สาปเสน่หา ตอนที่ 23 สิ้นแสงสูรย์....สู่สวรรคาลัย

กระทู้สนทนา
สิ้นแสงสูรย์...สู่สรวงสวรรคาลัย

         ข้างนอกพระนครคล้ายดังสงบลงชั่วคราวด้วยข้าศึกถอยห่างไปแล้ว องค์หญิงในชุดรัดกุมเยี่ยงนักรบชาย คลุมฉลองพระองค์ทับด้วยเกราะอ่อนหนังวัว เคียนเศียรเก็บเส้นเกศามิดเม้น พักตร์เครียดเข้มมิได้จางลงเพราะโล่งพระทัยที่ข้าศึกถอยร่น หากแต่ยิ่งทรงเป็นกังวลด้วยผีซ้ำด้ำพลอย เพราะมหาดเล็กนำข่าวมาทูลถึงป้อมปราการด่านหน้าว่า เจ้าฟ้าพระอาการประชวรกำเริบ เจ้านางสาวร้อนพระทัย รีบชวนเจ้าชายแม่ทัพใหญ่เสด็จเข้าเฝ้า ณ ตำหนักที่ประทับทันที
         เจ้าฟ้าหอคำทอดพระกายผอมเหลืองอยู่บนพระแท่น แวดล้อมด้วยพระญาติและอำมาตย์น้อยใหญ่ นำโดยเจ้าหลวงไชยรังษี  อำมาตย์เฒ่าหนานสัจจา หนานเขื่อนคำโหราจารย์ใหญ่ แม่ทัพหนานวงศา ข้างพระแท่นมีพ่อหมอวิลังคะยะ มหาเทวีศรีตองออนและพระชายาอุข่าพร้อมด้วยพระโอรสทั้งสามเฝ้าอาการอยู่ไม่ห่าง
         เพลานี้เจ้าฟ้ามิสามารถตั้งพระองค์ตรงได้อีกต่อไป พระพักตร์ซูบซีดและสายพระเนตรฝ้าฟางนั้นปรากฏแววเศร้าหมองด้วยตรอมพระทัย พระองค์ทรงห่วงบ้านเมืองจากภัยสงครามที่รุกคืบเข้ามาประชิด ยิ่งทอดพระเนตรเห็นดวงพักตร์ละมุนที่คร้ามแดดลมจนหมองคล้ำ กับวรกายบอบบางในสภาพเตรียมพร้อมออกศึกของพระธิดาสุดสวาทก็ยิ่งโทมนัส ด้วยมิอาจช่วยเหลืออันใดได้เลย
         เมื่อพระธิดาคนโปรดดำเนินมาถึง โอษฐ์ท่านจึงขยับ ทรงมีพระดำรัสแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน เรียกหาพระนางให้เข้ามาใกล้ ๆ  
“ลูกพ่อ กินยาอายุวัฒนะ...บัดเดี๋ยวนี้”
    รับสั่งสิ่งที่เป็นกังวลทันที และดูเหมือนต้องรวบรวมกำลังเต็มที่จึงจะสามารถมีรับสั่งได้ สายพระเนตรหม่นมัวฉายแววคาดคั้น เจ้านางสาวจึงล้วงเอาห่อผ้าเล็ก ๆ จากขอบภูษา เมื่อคลี่ห่อออกเผยให้เห็นเม็ดยากลม ๆ ขนาดเท่าปลายก้อนสีเงินจำนวนสี่เม็ด เจ้าฟ้าพยักพระพักตร์ให้ปฏิบัติตามรับสั่ง พระนางจึงส่งเม็ดยาใส่โอษฐ์เคี้ยวแล้วกลืนลงไปให้ทอดพระเนตร
“ดีมาก” ดำรัสอย่างพึงพระทัย พักตร์ซูบปรากฏรอยสรวลขึ้นน้อย ๆ
“อีกเม็ดจงเอาให้เจ้าพี่พรหมภูมินทร์ของเจ้าเถิด”
           มีรับสั่งแหบเครืออีกครั้ง ทรงเลื่อนสายพระเนตรมาจ้องร่างองครักษ์หนุ่มที่ประทับเยื้องพระธิดา เจ้านางนักรบจึงยื่นเม็ดโอสถวิเศษถวายแก่เจ้าพี่พรหมภูมินทร์เม็ดหนึ่ง ซึ่งพระองค์ก็รับมาถือไว้ เมื่อเห็นเป็นไปตามพระประสงค์ เจ้าฟ้าก็ระบายลมหายใจยาวราวโล่งพระทัย ทรงรวบรวมพละกำลังตรัสออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“คำหยาดฟ้าเอ๋ย จำคำพ่อไว้ให้ดี...การศึกหากเหลือกำลังนักลูกจงมีชีวิตอยู่ให้รอด ยาที่เหลือแม้นรักษาเมืองเอาไว้ไม่ได้ เจ้าจงเลือกรักษาราชวงศ์เรา...ระวัง...เมืองจองลองให้ดี ลูกเสือลูกจระเข้ต่างสายเลือดที่เลี้ยงไว้จนใหญ่ มันอาจแว้งกัดเอาได้”
           รับสั่งนั้นทำให้สะเทือนพระทัยองค์เองน้ำใส ๆ จึงคลอดวงเนตรหม่นมัว เจ้านางคำหยาดฟ้าสุดกลั้นเบือนพักตร์แอบซ่อนกรรแสง ไม่ต่อความใดอีกด้วยทรงแจ้งในดำรัสดีทุกประการ ทุกคนในที่นั้นก็ดูเหมือนรู้ความนัยจึงพากันนิ่งเงียบ พระนางเคลื่อนกายเข้าโอบกอดพระบิดาซบพักตร์ลงกับอุระท่าน ขบริมโอษฐ์กลั้นเสียงสะอื้นมิให้เล็ดลอดออกมา
“เจ้าพ่อโปรดวางพระทัยลูกจะไม่ทำให้ผิดหวัง ยามนี้รี้พลเวียงแถนเราแข็งแกร่งยิ่งนัก มีแสนยานุภาพน่าเกรงขาม บรรดาแม่ทัพและทหารล้วนเก่งกล้าการยุทธ เราช่วยกันต่อสู้เป็นสามารถจนข้าศึกถอยร่นไม่เป็นขบวนเลยนะจ้าว” ทูลยืนยันแล้วเงยพักตร์ขึ้นฝืนสรวลอ่อนหวานให้ท่าน
“ข้าน้อยก็ขอสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในหอคำแห่งนี้ว่า จะทุ่มเทป้องกันบ้านเมืองและคุ้มกันทุกพระองค์ให้ปลอดภัยด้วยชีวิตของข้าเอง” องค์ชายพรหมภูมินทร์กราบทูลยืนยันอีกคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง เจ้าฟ้าพยักพักตร์น้อย ๆ ค่อย ๆ ยกหัตถ์ท่านขึ้นลูบเศียรพระธิดา
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว...พ่อไม่เป็นไร มิต้องเป็นห่วง” สุรเสียงยิ่งนานยิ่งแผ่วโหยจนแทบต้องเอียงกรรณเข้าชิดริมโอษฐ์
“วันนี้พ่อเพียงอ่อนเพลียอยากพักหลับสักงีบ เจ้ากับพรหมภูมินทร์และเจ้าหลวงไชยรังษีเร่งหารือกันรับมือข้าศึกเถิด”
           รับสั่งอย่างเหนื่อยอ่อน หลังพระเนตรคล้ายหนักอึ้ง ค่อย ๆ หรี่ลงจนปิดสนิท ทุกคนในที่นั้นต่างหน้าตาตื่นตกใจ มหาเทวีและหมอวิลังคะยะถลันเข้ามาถึงพระกาย หมอยามองโกลตรงเข้าจับชีพจรข้างพระศอ ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ทรงบรรทมไปแล้วพระเจ้าข้า” หมอเฒ่าหันมาทูลองค์เทวีที่รีบปาดน้ำพระเนตรทิ้ง ทรงกลั้นกรรแสงพยักพักตร์รับรู้
“พ่ออยู่หัวอ่อนเพลียมากมาหลายเพลา เสวยได้แต่น้ำมิกลืนข้าวเลยสักคำ”
พระธิดาเคลื่อนองค์มากอดปลอบพระมารดา สีพระพักตร์องค์เทวีที่ซีดเผือดด้วยความตกพระทัยเมื่อครู่เริ่มมีสีซับโลหิตขึ้นมา สองแม่ลูกสวมกอดให้กำลังใจกัน
“เจ้าแม่ก็ดูอ่อนเพลียนัก พักเสียหน่อยเถิด ท่านเสวยบ้างหรือไม่”
“แม่ไม่เป็นไรดอก ว่าแต่เจ้าเถอะ เหน็ดเหนื่อยจากสู้รบยังมิได้พัก กลับไปกินข้าวปลานอนพักให้มีเรี่ยวแรงแล้วค่อยมาเฝ้าก็ได้ เจ้าพ่อท่านบรรทมอยู่ ดูสิ แค่ไม่กี่วันเจ้าซูบผอมลงมาก”เจ้าหลวงไชยรังษีซึ่งยามนี้ดูเหมือนจะเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของพระญาติเห็นแม่ลูกต่างเป็นห่วงกันจึงทรงมีดำรัสเตือน
“คงต้องให้เจ้าฟ้าได้พักผ่อนเต็มที่ รวมทั้งพระเทวีด้วย เช่นนี้พวกเราทั้งหมดก็ออกไปเจรจากันข้างนอกเถอะ ให้มหาเทวีกับพระชายาคอยเฝ้าพระอาการเอาไว้ หากตื่นบรรทมยามใดก็ขอให้เร่งแจ้งข่าว แล้วพวกเราค่อยมาเข้าเฝ้าอีกที”เหล่าพระญาติและเสนาอำมาตย์เห็นด้วยจึงพากันล่าถอยออกไปจากห้องบรรทม เจ้านางกอดพระมารดาแนบแน่นก่อนทูลลาตามออกไปด้วยอีกพระองค์หนึ่ง
           ที่หน้าห้องบรรทมนั้นเอง เจ้านางม่านมณีพร้อมบ่าวคำแปงและบัวตองยืนคอยท่าอยู่หน้าทวาร เมื่อทรงเห็นสวามีดำเนินออกมาก็โผผวาเข้าหาด้วยความคิดถึง ตรงเข้าสวมกอดอย่างไม่สนสายตาผู้ใด เจ้าชายพรหมภูมินทร์อ้าพาหาออกโอบร่างแน่งน้อยนั้นไว้กับอ้อมอุระ เจ้าหลวงไชยรังษีกับอำมาตย์น้อยใหญ่ต่างพากันมองยิ้ม ๆ แล้วแยกย้ายกันไป
“น้องเป็นห่วงเจ้าพี่เหลือเกิน การศึกหนักหนาสาหัสเพียงนี้คงเหนื่อยนัก เจ้าพี่บาดเจ็บบ้างหรือไม่ สงครามช่างน่าเกลียดชัง น้องกลัวว่าจะเหมือนคราวศึกที่ห้วยยางลาย” ตรัสพลางกวาดมองไปทั่ววรกาย สองหัตถ์ลูบไล้ดูร่องรอยของบาดแผล
“อ้ายไม่เป็นไรดอกเจ้ามิต้องเป็นห่วง น้องกลับตำหนักไปเถิดอย่าได้หวาดกลัวอันใด มีเจ้าพี่พรหมภูมินทร์อยู่นี่ทั้งคนจะไม่ให้ใครมาทำอันตรายเจ้าได้”
           ดำรัสปนรอยสรวลขำขันปลอบพระชายาของสวามีรูปงามช่างนุ่มนวลอ่อนโยน แต่มันกลับบาดลึกเข้าไปทำร้ายจิตใจของอีกหนึ่งนางที่ยืนมองอยู่ห่างออกไป
....อยากโผเข้าไปอยู่ในอ้อมพาหาแข็งแรงนั้นบ้างแล้วออดอ้อนบอกว่าเหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจ อยากร่ำไห้กับอุระกว้างในยามท้อแท้หมดกำลังใจเยี่ยงนี้เหลือเกิน...
           แต่ที่ทำได้เพียงยืนมองคู่รักเขาโอบกอดปลอบกันไปมา เจ้าหญิงนักรบดำเนินเลี่ยงไปเสียอีกทางให้ห่างจากภาพบาดตา บัวตองซึ่งยืนคอยท่าเข้าใจความรู้สึกของนายตนดีจึงรีบสาวเท้าตามไปทันที

           ยามวิกาลของค่ำคืนอันมืดมิด ด้วยดวงจันทราและหมู่ดาราน้อยใหญ่ต่างพากันเร้นกายอยู่ภายใต้เมฆหนาดำทะมึนคล้ายดั่งฝนจะตก วสันต์ปีนี้ฝนดีนัก หากไม่มีศึกสงครามป่านนี้ชาวนาคงดำกล้าไถหว่าน ชาวสวนก็คงลงมือปลูกผักอยู่เต็มสวน ผลหมากรากไม้ต่างเริ่มผลิดอกออกผลด้วยอานิสงส์ของน้ำฟ้า แต่อนิจจา...วสันต์ปีนี้กลับมีแต่น้ำตานอง
           เจ้านางโฉมงามมิได้กลับไปพักผ่อนตามดำรัสขององค์เทวี แต่ทรงชุดของบุรุษยืนหยัดวรกายตั้งตรงอยู่บนเชิงกำแพงชั้นในกับเหล่าทหารหญิง จุดนี้สามารถมองเห็นไปไกลได้เป็นมุมกว้างเหมาะแก่การขึ้นเฝ้าสังเกตการณ์ระวังภัย ด้านล่างกำแพงเมืองมีทหารชายหลายนายเดินตรวจตรารักษาความปลอดภัยไปรอบ ๆ เพื่อความไม่ประมาท
           แสงสว่างจากคบเพลิงที่ถูกจุดเป็นระยะตลอดแนวกำแพงสาดจับวงพักตร์ที่ดูอิดโรย หัตถ์ขวายังกำคันธนูคู่พระทัยไว้มั่น บ่าวบัวตองซึ่งแต่งกายด้วยชุดเสื้อและกางเกงเยี่ยงบุรุษเช่นเดียวกันตามขึ้นมาหานายสาวบนกำแพงเมือง ในมือประคองห่อข้าวเหนียวโปะด้วยเนื้อหมูย่างควันยังกรุ่น ส่งกลิ่นหอมฉุย มีน้ำพริกตำละเอียดสีแดง ๆ ใส่กระเทียมและปลาร้า ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้คนแถบนี้ เรียกว่าน้ำพริกตาแดงใส่แถมมาในห่อใบตองขนาดเขื่อง พร้อมสะพายกระติกน้ำทำด้วยเงินใบเล็กมาด้วย
“เสวยเสียหน่อยเถิดจ้าว เจ้านางไม่เสวยสิ่งใดมาหลายเพลาแล้ว ข้าเจ้าขอให้แม่ครัวตำน้ำพริกอร่อย ๆ จะได้ล่อแม่น้ำลาย กับให้ย่างหมูปรุงจนรสชาติดี พอกลืนได้คล่องคอมาให้ลองชิมดู”
    บ่าวหญิงคุกเข่าลงแล้ววางกระติกน้ำใบเล็กไว้ข้างตัว พยายามประคองข้าวห่อใบตองห่อนั้นยื่นถวายนายหญิงที่เหลียวมามองอย่างเฉยเมย น้ำเสียงก็พร่ำสรรพคุณรสชาติอาหารไม่ขาดปาก
“น้ำพริกนี้อร่อยนัก เนื้อหมูย่างก็หอมหวาน ข้าเจ้าให้แม่ครัวทำเป็นพิเศษ ลองชิมดูหน่อยเถิดเจ้าข้า”
“ไม่ล่ะ ข้าไม่หิว เอาไปให้ทหารข้างล่างกินเถอะ พวกเขาต้องการอาหารมากกว่าข้า” เจ้านางสาวเบือนพักตร์หนี กลิ่นอาหารนอกจากไม่ทำให้หิวยังรู้สึกปั่นป่วนในช่องนาภี ลำศอตีบตันดั่งแท่งเหล็ก ไม่นึกอยากข้าวอยากน้ำใด ๆ
“ลองเสวยเสียหน่อยเถอะจ้าว เดี๋ยวจะเป็นลมเพราะหิวข้าวเอาได้” นางกำนัลผู้จงรักยังคงคะยั้นคะยอ
“เอ๊ะ พูดไม่รู้ฟังรึไง ข้าบอกว่าไม่อยากกิน ๆ หูเจ้าหนวกรึ บัวตอง”
           ทรงตวาดเสียงดังเข้าใส่นางบ่าวจนนางหน้าเจื่อน จำต้องลดมือที่ประคองห่อข้าวนั้นลงแต่ยังไม่ยอมขยับไปไหน เจ้านางสาวแลมองหน้าเจื่อน ๆ นั้นแล้วก็ทรงถอนพระทัยออกมา เอ่ยกับนางด้วยสุ้มเสียงอ่อนลง
“เอาล่ะ ๆ ข้าจะกินก็ได้”
           บ่าวบัวตองยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ รีบส่งถวายห่อข้าวให้นายสาว เจ้านางทรุดลงประทับขัดสมาธิกับพื้นกำแพงแข็งกระด้าง ทรงรับห่อข้าวมาถือไว้ หยิบข้าวเหนียวกับหมูย่างใส่โอษฐ์เคี้ยวหยับ ๆ แต่พอกลืนลงลำศอก็ถึงกับสำลัก ต้องไอโขลกออกมาเพราะฝืดคอ เนื่องจากมิได้มีข้าวสักเม็ดหรือน้ำสักหยดตกถึงกระเพาะมาหลายเพลา บัวตองรีบยื่นกระติกใส่น้ำดื่มถวายให้อย่างรู้พระทัย เจ้านางสาวรับมายกขึ้นเสวยทั้งกระติกจนหายจากอาการสำลัก เมื่อลดหัตถ์ที่ถือกระติกน้ำลงก็เห็นสายตาห่วงใยของบ่าวคู่พระทัยจ้องตาแป๋วอยู่ จึงแย้มสรวลให้
“ขอบใจพี่มาก นอกจากเจ้าพ่อเจ้าแม่และชายน้อยแล้วก็มีพี่บัวตองนี่แหละที่รักข้าจริง คอยดูแลทุกข์สุขอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้นข้าทำไม่ดี ถึงกับสั่งเฆี่ยนตี พี่ก็หาโกรธไม่” รับสั่งนั้นกลั่นกรองออกมาจากน้ำใสใจจริง บ่าวหญิงจึงสัมผัสได้ นางซาบซึ้งถึงกับน้ำตาคลอ
“ที่จริงข้าเจ้าเหมือนตายไปแล้ว เพราะมีเจ้านางช่วยเอาไว้ดอกถึงยังชีวิตอยู่ ชีวิตของข้าเจ้าจึงถวายให้ท่านนานแล้ว”
    เจ้านางคำหยาดฟ้ามองใบหน้าแสนซื่อของนางบ่าวประจำพระองค์อย่างชั่งพระทัยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงล้วงเอาห่อโอสถขนานวิเศษออกมาจากชายพกของชุดทรงอีกครั้ง
“ถ้าแม้นเราสองคนมีหนี้ชีวิตต่อกันจริงอย่างคำพี่ก็ คงเป็นเพราะสร้างเวรสร้างกรรมมาด้วยกัน เช่นนั้นเราก็สมควรอยู่ด้วยกันตลอดไป พี่จงรับเอายาเม็ดนี้กินเข้าไปเถิด”บ่าวบัวตองรับเอายาเม็ดสีเงินนั้นมาดูด้วยความแคลงใจ แล้วแหงนหน้าทูลถามอย่างสงสัย
“มันเป็นเม็ดยาดอกรึจ้าว สีของมันประหลาดนัก แต่บ่าวมิได้เจ็บป่วยนี่ ยานี้ใช้รักษาอันใดฤา”
           สรวลอ่อนโยนปรากฏบนวงพักตร์ ยามใดที่ได้อยู่กับนางบ่าวคนสนิทมักรู้สึกสบายพระทัย ด้วยมิต้องเสแสร้งแต่งทำจริยาใด ๆ พระนางสามารถสรวลได้กว้างเต็มที่ จะกรรแสงระบายความเจ็บปวดในหฤทัยเท่าใดก็ได้ แม้แต่โกรธขึ้งเพราะหึงหวงเจ้าชายหนุ่มผู้มีเจ้าของก็มิต้องปกปิด บัวตองล้วนเข้าใจได้แจ่มแจ้ง นางบ่าวกล้าทำทุกอย่างเพื่อเจ้านายตนด้วยความภักดีแม้ต้องโดนหวายลงหลัง เช่นนี้แล้ว บัวตองจึงคู่ควรกับยาเม็ดนี้ยิ่งกว่าผู้ใด
“กินมันเข้าไปเถอะ รับรองว่ามันมิใช่ยาพิษเพื่อทำร้ายเจ้า”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่