ที่ใดมีความเศร้า

เมื่อไม่นานมานี้ ฉันตัดสินใจจบปัญหาความเครียดที่เรื้อรังมานาน นานแค่ไหน ฉันก็ไม่รู้ ไม่ได้สังเกตเลย รู้ตัวอีกที เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความสุขของฉันมันหายไปหมดแล้ว ความเครียดนั้นมันสุมเป็นกองใหญ่ สูงกว่าตัวฉัน  และดูจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้สึกตัวเล็กนิดเดียวในตอนนั้น ฉันนั่งไม่ติดที่  ร้อนรน ฉันคุยกับใคร เขาก็บอกได้เพียงว่า”อดทนนะ”มันเป็นคำที่ฉันฟังบ่อยจนดูจะไร้ซึ่งความรู้สึกแล้ว เวลาตี2ตี3ที่ทุกคนหลับไหลอยู่ในห้วงนิทราอย่างมีความสุข   แต่ตัวฉันใช้ชัวโมงนั้นนั่งสะอื้นไห้อยู่ตรงโต๊ะทำงาน ฉันไม่มีคำอธิบายให้กับตัวเองเลยว่า”นั่งร้องไห้ทำไม”  “ร้องไห้ด้วยเรื่องอะไร” “ แล้วจากนี้เราควรทำอย่างไรต่อไป” ฉันไม่รู้อะไรเลยตอนนั้น ฉันรู้แค่ว่าฉันอยากร้องออกไป มันเป็นช่วงเวลาที่นานแสนนาน นี่ฉันอัดอั้นมานานเท่าไหร่กันนะ? ร้องเท่าไหร่ก็หยุดไม่ได้สักที  ราตรีนั้นเงียบสงัด แต่เมื่อแง้มม่านดู ยังมีแสงสว่างจากไฟนีออนตามจุดต่างๆมากมายสาดส่องให้ราตรีนี้ไม่มืดมิดน่ากลัวเกินไป  ตอนนั้นฉันคิดว่าถ้าไม่มีฉันคงดี แต่ไม่คิดจะฆ่าตัวตายหรอก เพราะฉันรู้ดีว่าตัวฉันเองน่ะหนังเหนียววว ไม่ตายง่ายๆหรอก เสียเวลาเปล่า ฉันนั้นไม่ชอบคำปลอบใจเอาซะทีเดียว เพราะคนปลอบไม่ใช่ฉัน ไม่ได้ยืนในจุดที่ฉันยืน  ฉันต้องการแค่การรับฟังอย่างตั้งใจ  เข้าใจ  ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลยก็ได้ ฉันตั้งคำถามว่าฉันควรไปปรึกษาจิตแพทย์มั้ย ฉันควรเล่าปัญหากวนใจเหล่านี้ให้คนที่เค้าตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันเล่าจริงๆ และดูจะเข้าใจมันดีกว่าพวกญาติๆฉันที่ชีวิตเขาคงราบเรียบไม่เคยมีปัญหาความเครียดอะไรแบบฉันเลยมั้ย ที่นี่ก็มีหมอเก่งๆมากมาย  แต่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้ไป  เพราะลังเล กลัวมีประวัติรักษาอาการป่วยทางจิต  ถ้าคนไทยopenกับเรื่องพวกนี้ อาจมีภาพตัวฉันนั่งคุยกับจิตแพทย์  
ฉันทนอยู่แบบนี้มาหลายวัน หรืออาจจะเป็นอาทิตย์  สำหรับฉันตอนนั้นเวลาไม่เดินไปข้างหน้า มันหมุนวนกลับมาที่เดิมข้างนอกมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างฉันแทบไม่รู้ ไม่สนใจ ไม่สังเกตเลย ฉันอยากอยู่แต่ในห้อง แต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ฉันฝืนทำทุกอย่างอย่างซังกะตาย ตอนนั้นซอมบี้คงดูดีกว่าฉันมากมาย  
จนวันนั้นฉันออกไปเจอรุ่นพี่กลุ่มนึง พวกเค้ามาทำธุระในระแวกใกล้ๆนี้พอดี ฉันออกไปนั่งคุย เล่าเรื่องของฉันให้ฟัง แต่แค่ผิวเผิน ไม่ใช่ทั้งหมด แต่บรรยากาศข้างนอกมันช่างมหัศจรรย์ยิ่ง มันร่มรื่น ทุสิ่งรอบตัวดูเคลื่อนผ่านฉันอย่างงดงาม  ไม่เร็วเกินไปแต่ก็ไม่ถึงกับเชื่องช้า   รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก  เหมือนสิ่งเหล่านี้ปลุกฉันขึ้นมาจากการที่ฉันเอาแต่นอนซมอยู่ในกองความเศร้า  หลังจากแยกย้ายกัน ฉันกลับมาจบปัญหาที่ฉันทนระทมทุกข์มาตั้งนาน ฉันคิดได้ว่า ทุกอย่างมันง่ายนิดเดียว แค่ฉันกล้าตัดสินใจ  ในเมื่อชีวิตเป็นของฉัน ฉันก็มีสิทธ์จะเลือก ฉัน สามารธออกแบบมันได้ หากมันไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ยังมีทางอื่นให้ไปอีกตั้งเยอะแยะ  โธ่..ฉันทนทุกข์มานานขนาดนี้ได้ยังไง ตอนนั้นฉันเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ฉันออกไปเจอพี่ๆเพื่อนๆ  ออกไปมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน  เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของฉันกลับคืนมาบ้างแล้ว ค่อยๆฟื้นคืนมา  เพื่อนฉันที่สำแดงเดชมา3-4เดือนก็เริ่มเพลียและหลับไป เค้าไม่เคยตื่นขึ้นมานานขนาดนี้มาก่อนเลย  (ฉันอยู่กับไมเกรนมา4ปีแล้ว เราอยู่ร่วมกันได้ดี  โอเคเลยทีเดียว ตอนมาใหม่ๆเค้าทำให้ฉันปวดหัว วุ่นวายไปหมด แต่นานไปเราสอง ก็อยู่ร่วมกันได้ ฉันเลยถือว่าเค้าเป็นเพื่อน  โดยที่เขาหลับอยู่ในตัวฉัน และนานๆครั้งเค้าจะตื่นขึ้นมาดูว่าข้างนอกมีอะไรบ้าง เวลาเจอกันฉันก็จะพาเค้าไปรีแล็กซ์ แรกๆก็ดื้อหน่อยนะ  บางทีฉันก็ชวนเค้านอนต่อ นอนพร้อมกันนี่แหละ 555555 ) เมื่อวันที่21ที่ผ่านมาฉันก็ผิดนัดหมอ เพราะฉันคิดว่ามันไม่จำเป็นอีกแล้ว ปัญหาของฉันจบลงแล้ว และเพื่อนของฉันก็หลับแล้ว   และความขุ่นข้องหมองใจ ความโกรธ ความเกลียดก็เริ่มจากลงจนเกือบหมดแล้ว ฉันจะไม่พูดถึงคนเหล่านั้น เพราะฉันไม่อยากนึกถึง ฉันให้อภัยพวกเขาเหล่านั้นแล้ว แต่อย่างไรฉันก็มองว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ดีนะ เหมือนดังที่ Oscar Wilde เคยเขียนหนังสือของเขาว่า
“วันที่เราไม่ได้หลั่งน้ำตา คือวันที่หัวใจเราแข็งกระด้าง” นั่นแปลว่าหัวฉันของฉันยังไม่แข็งกระด้าง ^^
และอีกประโยคหนึ่งคือ “ความรุ่งเรืองมั่งคั่ง ความรื่นเริง และความสำเร็จ อาจมีเนื้อแท้อันสามัญและหยาบกระด้าง แต่ความเศร้านั้นละเอียดอ่อนที่สุด”  เรียบง่าย แต่บาดลึก ความหมายกว้างใหญ่และกินใจมาก
ขอบคุณหนังสือของเขา ที่อยู่เป็นเพื่อนฉัน ในตอนตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ ที่ยากจะหาใครเข้าใจได้อย่างแท้จริง  และหัวข้อกระทู้นี้ ฉันยืมมาจากชื่อหนังสือของเขา ” De Profundis ที่ใดมีความเศร้า “
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่