พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
บรรดานิมิตทั้งหลายนั้นมันเรื่องราวของกิเลสนะให้เข้าใจ
ฉะนั้นอย่าไปหลงนิมิตต่างๆ บุคคลผู้หลงนิมิตนั้นจิตวิปลาส
พอแต่นิมิตปรากฏในมโนทวารอย่างไรก็เชื่อมั่นว่าเป็นจริงอย่างนั้น
ก็ปล่อยจิตให้ไหลไปตามนิมิตนั้นอย่างนี้นะนี้ล่ะมันเกิดวิปลาสให้เข้าใจ
มันไม่ใช่ธรรมของจริงนิมิตต่างๆน่ะ ไม่ควรที่จะไปถือมั่น
ไปถือมั่นของไม่เที่ยงยังไงเล่า ไปถือมั่นของไม่เที่ยง
ก็เป็นทุกข์เหมือนกับไปถือมั่นร่างกายสังขารอันนี้
ว่าเป็นตัวเป็นตนมันก็ทุกข์อยู่อย่างนี้แหละ ให้เข้าใจ
ถือมั่นในสัญญาวิปลาสต่างๆหมู่นี้
มันก็ล้วนแต่เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทางจิตใจทั้งนั้นเลย
เอ้าทำยังไงว่ะถึงจะพ้นจากนิมิตเหล่านี้ไปได้?
ก็เมื่อนิมิตต่างๆปรากฏขึ้น มันจะปรากฏภายนอก
พอเห็นนิมิตเหล่านั้นแล้วเราก็กำหนดรู้ ว่านั่นคือ นิมิต ..ไม่เที่ยง
มันเกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนแตกดับไป อย่าไปใส่ใจกับมัน
เตือนใจเข้าไปอย่างนี้แล้วถอย ทวนกระแสจิตเข้ามา
หาความรู้สึกอยู่ภายในนี้นะ หายใจเข้าก็รู้อยู่
หายใจออกก็รู้อยู่อย่างนี้นะ ก็มาเพ่งความรู้สึกอันนี้
ให้แน่วแน่อยู่ ไม่ให้มันคิดไปไหนมาไหนในขณะนั้นน่ะ
เช่นนี้แล้วไอ้ความที่นิมิตต่างๆที่มันปรากฏออกมานั้น
มันก็จะระงับไปเลย เพราะว่าจิตใจไม่ได้จดจ่อกับมัน
ให้เข้าใจอย่างนี้ ไอ้ที่นิมิตมันไม่หายนั้นน่ะ
เพราะว่าใจไปผูกพันกับมันไว้
ไปสำคัญว่ามันเป็นจริงเป็นจังอย่างนี้นะ
แท้ที่จริงแล้วมันไม่จริงไม่จังอะไรหรอก
มันเป็น “สัญญา” สัญญานี้เหมือนผีหลอกนี้นะ
มันหลอกให้จิตดิ้นรนกวัดแกว่งไปทั่วเลย
เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงสัญญา ความจำหมายอารมณ์ต่างๆ
จำรูปจำ จำเสียงกลิ่นรส เครื่องสัมผัส จำสี จำเสียงต่างๆ
จำสีขาวสีดำ สีแดงสีเหลือง สีอะไรต่ออะไรหมู่นี้
มันก็ล้วนแต่สัญญาทั้งนั้นแหละ สีก็ไม่เที่ยง
สัญญาที่จำน่ะก็ไม่เที่ยง มันมีเกิดมีดับอยู่อย่างนั้น
เมื่อเรารู้ลักษณะอาการของนิมิตอย่างนี้แล้วถอยจิตกลับคืนมา
มีสติประคองความรู้สึกอยู่ในปัจจุบันนี้
ไม่ให้มันคิดอ่านไปทางไหนอย่างนี้นะ
แล้วนิมิตมันก็ดับไป เมื่อนิมิตดับไปแล้ว
จิตใจมันก็รวมลงเป็นหนึ่งได้สบาย เบา ปลอดโปร่ง
อันนิมิตนี่ถ้ารู้เท่าแล้วมันมีคุณอยู่เหมือนกันแหละ
ทำให้ใจผ่องใสเบิกบาน ทำให้ปัญญาเกิดขึ้น
มีสติความคิดนึกว่องไว รู้เท่าทันอารมณ์ต่างๆ
ที่จรมากระทบกระทั่งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมู่นี้นะ
เรารู้เท่าทันแล้วไม่ยึดถือเอามัน ไม่ยินดียินร้ายกับมันแล้ว
มันก็หายไปดับไปตามเรื่องของมันเฉยๆน่ะ
เรียกว่า มันสำคัญที่จิตไปหลงยึดหลงถือต่างหาก
ไปถือไปยึดถือเอาของไม่เที่ยง ..หมายความว่าอย่างนั้นแหละ
มันก็ไม่เที่ยงแหละบัดนี้มันก็แปรสภาพไปทั่วเลย ก็อย่างว่ามันไม่เที่ยง
ดังนั้นน่ะพระพุทธองค์จึงได้ทรงสอนให้รู้เท่าเลย
แม่นนิมิตอะไรเกิดขึ้นมา ตั้งสติให้มั่น
แล้วกำหนดรู้เท่าว่า มันเป็นแต่เพียงสัญญาอารมณ์เท่านั้น
เกิดแล้วก็ดับไป ไม่คงที่อย่างนี้นะ ดังนั้นขอให้พากันเข้าใจ
การฝึกฝนอบรมจิตใจนี้น่ะ ให้เข้าใจตามนี้
ผู้ใดเทศน์ให้ฟังปานนี้ยังเข้าใจความหมายไม่ได้..บาปหลาย
บาปมากทีเดียว ก็ไปเสวยผลของบาปซะก่อนไป๊
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "เพ่งเผากิเลส"
ทวนกระแสจิตแก้นิมิต : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
บรรดานิมิตทั้งหลายนั้นมันเรื่องราวของกิเลสนะให้เข้าใจ
ฉะนั้นอย่าไปหลงนิมิตต่างๆ บุคคลผู้หลงนิมิตนั้นจิตวิปลาส
พอแต่นิมิตปรากฏในมโนทวารอย่างไรก็เชื่อมั่นว่าเป็นจริงอย่างนั้น
ก็ปล่อยจิตให้ไหลไปตามนิมิตนั้นอย่างนี้นะนี้ล่ะมันเกิดวิปลาสให้เข้าใจ
มันไม่ใช่ธรรมของจริงนิมิตต่างๆน่ะ ไม่ควรที่จะไปถือมั่น
ไปถือมั่นของไม่เที่ยงยังไงเล่า ไปถือมั่นของไม่เที่ยง
ก็เป็นทุกข์เหมือนกับไปถือมั่นร่างกายสังขารอันนี้
ว่าเป็นตัวเป็นตนมันก็ทุกข์อยู่อย่างนี้แหละ ให้เข้าใจ
ถือมั่นในสัญญาวิปลาสต่างๆหมู่นี้
มันก็ล้วนแต่เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทางจิตใจทั้งนั้นเลย
เอ้าทำยังไงว่ะถึงจะพ้นจากนิมิตเหล่านี้ไปได้?
ก็เมื่อนิมิตต่างๆปรากฏขึ้น มันจะปรากฏภายนอก
พอเห็นนิมิตเหล่านั้นแล้วเราก็กำหนดรู้ ว่านั่นคือ นิมิต ..ไม่เที่ยง
มันเกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนแตกดับไป อย่าไปใส่ใจกับมัน
เตือนใจเข้าไปอย่างนี้แล้วถอย ทวนกระแสจิตเข้ามา
หาความรู้สึกอยู่ภายในนี้นะ หายใจเข้าก็รู้อยู่
หายใจออกก็รู้อยู่อย่างนี้นะ ก็มาเพ่งความรู้สึกอันนี้
ให้แน่วแน่อยู่ ไม่ให้มันคิดไปไหนมาไหนในขณะนั้นน่ะ
เช่นนี้แล้วไอ้ความที่นิมิตต่างๆที่มันปรากฏออกมานั้น
มันก็จะระงับไปเลย เพราะว่าจิตใจไม่ได้จดจ่อกับมัน
ให้เข้าใจอย่างนี้ ไอ้ที่นิมิตมันไม่หายนั้นน่ะ
เพราะว่าใจไปผูกพันกับมันไว้
ไปสำคัญว่ามันเป็นจริงเป็นจังอย่างนี้นะ
แท้ที่จริงแล้วมันไม่จริงไม่จังอะไรหรอก
มันเป็น “สัญญา” สัญญานี้เหมือนผีหลอกนี้นะ
มันหลอกให้จิตดิ้นรนกวัดแกว่งไปทั่วเลย
เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงสัญญา ความจำหมายอารมณ์ต่างๆ
จำรูปจำ จำเสียงกลิ่นรส เครื่องสัมผัส จำสี จำเสียงต่างๆ
จำสีขาวสีดำ สีแดงสีเหลือง สีอะไรต่ออะไรหมู่นี้
มันก็ล้วนแต่สัญญาทั้งนั้นแหละ สีก็ไม่เที่ยง
สัญญาที่จำน่ะก็ไม่เที่ยง มันมีเกิดมีดับอยู่อย่างนั้น
เมื่อเรารู้ลักษณะอาการของนิมิตอย่างนี้แล้วถอยจิตกลับคืนมา
มีสติประคองความรู้สึกอยู่ในปัจจุบันนี้
ไม่ให้มันคิดอ่านไปทางไหนอย่างนี้นะ
แล้วนิมิตมันก็ดับไป เมื่อนิมิตดับไปแล้ว
จิตใจมันก็รวมลงเป็นหนึ่งได้สบาย เบา ปลอดโปร่ง
อันนิมิตนี่ถ้ารู้เท่าแล้วมันมีคุณอยู่เหมือนกันแหละ
ทำให้ใจผ่องใสเบิกบาน ทำให้ปัญญาเกิดขึ้น
มีสติความคิดนึกว่องไว รู้เท่าทันอารมณ์ต่างๆ
ที่จรมากระทบกระทั่งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมู่นี้นะ
เรารู้เท่าทันแล้วไม่ยึดถือเอามัน ไม่ยินดียินร้ายกับมันแล้ว
มันก็หายไปดับไปตามเรื่องของมันเฉยๆน่ะ
เรียกว่า มันสำคัญที่จิตไปหลงยึดหลงถือต่างหาก
ไปถือไปยึดถือเอาของไม่เที่ยง ..หมายความว่าอย่างนั้นแหละ
มันก็ไม่เที่ยงแหละบัดนี้มันก็แปรสภาพไปทั่วเลย ก็อย่างว่ามันไม่เที่ยง
ดังนั้นน่ะพระพุทธองค์จึงได้ทรงสอนให้รู้เท่าเลย
แม่นนิมิตอะไรเกิดขึ้นมา ตั้งสติให้มั่น
แล้วกำหนดรู้เท่าว่า มันเป็นแต่เพียงสัญญาอารมณ์เท่านั้น
เกิดแล้วก็ดับไป ไม่คงที่อย่างนี้นะ ดังนั้นขอให้พากันเข้าใจ
การฝึกฝนอบรมจิตใจนี้น่ะ ให้เข้าใจตามนี้
ผู้ใดเทศน์ให้ฟังปานนี้ยังเข้าใจความหมายไม่ได้..บาปหลาย
บาปมากทีเดียว ก็ไปเสวยผลของบาปซะก่อนไป๊
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "เพ่งเผากิเลส"