ท่ามกลางร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยที่เปิดกันเยอะแยะ มีหลายระดับ หลายสไตล์และหลายราคา ตอบโจทย์รสนิยม กำลังทรัพย์ และความสะดวกในการเดินทางของลูกค้าในแต่ละย่าน สำหรับใครที่อยู่ใกล้ย่านสุขุมวิท 26 หรือพระราม4 ถ้าชอบอาหารญี่ปุ่นสไตล์อิซากายา สูตรฮอกไกโด ที่ปรุงโดยเชฟญี่ปุ่น ได้รสชาติสูตรต้นตำรับในราคาสบายๆ ไม่ต้องลำบากไปกินไกลถึงญี่ปุ่น ขอแนะนำให้แวะมาลองชิมที่ Tsubohachi ซึ่งตั้งอยู่ใน Nihonmachi Japanese Mall ซอยสุขุมวิท 26 หรือจะเข้าทางพระราม 4 ก็ได้ อยู่ติดกับ K-Village ถ้าเข้ามาในที่จอดรถของ Nihonmachi แล้วบังเอิญที่จอดเต็มก็ไม่ต้องตกใจว่าจะพลาดนัด สามารถไปจอดในลานของ K-Village ใกล้ๆกันได้ แต่ต้องเสียค่าจอดแบบเหมาจ่าย 40 บาท มียามเฝ้าให้เรียบร้อย ก็สะดวกดี เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่การเดินทางมาสะดวกสบาย และบรรยากาศโดยรวมของ Nihonmachi Japanese Mall นั้นก็คึกคักมีชีวิตชีวาน่าเดินมากในช่วงเย็น เพราะมีคนทำงานออฟฟิศมาดเท่ๆ สไตล์ญี่ปุ่น มานั่งดื่มกินกันอย่างครึกครื้น จะว่าไปก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆ ตอนไปเดินเล่นหลังเลิกงานย่านกินดื่มแบบ Izakaya ในโตเกียว ที่มีหนุ่มสาวออฟฟิศมาชนแก้วกินดื่มโต้รุ่งอยู่เหมือนกันนะ แต่ของบ้านเราจะดูเรียบร้อยกว่านิดนึง อาจเป็นเพราะอยู่ในเมืองไทย เลยไม่สุดเหวี่ยงเท่า
ร้าน Hokkaido Tsubohachi ตั้งอยู่ในส่วนมุมด้านขวา ชั้นล่างของ Nihonmachi เปิดประตูเข้าไปก็จะเจอโต๊ะแคชเชียร์อยู่ทางขวามือ ทำนองเดียวกับร้านในญี่ปุ่น แบ่งโซนออกเป็น 3 โซน คือ โซนด้านนอกติดกระจกหน้าร้าน โซนใกล้กับเคาน์เตอร์บาร์ และโซนที่เป็นห้องสำหรับปาร์ตี้ โดยในส่วนห้องด้านหน้า ก็สามารถปิดให้เป็นส่วนตัวได้ ถ้าต้องการจัดปาร์ตี้ส่วนตัว
เมื่อมาถึง บริกรคนไทยในชุดญี่ปุ่นน่ารัก ก็มาต้อนรับอย่างสุภาพด้วยท่าทีซึ่งฝึกฝนมารยาทมาเป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศร้านที่ดูบ้านๆ กันเอง สบายๆ ไม่หรูหรา ดูพิเศษขึ้นจากการบริการนี่เอง โดยเริ่มจากเครื่องดื่ม ซึ่งเราก็สั่งทั้งชาเขียวร้อนและเย็นมาดับกระหายเป็นลำดับแรก
เมนูแรกที่เลือกก็คือ Tokumori Set ปลาดิบรวมชุดพิเศษ ในราคา 999 บาท ประกอบด้วยปลา กุ้ง หอย และไข่ปลา ได้แก่ Buri, Shimesaba, Hokki, Salmon, Maguro, Tokobutsu, Ama Ebi, Ika, and Ikura Oroshi เมนูนี้เหมาะจะสั่งมาแบ่งกัน 2 คน กำลังดี ไม่อิ่มเกินไป ราคาก็ไม่แพงเลย เมื่อดูจากวัตถุดิบที่สด คุณภาพใช้ได้ ซึ่งคิดว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะร้านนี้ มีเจ้าของคือเครือ IMPACT ซึ่งเป็นธุรกิจใหญ่ มีสาขาหลายแห่ง มีร้านอาหารอื่นในเครือหลายร้าน จึงทำให้สั่งซื้อของนำเข้าในปริมาณมากได้ในต้นทุนที่ไม่สูงมาก ราคาขายจึงไม่แพงเหมือนร้านที่อยู่เดี่ยวๆ
เมนูถัดมาเป็น Potato Mentaiko Yaki มันฝรั่งกับไข่ปลาทอดราคา 139 บาท กลิ่นหอมมาก เสิร์ฟมาในจานร้อน ชีสด้านหน้าเดือดปุดๆ เวลาตักก็ยืดๆ น่ากินมาก รสชาติอร่อยนุ่มนวล อารมณ์คล้ายๆพิซซา แต่มีมันอยู่ข้างใน หวานๆเค็มๆกำลังดี ขนาดไม่ใหญ่เกินไป ควรแบ่งกันกิน 2-3 คน ไม่ให้อิ่มมาก จะได้เหลือท้องไว้ชิมอย่างอื่นด้วย
เราสั่ง ปูทาราบะนึ่ง ราคา 999 บาท มาลองชิม ซึ่งสังเกตว่า อาหารร้านนี้ ราคาโดยส่วนใหญ่จะไม่สูงมาก และปูจานละ 999 บาทนี่ก็เป็นกลยุทธ์ด้านราคาที่เข้าท่าทีเดียว เพราะทำให้คนรู้สึกว่า ราคาไม่ถึงพัน ก็กล้าสั่งมากินได้สบายๆ โดยเสิร์ฟมาในภาชนะไม้ไผ่สาน แกะเนื้อและผ่าก้ามมาให้กินได้อย่างสะดวก มีเครื่องมือแกะปูมาให้เสร็จสรรพ กินง่ายไม่เลอะเทอะ เนื้อปูแน่น หวานด้วยความสดและเค็มปะแล่มๆ กำลังดี มีกลิ่นหอม อร่อยน่ากินมาก รสชาติต่างกันมากกับพวกขาปูแแช่น้ำแข็งตามไลน์บุฟเฟต์ อันนี้อร่อยกว่าเยอะ
อีกหนึ่งเมนูที่เป็นจานเด่นสูตรต้นตำรับของร้าน ที่มาแล้วต้องสั่ง ก็คือ Hokkai Kamameshi ข้าวอบฮอกไกโด ราคา 349 บาท เขาจะเสิร์ฟมาในหม้อเล็กๆ ตั้งไฟ มีข้าวหุงอยู่ข้างล่าง โปะหน้าด้วยปลา หอย เห็ด สดๆ หุงกับน้ำซุป และมีจานผักโรยวางเคียงมาข้างๆ ซึ่งต้องตั้งไฟรอให้ข้าวสุกสักครู่หนึ่ง กลิ่นหอมฉุย พอสุกแล้วต้องรีบคนไม่ให้ข้าวไหม้ ตักแบ่งกินกันในถ้วยเล็กๆได้พอดี 2 คนต่อหนึ่งหม้อ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แต่ถ้ามากินคนเดียว อาหารอย่างเดียว จะสั่งข้าวฮอกไกโดแบบนี้มากินหม้อนึง ก็น่าจะอิ่มพอดีเหมือนกัน
ระหว่างที่รอข้าวสุกก็มี สุกี้ยากี้หม้อไฟหมู มาให้ซดร้อนๆคล่องคอ ใส่เส้นอุด้ง น้ำซุปทำมาจากปลาแห้ง รสชาติออกหวานๆเค็มๆ หม้อนึงกินแบ่งกันสักสองสามคนกำลังดี
เชฟฮิโระ เอาหม้อไฟมาวางเสิร์ฟพร้อมรอยยิ้มอย่างเขิน แต่อัธยาศัยดี อยู่แค่ปีเดียวพูดภาษาไทยได้ปร๋อ ไม่น่าเชื่อ ขยันปล่อยมุกให้ลูกค้ายิ้มตลอด แกเป็นคนยิ้มเก่ง สาวๆเห็นแล้วจะเอ็นดู เชฟบอกว่า อยากมีแฟนเป็นคนไทย แต่เราก็ลืมถามว่า แฟนผู้หญิงหรือผู้ชาย เอาไว้ไปคราวหน้าจะถามใหม่ให้หายข้องใจ
กินอาหารร้อนๆ แล้วก็ต้องดื่มอะไรเย็นๆ สั่ง Gekkeikan Traditional Sake (M) สาเก ราคา 220 บาท มาชิม ก็ไม่ผิดหวัง รสชาติหวานกลมกล่อม แต่แนะนำว่า สาเกขวดจิ๋วๆ นี้น่าจะสั่งมาดื่มกันคนละชุด เพราะหนึ่งขวดรินได้สวยๆ ไม่น่าจะเกิน 3 แก้ว
อีกเมนูที่น่าสนใจก็คือ Sanshoku Masu-Zushi ข้าวหน้ารวมมิตร ราคา 329 บาท จานนี้จะดูเหมือนราคาสูงสักหน่อยถ้าเทียบกับเมนูอื่นๆในร้าน เพราะมีขนาดจุ๋มจิ๋ม กินได้คนเดียว แต่ถ้าชิมแล้วก็จะไม่คิดว่าแพง เพราะมีครบทั้ง ไข่หอยเม่น เนื้อปู และไข่ปลาซัลมอน ที่เชฟใส่โปะหน้ามาเต็มๆไม่ยั้งมือ กินแล้วเต็มปากเต็มคำดีมาก
เพิ่มความมันกันอีกหน่อยด้วย Engawa Nigini ข้าวปั้นหน้าปลาตาเดียว ราคา คู่ละ 99 บาท เราสั่งมา 4 ชิ้น ก็ 198 บาท อร่อยเค็มมัน จิบสาเกไปด้วย เข้ากัน
และเนื่องจากเห็นว่า ร้านนี้มีปูชนิดต่างๆอยู่ในเมนูให้เลือก ก็เลยลองสั่ง Aburi Zuwaigani ปูซูไวเผา ราคา 220 บาท มาชิมอีกหนึ่งเมนู เพราะอยากรู้ว่า ต่างกับปูทาราบะยังไง ก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะ เนื้อแน่น สดหวาน หอมกลิ่นไหม้นิดๆจากการเผา อร่อยทีเดียว จะบีบเลมอนหรือไม่บีบก็อร่อยทั้งนั้น
อิ่มอร่อยกับหลากหลายเมนูเด็ดแล้ว ก็ปิดท้ายกันด้วยของหวานจานเด่น 2 เมนู คือ Roll de Matcha โรลเดอมัทฉะ ราคา 119 บาท กับ Mini Choco Sundae ช็อคโกแลตซันเดย์มินิ 139 บาท เป็นขนมหวานที่น่าจะถูกใจทั้งผู้ใหญ่และเด็กๆ เพราะรสชาติหอมมัน นุ่มละมุน แต่ไม่หวานเกินไป กินแล้วมีความสุขหลับตาพริ้ม
โดยเฉพาะ โรลเดอมัทฉะ นั้น เนื้อครีมนวลเนียม เย็น รสชาตินุ่มเบาๆ ชิมแล้วจะติดใจมาก หนึ่งจานกินได้ 2-3 คน สั่งมาแชร์กันได้ กินคนเดียวคงจุก
ความประทับใจของ Hokkaido Tsubohachi @ Nihonmachi คือ อาหารที่หลากหลาย รสชาติดี ที่มีให้เลือกถึง 150 รายการ ด้วยราคาสบายๆ ทั้งแบบเซ็ทเมนูและอาหารจานเดี่ยวๆ รวมไปถึงอาหารปิ้งย่าง อาหารกินเล่น และกับแกล้มที่เหมาะกับการสังสรรค์ชนแก้วกับเพื่อนฝูง ในบรรยากาศเป็นกันเอง ซึ่งตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นโอเรียนทัล และบริการดีมีมาตรฐาน รับรองว่า ใครที่ได้ไปชิมแล้วก็คงอยากจะชวนคนอื่นมาชิมด้วยอีก และในอนาคตก็จะมีสาขาใหม่ๆเปิดขึ้นอีกหลายทำเลให้ได้อร่อยกันถ้วนหน้า
[SR] Tsubohachi ร้านญี่ปุ่นสไตล์อิซากายาตำรับฮอกไกโด
ท่ามกลางร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยที่เปิดกันเยอะแยะ มีหลายระดับ หลายสไตล์และหลายราคา ตอบโจทย์รสนิยม กำลังทรัพย์ และความสะดวกในการเดินทางของลูกค้าในแต่ละย่าน สำหรับใครที่อยู่ใกล้ย่านสุขุมวิท 26 หรือพระราม4 ถ้าชอบอาหารญี่ปุ่นสไตล์อิซากายา สูตรฮอกไกโด ที่ปรุงโดยเชฟญี่ปุ่น ได้รสชาติสูตรต้นตำรับในราคาสบายๆ ไม่ต้องลำบากไปกินไกลถึงญี่ปุ่น ขอแนะนำให้แวะมาลองชิมที่ Tsubohachi ซึ่งตั้งอยู่ใน Nihonmachi Japanese Mall ซอยสุขุมวิท 26 หรือจะเข้าทางพระราม 4 ก็ได้ อยู่ติดกับ K-Village ถ้าเข้ามาในที่จอดรถของ Nihonmachi แล้วบังเอิญที่จอดเต็มก็ไม่ต้องตกใจว่าจะพลาดนัด สามารถไปจอดในลานของ K-Village ใกล้ๆกันได้ แต่ต้องเสียค่าจอดแบบเหมาจ่าย 40 บาท มียามเฝ้าให้เรียบร้อย ก็สะดวกดี เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่การเดินทางมาสะดวกสบาย และบรรยากาศโดยรวมของ Nihonmachi Japanese Mall นั้นก็คึกคักมีชีวิตชีวาน่าเดินมากในช่วงเย็น เพราะมีคนทำงานออฟฟิศมาดเท่ๆ สไตล์ญี่ปุ่น มานั่งดื่มกินกันอย่างครึกครื้น จะว่าไปก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆ ตอนไปเดินเล่นหลังเลิกงานย่านกินดื่มแบบ Izakaya ในโตเกียว ที่มีหนุ่มสาวออฟฟิศมาชนแก้วกินดื่มโต้รุ่งอยู่เหมือนกันนะ แต่ของบ้านเราจะดูเรียบร้อยกว่านิดนึง อาจเป็นเพราะอยู่ในเมืองไทย เลยไม่สุดเหวี่ยงเท่า
ร้าน Hokkaido Tsubohachi ตั้งอยู่ในส่วนมุมด้านขวา ชั้นล่างของ Nihonmachi เปิดประตูเข้าไปก็จะเจอโต๊ะแคชเชียร์อยู่ทางขวามือ ทำนองเดียวกับร้านในญี่ปุ่น แบ่งโซนออกเป็น 3 โซน คือ โซนด้านนอกติดกระจกหน้าร้าน โซนใกล้กับเคาน์เตอร์บาร์ และโซนที่เป็นห้องสำหรับปาร์ตี้ โดยในส่วนห้องด้านหน้า ก็สามารถปิดให้เป็นส่วนตัวได้ ถ้าต้องการจัดปาร์ตี้ส่วนตัว
เมื่อมาถึง บริกรคนไทยในชุดญี่ปุ่นน่ารัก ก็มาต้อนรับอย่างสุภาพด้วยท่าทีซึ่งฝึกฝนมารยาทมาเป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศร้านที่ดูบ้านๆ กันเอง สบายๆ ไม่หรูหรา ดูพิเศษขึ้นจากการบริการนี่เอง โดยเริ่มจากเครื่องดื่ม ซึ่งเราก็สั่งทั้งชาเขียวร้อนและเย็นมาดับกระหายเป็นลำดับแรก
เมนูแรกที่เลือกก็คือ Tokumori Set ปลาดิบรวมชุดพิเศษ ในราคา 999 บาท ประกอบด้วยปลา กุ้ง หอย และไข่ปลา ได้แก่ Buri, Shimesaba, Hokki, Salmon, Maguro, Tokobutsu, Ama Ebi, Ika, and Ikura Oroshi เมนูนี้เหมาะจะสั่งมาแบ่งกัน 2 คน กำลังดี ไม่อิ่มเกินไป ราคาก็ไม่แพงเลย เมื่อดูจากวัตถุดิบที่สด คุณภาพใช้ได้ ซึ่งคิดว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะร้านนี้ มีเจ้าของคือเครือ IMPACT ซึ่งเป็นธุรกิจใหญ่ มีสาขาหลายแห่ง มีร้านอาหารอื่นในเครือหลายร้าน จึงทำให้สั่งซื้อของนำเข้าในปริมาณมากได้ในต้นทุนที่ไม่สูงมาก ราคาขายจึงไม่แพงเหมือนร้านที่อยู่เดี่ยวๆ
เมนูถัดมาเป็น Potato Mentaiko Yaki มันฝรั่งกับไข่ปลาทอดราคา 139 บาท กลิ่นหอมมาก เสิร์ฟมาในจานร้อน ชีสด้านหน้าเดือดปุดๆ เวลาตักก็ยืดๆ น่ากินมาก รสชาติอร่อยนุ่มนวล อารมณ์คล้ายๆพิซซา แต่มีมันอยู่ข้างใน หวานๆเค็มๆกำลังดี ขนาดไม่ใหญ่เกินไป ควรแบ่งกันกิน 2-3 คน ไม่ให้อิ่มมาก จะได้เหลือท้องไว้ชิมอย่างอื่นด้วย
เราสั่ง ปูทาราบะนึ่ง ราคา 999 บาท มาลองชิม ซึ่งสังเกตว่า อาหารร้านนี้ ราคาโดยส่วนใหญ่จะไม่สูงมาก และปูจานละ 999 บาทนี่ก็เป็นกลยุทธ์ด้านราคาที่เข้าท่าทีเดียว เพราะทำให้คนรู้สึกว่า ราคาไม่ถึงพัน ก็กล้าสั่งมากินได้สบายๆ โดยเสิร์ฟมาในภาชนะไม้ไผ่สาน แกะเนื้อและผ่าก้ามมาให้กินได้อย่างสะดวก มีเครื่องมือแกะปูมาให้เสร็จสรรพ กินง่ายไม่เลอะเทอะ เนื้อปูแน่น หวานด้วยความสดและเค็มปะแล่มๆ กำลังดี มีกลิ่นหอม อร่อยน่ากินมาก รสชาติต่างกันมากกับพวกขาปูแแช่น้ำแข็งตามไลน์บุฟเฟต์ อันนี้อร่อยกว่าเยอะ
อีกหนึ่งเมนูที่เป็นจานเด่นสูตรต้นตำรับของร้าน ที่มาแล้วต้องสั่ง ก็คือ Hokkai Kamameshi ข้าวอบฮอกไกโด ราคา 349 บาท เขาจะเสิร์ฟมาในหม้อเล็กๆ ตั้งไฟ มีข้าวหุงอยู่ข้างล่าง โปะหน้าด้วยปลา หอย เห็ด สดๆ หุงกับน้ำซุป และมีจานผักโรยวางเคียงมาข้างๆ ซึ่งต้องตั้งไฟรอให้ข้าวสุกสักครู่หนึ่ง กลิ่นหอมฉุย พอสุกแล้วต้องรีบคนไม่ให้ข้าวไหม้ ตักแบ่งกินกันในถ้วยเล็กๆได้พอดี 2 คนต่อหนึ่งหม้อ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แต่ถ้ามากินคนเดียว อาหารอย่างเดียว จะสั่งข้าวฮอกไกโดแบบนี้มากินหม้อนึง ก็น่าจะอิ่มพอดีเหมือนกัน
ระหว่างที่รอข้าวสุกก็มี สุกี้ยากี้หม้อไฟหมู มาให้ซดร้อนๆคล่องคอ ใส่เส้นอุด้ง น้ำซุปทำมาจากปลาแห้ง รสชาติออกหวานๆเค็มๆ หม้อนึงกินแบ่งกันสักสองสามคนกำลังดี
เชฟฮิโระ เอาหม้อไฟมาวางเสิร์ฟพร้อมรอยยิ้มอย่างเขิน แต่อัธยาศัยดี อยู่แค่ปีเดียวพูดภาษาไทยได้ปร๋อ ไม่น่าเชื่อ ขยันปล่อยมุกให้ลูกค้ายิ้มตลอด แกเป็นคนยิ้มเก่ง สาวๆเห็นแล้วจะเอ็นดู เชฟบอกว่า อยากมีแฟนเป็นคนไทย แต่เราก็ลืมถามว่า แฟนผู้หญิงหรือผู้ชาย เอาไว้ไปคราวหน้าจะถามใหม่ให้หายข้องใจ
กินอาหารร้อนๆ แล้วก็ต้องดื่มอะไรเย็นๆ สั่ง Gekkeikan Traditional Sake (M) สาเก ราคา 220 บาท มาชิม ก็ไม่ผิดหวัง รสชาติหวานกลมกล่อม แต่แนะนำว่า สาเกขวดจิ๋วๆ นี้น่าจะสั่งมาดื่มกันคนละชุด เพราะหนึ่งขวดรินได้สวยๆ ไม่น่าจะเกิน 3 แก้ว
อีกเมนูที่น่าสนใจก็คือ Sanshoku Masu-Zushi ข้าวหน้ารวมมิตร ราคา 329 บาท จานนี้จะดูเหมือนราคาสูงสักหน่อยถ้าเทียบกับเมนูอื่นๆในร้าน เพราะมีขนาดจุ๋มจิ๋ม กินได้คนเดียว แต่ถ้าชิมแล้วก็จะไม่คิดว่าแพง เพราะมีครบทั้ง ไข่หอยเม่น เนื้อปู และไข่ปลาซัลมอน ที่เชฟใส่โปะหน้ามาเต็มๆไม่ยั้งมือ กินแล้วเต็มปากเต็มคำดีมาก
เพิ่มความมันกันอีกหน่อยด้วย Engawa Nigini ข้าวปั้นหน้าปลาตาเดียว ราคา คู่ละ 99 บาท เราสั่งมา 4 ชิ้น ก็ 198 บาท อร่อยเค็มมัน จิบสาเกไปด้วย เข้ากัน
และเนื่องจากเห็นว่า ร้านนี้มีปูชนิดต่างๆอยู่ในเมนูให้เลือก ก็เลยลองสั่ง Aburi Zuwaigani ปูซูไวเผา ราคา 220 บาท มาชิมอีกหนึ่งเมนู เพราะอยากรู้ว่า ต่างกับปูทาราบะยังไง ก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะ เนื้อแน่น สดหวาน หอมกลิ่นไหม้นิดๆจากการเผา อร่อยทีเดียว จะบีบเลมอนหรือไม่บีบก็อร่อยทั้งนั้น
อิ่มอร่อยกับหลากหลายเมนูเด็ดแล้ว ก็ปิดท้ายกันด้วยของหวานจานเด่น 2 เมนู คือ Roll de Matcha โรลเดอมัทฉะ ราคา 119 บาท กับ Mini Choco Sundae ช็อคโกแลตซันเดย์มินิ 139 บาท เป็นขนมหวานที่น่าจะถูกใจทั้งผู้ใหญ่และเด็กๆ เพราะรสชาติหอมมัน นุ่มละมุน แต่ไม่หวานเกินไป กินแล้วมีความสุขหลับตาพริ้ม
โดยเฉพาะ โรลเดอมัทฉะ นั้น เนื้อครีมนวลเนียม เย็น รสชาตินุ่มเบาๆ ชิมแล้วจะติดใจมาก หนึ่งจานกินได้ 2-3 คน สั่งมาแชร์กันได้ กินคนเดียวคงจุก
ความประทับใจของ Hokkaido Tsubohachi @ Nihonmachi คือ อาหารที่หลากหลาย รสชาติดี ที่มีให้เลือกถึง 150 รายการ ด้วยราคาสบายๆ ทั้งแบบเซ็ทเมนูและอาหารจานเดี่ยวๆ รวมไปถึงอาหารปิ้งย่าง อาหารกินเล่น และกับแกล้มที่เหมาะกับการสังสรรค์ชนแก้วกับเพื่อนฝูง ในบรรยากาศเป็นกันเอง ซึ่งตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นโอเรียนทัล และบริการดีมีมาตรฐาน รับรองว่า ใครที่ได้ไปชิมแล้วก็คงอยากจะชวนคนอื่นมาชิมด้วยอีก และในอนาคตก็จะมีสาขาใหม่ๆเปิดขึ้นอีกหลายทำเลให้ได้อร่อยกันถ้วนหน้า