงเจ้าทุกวัน"
สองคนพ่อลูกสนทนาปราศัยเพียงชั่วครู่แล้วจึงแยกย้ายกันไปทำกิจธุระส่วนตน เพิ่มกลับมาอยู่บ้านได้หลายวันแล้วยังไม่มีโอกาสที่จะไปกราบพ่อแม่ของเฟื่องที่เปรียบเสมือนเป็นญาติสนิทมิตรสหายของครอบครัว
เถาไม้เลื้อยเลาะเป็นพุ่มหนา อดีตเคยเป็นโพรงให้เด็กหญิงเกล้าจุกมุดข้ามไปมาหาสู่ ดอกไม้ไทยนานาชนิดที่ปลูกไว้รายรอบโชยกลิ่นหอมมาตามลม ชายหนุ่มมองไปยังเรือนไทยที่คุ้นตาแห่งนี้ สถานที่ที่เขาเคยวิ่งเล่นเมื่อครั้งยังเยาว์วัยดั่งบ้านของตน
ด้วยผู้เป็นนายของทั้งสองบ้านเป็นสหายกันมาช้านาน รู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี รักใคร่นับถือกันดั่งญาติสนิท เพราะเคยล่องเรือทำการค้าร่วมกันมา บิดาของเขาจึงชักชวนสหายรุ่นน้องมาตั้งรกรากอยู่ที่สมุทรสาครแห่งนี้เสียด้วยกัน
ในขณะที่เพิ่มกำลังอยู่ในห้วงแห่งความคิด รำลึกถึงความหลังครั้งเยาว์วัย ลูกมะม่วงขนาดย่อมร่วงหล่นเฉียดหน้าพอดี เสียงสวบสาบกิ่งไม้ไหวอยู่ด้านบน ทำให้ต้องแหงนหน้าขึ้นมอง
"ผู้ใด?" ชายหนุ่มตะโกนถามสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่บนต้นไม้
ความเงียบเข้าปกคลุม ไม่มีเสียงใดเอ่ยตอบ มีเพียงแต่เสียงสายลมที่พัดเอื่อยๆ ร่างกายที่เริ่มเติบใหญ่แฝงกายตรงกิ่งไม้ที่มีใบหนาทึบ พยายามหลบเร้นซ่อนกายแต่ก็หาลอดพ้นสายตาผู้อยู่เบื้องล่างไม่ เพิ่มยิ้มที่มุมปากด้วยความขบขันปนระอาใจ
"ลงมาประเดี๋ยวนี้"
"ไม่ลง" น้ำเสียงถูกบีบให้เล็กเพื่ออำพราง
"พี่รู้ว่าเป็นเจ้า..แม่เฟื่อง จะลงมาหรือไม่"
"อีฉันชื่อหยุดเจ้าคะ ไม่ได้ชื่อเฟื่อง" น้ำเสียงบีบเล็กยังคงดื้อดึง
"เอาเป็นว่าชื่ออะไรก็ตาม ถ้าเจ้าไม่ลง พี่จะขึ้นไปลากเจ้าลงมาเอง" เพิ่มพูดแล้วทำท่าปีนต้นมะม่วง แต่ก็ชะงักไปเสียก่อนเมื่อผู้ที่อยู่บนต้นไม้เอ่ยปากยอมแพ้
"ฉันลงก็ได้ แค่มาเก็บมะม่วงไปจิ้มกินกับกะปิเท่านั้นเอง อย่าบอกแม่เชียวหนาพี่เพิ่ม คราก่อนก็บ่นจนหูชาไปหมด" หญิงสาวผู้อยู่ด้านบนเริ่มคันยุกยิกเพราะมดคันไฟเริ่มไต่ลงมายังแขน หล่อนปัดออกแล้วรีบปีนลงจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปหมายจะช่วย แต่แล้วก็ต้องหดกลับเช่นเดิม เพราะเฟื่องป่ายปีนต้นไม้ด้วยความชำนิชำนาญ เมื่อกระโดดลงยังพื้นเบื้องล่าง หญิงสาวก้มลงเก็บมะม่วงที่วางกองระเกะระกะหยิบยื่นให้เพิ่มช่วยถือ ทั้งสองคนช่วยกันหอบมะม่วงจนเต็มอ้อมแขนแล้วเดินกลับเรือน
"เจ้ามันซนจริงหนาแม่เฟื่อง เป็นสาวเป็นนางใครปีนต้นไม้เล่นกันเล่า" ชายหนุ่มตำหนิด้วยความเอ็นดู
"เฟื่องยังเด็กอยู่เลย ตัวเล็กกว่าพี่เพิ่มตั้งเยอะ" เฟื่องเทียบเคียงตัวเองกับชายหนุ่ม ความสูงของหล่อนอยู่ประมาณหัวไหล่เท่านั้น "เห็นไหม ตัวนิดเดียวเอง"
เพิ่มใช้มือข้างที่ว่างจากการหอบมะม่วง ขยี้หัวเฟื่องด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดู
"หัวยุ่งหมดแล้ว" เสียงบ่นอุบอิบดังไปถึงหูชายคนที่เดินอยู่ข้างๆ
"ถึงอย่างไรหัวเจ้าก็ยุ่งอยู่แล้วแม่เฟื่อง มัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าเสียเวลาจริงเชียว คุณน้าทั้งสองอยู่หรือไม่ พี่จักเข้ามากราบ"
"คุณพ่อไม่อยู่ แต่แม่อยู่บนเรือน พี่เพิ่มอย่าบอกแม่เชียวหนา" หล่อนกำชับกำชาอีกครั้ง
เพิ่มเสมองเฟื่องอดที่จะขำไม่ได้ ถึงแม้ตัวเขาไม่ได้กล่าวฟ้องอะไรต่อผู้เป็นมารดา แต่ด้วยหน้าตาที่มอมแมมเศษใบไม้ติดอยู่บนหัวเช่นนี้ เป็นใครก็คงพอจะเดาออกว่าหล่อนไปทำอะไรมา ทั้งสองคนหอบมะม่วงให้บ่าวนำไปเก็บแล้วตรงขึ้นเรือน
"ใครมาหล่ะนั่น" ผู้เป็นนายหญิงของบ้านเอ่ยถามบ่าว เมื่อดวงหน้าของบุตรสาวคนเดียวโผล่มาด้วยสภาพยับเยิน ทำให้ผู้เป็นแม่ก้าวเดินฉับๆ ตรงไปหน้าเรือนทันที
"ว้าย! ตาเถร นี่แม่เฟื่องหล่อนไปฟัดกับอะไรมาห่ะ ทำไมเจ้าถึงซุกซนเป็นเด็กแบบนี้ เจ้าโตแล้วหนา...." คำตำหนิติเตียนที่พรั่งพรูชะงักลงเมื่อสายตาเสมองไปยังชายหนุ่มที่หน้าตาคุ้นเคย
"แล้วพาใครมาด้วยหล่ะนี่? หน้าตาคุ้นๆ"
"ฉันเพิ่มลูกแม่นวลไงจ๊ะ แม่น้าจำฉันได้หรือไม่" เพิ่มกล่าวขึ้นพร้อมพนมมือไหว้
"พ่อเพิ่ม ไม่ได้เจอกันเสียหลายปี โตเป็นหนุ่มรูปงามเชียว" แม่จวงยื่นมือไปรับไหว้แล้วเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มนั่งลง พร้อมกับสั่งบ่าวให้หาของว่างมาต้อนรับ
"สบายดีหรือพ่อเพิ่ม เห็นพี่นวลว่าจะไปรับราชการอยู่กับคุณหลวงพิทักษ์ปราบศึก"
ชุดถ้วยน้ำชาเนื้อดีวาดลวดลายดอกโบตั๋นสวยงามปราณีตขลิบลายทองโดยรอบ ถูกบ่าวยกมาตั้งไว้ด้านข้าง น้ำชาที่มีไอกรุ่นลอยออกมาถูกรินใส่ถ้วยแล้วยื่นส่งให้แขกผู้มาเยือน
"เพลานี้คุณลุงท่านยุ่งอยู่กับข้อราชการ ฉันจึงกลับมาพักที่บ้านก่อนจ๊ะ" เขายื่นมือไปรับถ้วยน้ำชาที่ส่งกลิ่นหอม เพียงจิบแรกรสชาติขมที่ปลายลิ้นส่งผ่านไปยังลำคอแล้วแปรเปลี่ยนเป็นรสหวานชุ่มคอบ่งบอกถึงชาคุณภาพดี
"ดีแล้วกลับมาอยู่บ้านบ้าง พี่นวลบ่นคิดถึงและเป็นห่วงพ่อเพิ่มตลอด คนเป็นพ่อเป็นแม่ถึงแม้ว่าลูกจะเติบใหญ่แล้วก็อดห่วงไม่ได้" แม่จวงเสมองลูกสาวคนเดียวที่เป็นดั่งดวงใจของบ้านแล้วรู้สึกหนักใจ
"แม่เฟื่องสภาพเจ้าดูไม่ได้เสียเลย ไปล้างหน้าล้างตา แล้วค่อยมากินของว่างไป" ผู้เป็นแม่เปรยด้วยความอิหนาระอาใจแล้วไล่ส่ง
"ได้จ้ะ" เฟื่องรับคำแล้วลุกขึ้นผลุบผลับก้าวเดินฉับๆ ออกไป
"เฮ้อ!" เสียถอนหายใจเฮือกใหญ่จากผู้เป็นแม่ "ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมกระไรของน้า มีลูกสาวคนเดียว ก็เป็นเด็กไม่รู้จักโต กริยามารยาทรึก็กระโดกกระเดก สงสัยคงได้เป็นสาวเทื้อคาบ้าน"
เพิ่มได้ฟังดังนั้นรู้สึกผิดขึ้นมาถนัดใจ แล้วรีบกล่าวปลอบหญิงสูงวัย "แม่เฟื่องยังเยาว์นัก เพลานี้อายุเพิ่งจะ 14 แม่น้าอย่าเพิ่งกังวลไป ยังมีเวลาพออบรมสั่งสอนกันได้"
คำพูดที่ออกจากปากของเพิ่มทำให้แม่จวงรู้สึกชื่นชม เพิ่งแตกหนุ่มไม่ทันไรความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่นัก "แม่เฟื่องรั้นนักไม่ค่อยฟังผู้ใด ถ้าอย่างไรน้าฝากพ่อเพิ่มช่วยว่ากล่าวตักเตือนด้วย เพราะอย่างไรก็เคยเล่นหัวกันมา"
สายตาเสมองมายังชายหนุ่มด้วยความรักใคร่เอ็นดู พ่อพร้อมผู้พี่ก็เก่งเรื่องการค้า พ่อเพิ่มผู้น้องก็กำลังเข้ารับราชการอนาคตไกล หากแม้นมีวาสนาที่สองบ้านจะดองกันเป็นทองแผ่นเดียว หล่อนก็เต็มใจและยินดี ติดก็ตรงที่แม่เฟื่องแก่นทะโมนจนคนรอบข้างเอือมระอา พ่อพร้อมรึก็ตามใจไม่เคยขัดอันใด ส่วนพ่อเพิ่มหล่อนยังไม่ค่อยแน่ใจเช่นกันว่าจะตามใจแม่เฟื่องอีกคนหรือไม่ หากแต่ดูหน่วยก้านแล้วสุขุมดั่งชายชาติทหาร น่าจะพอพึ่งพิงได้บ้าง
"ได้จ้ะ แม่น้าไม่ต้องเกรงใจ หากมีกระไรที่ฉันช่วยได้ก็ยินดี" เขาหมายมั่นที่จะหาหนทางแก้ไขเรื่องนี้ให้จงได้ "โบราณว่าไว้ไม้อ่อนดัดง่าย แต่คงต้องค่อยๆ ดัด หากผลีผลามไป ไม้อ่อนอาจจะหักเสียก็ได้ จริงไหมจะแม่น้า"
"น้าฝากแม่เฟื่องด้วยหนา"
การพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตของเพิ่มที่ไปอยู่กับครูดาบมากฝีมือ ทำให้เฟื่องนั่งฟังหูพึ่งด้วยความสนใจ การสนทนาปราศัยจบลงเมื่อดวงอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า ชายหนุ่มกล่าวลาแล้วเดินกลับเรือน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1www.rd.go.th/publish/3456.0.html ต้นกำเนิดของกระทรวงการคลังในปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2418 จุลศักราช 1237 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าให้ตราพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติขึ้น และต่อมาในปี พ.ศ. 2433 ได้ยกฐานะกรมพระคลังมหาสมบัติ เป็นกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ตามพระธรรมนูญ หน้าที่ราชการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติรัตนโกสินทร์ศก 109
จอมใจจอมขวัญ(พีเรียด) ตอนที่ 3
ตอนที่ 1http://ppantip.com/topic/34280583
ตอนที่ 2http://ppantip.com/topic/34285085
1ในปีพุทธศักราช 2416 จุลศักราช 1235 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฏากร พิพัฒน์ และได้โปรดเกล้าตั้งหอรัษฏากรพิพัฒน์ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็นสำนักงานกลางสำหรับเก็บเงินผลประโยชน์รายได้ภาษีอากรของแผ่นดินมารวมไว้ในที่แห่งเดียว มิให้แยกย้ายกระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ ดังที่เคยเป็นมาแต่ก่อน เปลี่ยนจากระบบเจ้าภาษีนายอากร มาเป็นทางราชการเป็นผู้เก็บเอง แล้วนำส่งเงินผลประโยชน์เข้าส่วนกลาง โดยมีพนักงานบัญชีกลางสำหรับรวบรวมบัญชีผลประโยชน์แผ่นดิน และตรวจตราการเก็บภาษีอากรของหน่วยงานต่างๆ ให้เป็นไปอย่างรัดกุม ไม่ให้รั่วไหล
เรือเข้าเทียบท่าชายวัยกลางคนแต่งชุดราชการเต็มยศก้าวขึ้นบันไดท่าน้ำ โดยมีบ่าวคนสนิทเดินถือเอกสารตามหลัง ขุนพิพัฒน์เที่ยงธรรมก้าวขึ้นเรือนเดินตรงไปยังตั่งนั่งลงพิงหมอนขวาน คลายกระดุมเสื้อที่รัดแน่นเพื่อระบายความร้อนอบอ้าว แล้วยื่นมือรับถ้วยน้ำชาที่ผู้เป็นลูกรินยื่นมาให้
"พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงมีพระบรมราชโองการตั้งหอรัษฏากรพิพัฒน์ ยกเลิกระบบเจ้าภาษีนายอากร แล้วให้หน่วยงานราชการเป็นผู้จัดเก็บนำส่งส่วนกลาง" ผู้เป็นพ่อกล่าวเปรยพร้อมพนมมือขึ้นเหนือหัว
"แล้วงานราชการของคุณพ่อ เป็นอย่างไรบ้าง เปลี่ยนแปลงหรือไม่" เพิ่มถามด้วยความสนใจ
"งานของพ่อยังเหมือนเดิม เพียงแต่ภาษีที่จัดเก็บส่งตรงไปยังส่วนกลาง ไม่ได้ผ่านกรมกองใดขึ้นไป" ผู้เป็นพ่อกล่าวอธิบาย
การเปลี่ยนแปลงระบบจัดเก็บภาษีอากรใหม่ ขุนพิพัฒน์เที่ยงธรรมไม่ได้รับผลกระทบอันใดด้วยฐานะเดิมที่มั่งคั่งอยู่แล้ว และเข้ารับราชการด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต คงมีก็แต่กลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่โดนลดทอนผลโยชน์เท่านั้นที่ระส่ำระส่าย
"ว่าแต่เจ้าเถิด จะอยู่นานหรือไม่ ลุงเจ้าจะเรียกตัวไปเมื่อใด"
"ลูกยังไม่ทราบเลยจ๊ะ คุณลุงท่านยุ่งๆ อยู่ จึงยังไม่ได้เรียกตัวมา"
"งั้นก็ดีแล้วอยู่บ้านให้แม่เจ้าได้ชื่นใจบ้าง บ่นคิดถึงเจ้าทุกวัน"
สองคนพ่อลูกสนทนาปราศัยเพียงชั่วครู่แล้วจึงแยกย้ายกันไปทำกิจธุระส่วนตน เพิ่มกลับมาอยู่บ้านได้หลายวันแล้วยังไม่มีโอกาสที่จะไปกราบพ่อแม่ของเฟื่องที่เปรียบเสมือนเป็นญาติสนิทมิตรสหายของครอบครัว
เถาไม้เลื้อยเลาะเป็นพุ่มหนา อดีตเคยเป็นโพรงให้เด็กหญิงเกล้าจุกมุดข้ามไปมาหาสู่ ดอกไม้ไทยนานาชนิดที่ปลูกไว้รายรอบโชยกลิ่นหอมมาตามลม ชายหนุ่มมองไปยังเรือนไทยที่คุ้นตาแห่งนี้ สถานที่ที่เขาเคยวิ่งเล่นเมื่อครั้งยังเยาว์วัยดั่งบ้านของตน
ด้วยผู้เป็นนายของทั้งสองบ้านเป็นสหายกันมาช้านาน รู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี รักใคร่นับถือกันดั่งญาติสนิท เพราะเคยล่องเรือทำการค้าร่วมกันมา บิดาของเขาจึงชักชวนสหายรุ่นน้องมาตั้งรกรากอยู่ที่สมุทรสาครแห่งนี้เสียด้วยกัน
ในขณะที่เพิ่มกำลังอยู่ในห้วงแห่งความคิด รำลึกถึงความหลังครั้งเยาว์วัย ลูกมะม่วงขนาดย่อมร่วงหล่นเฉียดหน้าพอดี เสียงสวบสาบกิ่งไม้ไหวอยู่ด้านบน ทำให้ต้องแหงนหน้าขึ้นมอง
"ผู้ใด?" ชายหนุ่มตะโกนถามสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่บนต้นไม้
ความเงียบเข้าปกคลุม ไม่มีเสียงใดเอ่ยตอบ มีเพียงแต่เสียงสายลมที่พัดเอื่อยๆ ร่างกายที่เริ่มเติบใหญ่แฝงกายตรงกิ่งไม้ที่มีใบหนาทึบ พยายามหลบเร้นซ่อนกายแต่ก็หาลอดพ้นสายตาผู้อยู่เบื้องล่างไม่ เพิ่มยิ้มที่มุมปากด้วยความขบขันปนระอาใจ
"ลงมาประเดี๋ยวนี้"
"ไม่ลง" น้ำเสียงถูกบีบให้เล็กเพื่ออำพราง
"พี่รู้ว่าเป็นเจ้า..แม่เฟื่อง จะลงมาหรือไม่"
"อีฉันชื่อหยุดเจ้าคะ ไม่ได้ชื่อเฟื่อง" น้ำเสียงบีบเล็กยังคงดื้อดึง
"เอาเป็นว่าชื่ออะไรก็ตาม ถ้าเจ้าไม่ลง พี่จะขึ้นไปลากเจ้าลงมาเอง" เพิ่มพูดแล้วทำท่าปีนต้นมะม่วง แต่ก็ชะงักไปเสียก่อนเมื่อผู้ที่อยู่บนต้นไม้เอ่ยปากยอมแพ้
"ฉันลงก็ได้ แค่มาเก็บมะม่วงไปจิ้มกินกับกะปิเท่านั้นเอง อย่าบอกแม่เชียวหนาพี่เพิ่ม คราก่อนก็บ่นจนหูชาไปหมด" หญิงสาวผู้อยู่ด้านบนเริ่มคันยุกยิกเพราะมดคันไฟเริ่มไต่ลงมายังแขน หล่อนปัดออกแล้วรีบปีนลงจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปหมายจะช่วย แต่แล้วก็ต้องหดกลับเช่นเดิม เพราะเฟื่องป่ายปีนต้นไม้ด้วยความชำนิชำนาญ เมื่อกระโดดลงยังพื้นเบื้องล่าง หญิงสาวก้มลงเก็บมะม่วงที่วางกองระเกะระกะหยิบยื่นให้เพิ่มช่วยถือ ทั้งสองคนช่วยกันหอบมะม่วงจนเต็มอ้อมแขนแล้วเดินกลับเรือน
"เจ้ามันซนจริงหนาแม่เฟื่อง เป็นสาวเป็นนางใครปีนต้นไม้เล่นกันเล่า" ชายหนุ่มตำหนิด้วยความเอ็นดู
"เฟื่องยังเด็กอยู่เลย ตัวเล็กกว่าพี่เพิ่มตั้งเยอะ" เฟื่องเทียบเคียงตัวเองกับชายหนุ่ม ความสูงของหล่อนอยู่ประมาณหัวไหล่เท่านั้น "เห็นไหม ตัวนิดเดียวเอง"
เพิ่มใช้มือข้างที่ว่างจากการหอบมะม่วง ขยี้หัวเฟื่องด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดู
"หัวยุ่งหมดแล้ว" เสียงบ่นอุบอิบดังไปถึงหูชายคนที่เดินอยู่ข้างๆ
"ถึงอย่างไรหัวเจ้าก็ยุ่งอยู่แล้วแม่เฟื่อง มัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าเสียเวลาจริงเชียว คุณน้าทั้งสองอยู่หรือไม่ พี่จักเข้ามากราบ"
"คุณพ่อไม่อยู่ แต่แม่อยู่บนเรือน พี่เพิ่มอย่าบอกแม่เชียวหนา" หล่อนกำชับกำชาอีกครั้ง
เพิ่มเสมองเฟื่องอดที่จะขำไม่ได้ ถึงแม้ตัวเขาไม่ได้กล่าวฟ้องอะไรต่อผู้เป็นมารดา แต่ด้วยหน้าตาที่มอมแมมเศษใบไม้ติดอยู่บนหัวเช่นนี้ เป็นใครก็คงพอจะเดาออกว่าหล่อนไปทำอะไรมา ทั้งสองคนหอบมะม่วงให้บ่าวนำไปเก็บแล้วตรงขึ้นเรือน
"ใครมาหล่ะนั่น" ผู้เป็นนายหญิงของบ้านเอ่ยถามบ่าว เมื่อดวงหน้าของบุตรสาวคนเดียวโผล่มาด้วยสภาพยับเยิน ทำให้ผู้เป็นแม่ก้าวเดินฉับๆ ตรงไปหน้าเรือนทันที
"ว้าย! ตาเถร นี่แม่เฟื่องหล่อนไปฟัดกับอะไรมาห่ะ ทำไมเจ้าถึงซุกซนเป็นเด็กแบบนี้ เจ้าโตแล้วหนา...." คำตำหนิติเตียนที่พรั่งพรูชะงักลงเมื่อสายตาเสมองไปยังชายหนุ่มที่หน้าตาคุ้นเคย
"แล้วพาใครมาด้วยหล่ะนี่? หน้าตาคุ้นๆ"
"ฉันเพิ่มลูกแม่นวลไงจ๊ะ แม่น้าจำฉันได้หรือไม่" เพิ่มกล่าวขึ้นพร้อมพนมมือไหว้
"พ่อเพิ่ม ไม่ได้เจอกันเสียหลายปี โตเป็นหนุ่มรูปงามเชียว" แม่จวงยื่นมือไปรับไหว้แล้วเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มนั่งลง พร้อมกับสั่งบ่าวให้หาของว่างมาต้อนรับ
"สบายดีหรือพ่อเพิ่ม เห็นพี่นวลว่าจะไปรับราชการอยู่กับคุณหลวงพิทักษ์ปราบศึก"
ชุดถ้วยน้ำชาเนื้อดีวาดลวดลายดอกโบตั๋นสวยงามปราณีตขลิบลายทองโดยรอบ ถูกบ่าวยกมาตั้งไว้ด้านข้าง น้ำชาที่มีไอกรุ่นลอยออกมาถูกรินใส่ถ้วยแล้วยื่นส่งให้แขกผู้มาเยือน
"เพลานี้คุณลุงท่านยุ่งอยู่กับข้อราชการ ฉันจึงกลับมาพักที่บ้านก่อนจ๊ะ" เขายื่นมือไปรับถ้วยน้ำชาที่ส่งกลิ่นหอม เพียงจิบแรกรสชาติขมที่ปลายลิ้นส่งผ่านไปยังลำคอแล้วแปรเปลี่ยนเป็นรสหวานชุ่มคอบ่งบอกถึงชาคุณภาพดี
"ดีแล้วกลับมาอยู่บ้านบ้าง พี่นวลบ่นคิดถึงและเป็นห่วงพ่อเพิ่มตลอด คนเป็นพ่อเป็นแม่ถึงแม้ว่าลูกจะเติบใหญ่แล้วก็อดห่วงไม่ได้" แม่จวงเสมองลูกสาวคนเดียวที่เป็นดั่งดวงใจของบ้านแล้วรู้สึกหนักใจ
"แม่เฟื่องสภาพเจ้าดูไม่ได้เสียเลย ไปล้างหน้าล้างตา แล้วค่อยมากินของว่างไป" ผู้เป็นแม่เปรยด้วยความอิหนาระอาใจแล้วไล่ส่ง
"ได้จ้ะ" เฟื่องรับคำแล้วลุกขึ้นผลุบผลับก้าวเดินฉับๆ ออกไป
"เฮ้อ!" เสียถอนหายใจเฮือกใหญ่จากผู้เป็นแม่ "ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมกระไรของน้า มีลูกสาวคนเดียว ก็เป็นเด็กไม่รู้จักโต กริยามารยาทรึก็กระโดกกระเดก สงสัยคงได้เป็นสาวเทื้อคาบ้าน"
เพิ่มได้ฟังดังนั้นรู้สึกผิดขึ้นมาถนัดใจ แล้วรีบกล่าวปลอบหญิงสูงวัย "แม่เฟื่องยังเยาว์นัก เพลานี้อายุเพิ่งจะ 14 แม่น้าอย่าเพิ่งกังวลไป ยังมีเวลาพออบรมสั่งสอนกันได้"
คำพูดที่ออกจากปากของเพิ่มทำให้แม่จวงรู้สึกชื่นชม เพิ่งแตกหนุ่มไม่ทันไรความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่นัก "แม่เฟื่องรั้นนักไม่ค่อยฟังผู้ใด ถ้าอย่างไรน้าฝากพ่อเพิ่มช่วยว่ากล่าวตักเตือนด้วย เพราะอย่างไรก็เคยเล่นหัวกันมา"
สายตาเสมองมายังชายหนุ่มด้วยความรักใคร่เอ็นดู พ่อพร้อมผู้พี่ก็เก่งเรื่องการค้า พ่อเพิ่มผู้น้องก็กำลังเข้ารับราชการอนาคตไกล หากแม้นมีวาสนาที่สองบ้านจะดองกันเป็นทองแผ่นเดียว หล่อนก็เต็มใจและยินดี ติดก็ตรงที่แม่เฟื่องแก่นทะโมนจนคนรอบข้างเอือมระอา พ่อพร้อมรึก็ตามใจไม่เคยขัดอันใด ส่วนพ่อเพิ่มหล่อนยังไม่ค่อยแน่ใจเช่นกันว่าจะตามใจแม่เฟื่องอีกคนหรือไม่ หากแต่ดูหน่วยก้านแล้วสุขุมดั่งชายชาติทหาร น่าจะพอพึ่งพิงได้บ้าง
"ได้จ้ะ แม่น้าไม่ต้องเกรงใจ หากมีกระไรที่ฉันช่วยได้ก็ยินดี" เขาหมายมั่นที่จะหาหนทางแก้ไขเรื่องนี้ให้จงได้ "โบราณว่าไว้ไม้อ่อนดัดง่าย แต่คงต้องค่อยๆ ดัด หากผลีผลามไป ไม้อ่อนอาจจะหักเสียก็ได้ จริงไหมจะแม่น้า"
"น้าฝากแม่เฟื่องด้วยหนา"
การพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตของเพิ่มที่ไปอยู่กับครูดาบมากฝีมือ ทำให้เฟื่องนั่งฟังหูพึ่งด้วยความสนใจ การสนทนาปราศัยจบลงเมื่อดวงอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า ชายหนุ่มกล่าวลาแล้วเดินกลับเรือน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1www.rd.go.th/publish/3456.0.html ต้นกำเนิดของกระทรวงการคลังในปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2418 จุลศักราช 1237 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าให้ตราพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติขึ้น และต่อมาในปี พ.ศ. 2433 ได้ยกฐานะกรมพระคลังมหาสมบัติ เป็นกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ตามพระธรรมนูญ หน้าที่ราชการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติรัตนโกสินทร์ศก 109