....สาปแล้วไม่ขอรักใคร
ให้ชอกช้ำใจเราอีก
เสน่หาเกี่ยวใจไหวระริก
ร่ำไห้กระซิก แดเดียว....
สิ่งที่ตรัสว่าจะต้องจัดการ ยังรวมไปถึงจัดการกับบ่าวหญิงตัวดีผู้บังอาจแข็งข้อกล้าขัดคำสั่ง ลักลอบเปลี่ยนน้ำยาสมุนไพรที่หมายใจให้ชายาเจ้าพี่พรหมภูมินทร์เสวยเพื่อจุดประสงค์แยบคายของพระนางอีกด้วย
ในตำหนักที่ประทับของพระธิดาคำหยาดฟ้า นางบ่าวคนสนิทหมอบนิ่งก้มหน้างุดอยู่กับพื้นต่อเบื้องพระพักตร์ของนายหญิงที่บัดนี้พิโรธหนัก สายพระเนตรดุดันที่จ้องมายังร่างของบ่าวคู่พระทัยนั้น ดังอยากฉีกร่างนางเป็นชิ้น ๆ
“เห็นข้าเมตตาก็กระทำการเหิมเกริม ถึงกับกล้าขัดคำสั่งข้าเชียวรึ นังบ่าวทรยศ”
เสียงห้วนของนายสาวทำให้หยาดน้ำใสร่วงพรูลงอาบแก้มบ่าวบัวตองทันที ด้วยมิเคยได้ยินถ้อยคำระคายหูเยี่ยงนี้จากเจ้านางสุดรักสุดบูชามาก่อน แต่กิริยานั้นกลับเหมือนเอาน้ำมันราดลงบนกองเพลิง น้ำเสียงก่นด่ายิ่งเกรี้ยวกราด
“สำออยนัก มานั่งน้ำหูน้ำตาไหล เจ้าทำเยี่ยงนี้เท่ากับหักหลังข้า เสียแรงที่ไว้ใจให้ติดตามใกล้ชิด มีอันใดก็บอกเล่าจนหมดสิ้น คราวนี้ข้าได้รู้น้ำใจเสียทีว่าที่แล้ว มาเจ้าแสร้งแสดงว่ารักข้า แท้จริงใจเจ้าภักดีต่อเจ้าม่านมณีและสวามีของนางต่างหาก”
คำกล่าวหานั้นรุนแรงเกินจะรับได้ บัวตองเงยหน้าขึ้นมองเจ้านางของเธอ ดวงตาที่มีน้ำใสไหลพราก ๆ ส่อแววตัดพ้อน้อยใจ
“หา มิได้ทูนหัวของบ่าว...จะด่าว่าเฆี่ยนตี แล่เนื้อเถือหนังอันใดบ่าวก็ได้ เพราะชีวิตของข้าเจ้าเป็นของพระองค์มานานแล้ว แต่อย่าได้ด่าว่าข้าเจ้าเยี่ยงนี้เลย บ่าวรักและภักดีต่อเจ้านางของบ่าวเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“ยังมีหน้ามาเถียงอีก”
ร่างงามที่ดำเนินไปมาด้วยความหงุดหงิด ปราดเข้าเอาดรรชนีจิ้มหน้าผากบ่าวสาวจนหน้าหงาย
“รักข้าจึงหักหลังข้าโดยการเปลี่ยนยาหม้อใหม่ให้เจ้าม่านมณีกินเช่นนั้นรึ นางบ่าวสิ้นคิด”
บัวตองหงายหลังก้นจ้ำเบ้ารีบลุกขึ้นคลานเข้ามากอดพระเพลาเอาไว้ ใบหน้าเปื้อนหยาดน้ำตาแหงนเงยขึ้นอ้อนวอน
“
สิ่งที่ข้าเจ้าทำลงไปเป็นเพราะหวังดีและเป็นห่วงเจ้านางของข้าเจ้าโดยสัตย์จริง ยามนี้มิมีทางที่เจ้าพรหมภูมินทร์จะหวนคืนไปเมืองห้วยยางลายได้อีกแล้ว เพราะบ้านเมืองนั้นเต็มไปด้วยพวกม่าน เจ้าม่านมณีเองก็มิได้มีท่าทีรบเร้าสวามี ยาว่านลืมคิงจึงไม่มีความจำเป็นต้องให้พระนางเสวยอีก เมื่อพระชายาสดชื่นแจ่มใส เจ้าพรหมภูมินทร์ก็จะสุขพระทัยนะจ้าว”
“แล้วข้าล่ะ” ทรงตบอุระผาง “เจ้าอยากให้พวกเขามีความสุข แต่ทิ้งให้ข้าต้องทนทุกข์อยู่แบบนี้เช่นนั้นรึ”
พักตร์งามยามนี้ถทึงน่ากลัว ถ้อยคำที่ปลดปล่อยออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจทำให้นางบ่าวสะอึกอึ้ง ก้มหน้าลงกราบทูลเบา ๆ
“ข้าเจ้านึกว่าเมื่อเรารักผู้ใด หากได้เห็นเขามีความสุข เราก็จะพลอยมีความสุขไปด้วยเสียอีก”
“บังอาจมาสอนข้าเชียวรึ นางบ่าวหน้าโง่”
คำพูดซื่อ ๆ ของบ่าวหญิงช่างจี้ใจดำนัก เจ็บแปลบอกซ้ายดั่งถูกเหล็กแหลมทิ่มแทงทะลุจนถึงดวงใจ คำพูดของนางบ่าวคนซื่อเป็นจริงเกินไป จริงเสียจนไม่อาจรับได้ นางพูดราวรู้ความในพระทัยว่า เมื่อมิได้สมปรารถนาผู้อื่นก็อย่าหวังจะได้ครอบครอง บัดนั้นความอับอายกลายเป็นความโกรธเกรี้ยวอย่างไร้เหตุผล พระธิดาตวาดด่าทอนางบ่าวเสียงดังแล้วยังไม่พอ ทรงหันไปทางทวารห้อง ตะโกนก้องเรียกหานายทหารมหาดเล็ก
“ทหาร..ใครอยู่ข้างนอกนั่น เข้ามาลากนางทาสคนนี้ไปลงโทษ เอาหวายลงหลังมันยี่สิบทีบัดเดี๋ยวนี้ โทษฐานที่มันบังอาจขัดคำสั่งข้า!”
อนิจจา...ชะตากรรมของคนเป็นบ่าวไพร่และข้าทาสบริวารของบรรดาเจ้าขุนมูลนาย...แม้นฝีปากดีประจบประแจงเก่ง ทำนอง “นายว่าขี้ข้าพลอย” ก็มักได้ดิบได้ดีเพราะถูกใจนาย แต่หากบังอาจขอมีปากมีเสียง “ตีตนเสมอท่าน” แล้วทำให้ขัดใจนายก็เสี่ยงต่อการถูกหวายลงหลังเยี่ยงนี้แล....
ด้านหลังหอหลวงเยื้องไปทางหน้าประตูคุกใช้เป็นสถานที่ลงทัณฑ์และประจานบ่าวไพร่ต้องอาญา ยามนี้มีร่างของนางกำนัลบัวตองถูกผูกโยงเข้ากับขื่อบังคับให้ยืดยืนขึ้น สภาพน่าเวทนานัก หลังและไหล่ของบ่าวเคราะห์ร้ายเต็มไปด้วยรอยเนื้อแตกยับจากคมหวายเป็นริ้ว ๆ เลือด สด ๆ หลั่งไหลท่วมแผ่นหลัง ผมเผ้าที่เคยรัดเกล้าเอาไว้ถูกปล่อยให้ยุ่งเป็นกระเซิงคลุมหน้าตาเปื้อนมอมแมม เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่หลุดลุ่ย เจ็บปวดจนสติแทบไม่มีเหลืออยู่
ร่างนางบ่าวผู้น่าสงสารถูกตรึงด้วยเชือกเส้นใหญ่ยืนซวนเซไปมา บ่าวหญิงร่างยักษ์อีกคนซึ่งทำหน้าที่โบยตีนักโทษ กำลังฟาดหวายลงบนหลังบอบบางเสียงดังขวับ ๆ อย่างน่ากลัวจนครบยี่สิบที ท่ามกลางบ่าวชายหญิงมากหลายที่ยืนมุงดู บ้างก็ทำหน้าสยดสยอง บ้างก็มีสีหน้าสะใจที่เห็นบ่าวคนสนิทถูกเจ้านายลงอาญา
คำแปงเฝ้ามองสหายต่างวัยของตนโดนลงทัณฑ์อยู่ในกลุ่มบ่าวไพร่ซึ่งยืนราย รอบ หญิงรับใช้ประจำกายของเจ้านางม่านมณีถึงกับหลั่งน้ำตานองหน้าเพราะความสงสารในชะตากรรมของบัวตอง เมื่อสุดทนเห็นภาพนั้นได้จึงตัดสินใจวิ่งเตลิดมายังห้องประทับของพระธิดาผู้ออกคำสั่งลงโทษ
ในห้องบรรทม เจ้านางสาวประทับนั่งนิ่งขึงอยู่บนตั่งไม้สักทอง พระกายหยัดตรงเนตรสองข้างยังวาวด้วยโทสะ บ่าวคำแปงวิ่งถลาเข้ามากอดพระเพลาพลางร่ำไห้วิงวอน
“ทูนหัวของบ่าว แม้นพี่บัวตองได้ทำสิ่งใดผิดพลาดลงไป ขอมีพระเมตตาได้โปรดลดหย่อนโทษแก่พี่นางของข้าน้อยด้วยเถิด”
ร่างนางบ่าวของเจ้านางม่านมณีซบอยู่ตรงข้อพระบาท ใบหน้าเปื้อนน้ำตาแหงนเงยขึ้นอ้อนวอนเสียงสั่นเครือ เจ้านางคำหยาดฟ้าที่ยังพิโรธสะบัดข้อพระบาทให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ถูกนางกำนัลคำแปงยุดไว้มั่น
“อย่ามาขอร้องข้า นี่เป็นการสั่งสอนนางคนสามหาวที่บังอาจขัดคำสั่งแถมยังกล้าดีทำตีฝีปากกับข้า ให้มัดมันห้อยโยงเอาไว้อย่างนั้น ต่อพรุ่งนี้ค่อยโบยมันอีกจนกว่ามันจะรู้สำนึก”
“ได้โปรดฟังบ่าวสักนิด พี่บัวตองจงรักภักดีต่อท่านเสมอมาจนแม้ชีวิตก็อุทิศให้ได้ เรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิด นางไม่มีวันกล้าทำสิ่งอันเป็นโทษต่อเจ้านาง หากนางกล้าขัดพระประสงค์ต้องเป็นเพราะความซื่อ อยากให้ท่านอยู่ดีสุขแน่ ๆหาใช่มุ่งร้ายหมายขวัญต่อท่าน ขอให้เห็นแก่ความดีข้อนี้ของนางด้วยเถิด”
หากจะโดนลงทัณฑ์ไปด้วยก็ยอมสิ้น นางกำนัลคำแปงพยายามพร่ำวอน
“นึกถึงกาลก่อน ข้าเจ้าถูกพระมารดาอุษาประไพและโอรสของนางข่มเหงกระทำการทารุณ ท่านยังเคยตรัสว่า เจ้าชายมหาคำคืนใจร้ายนัก กระทำกับบ่าวไพร่เยี่ยงมิใช่มนุษย์ ครั้งนี้ก็ขอพระเมตตาอย่าลงโทษจนไร้ความปรานี ได้โปรดลดโทษ ปล่อยพี่บัวตองลงมาใส่ยาเถิด เจ้านางทูนหัวของบ่าว”
ขณะนั้นเอง เจ้าชายพรหมภูมินทร์และหนานอินเฟือนต่างเร่งรุดตามเข้ามาสมทบในห้องที่ประทับของพระธิดาคำหยาดฟ้า เพราะได้ยินข่าวการลงทัณฑ์บ่าวบัวตองที่ลือสะพัดไปทั่วหอหลวง
“บัวตองทำอะไรผิดพลาดร้ายแรงจนเจ้าน้องโกรธเอาถึงเพียงนี้ ตลอดมาอ้ายเห็นแต่นางเฝ้ารับใช้ด้วยความจงรักภักดีมิใช่รึ”
สองชายเข้ามาพบภาพคำแปงกำลังกอดพระเพลาอ้อนวอนเจ้านายอยู่ก็รู้สึกสลด เจ้าชายพรหมภูมินทร์ตรัสถามขึ้น
“มันโกหกและละเว้นคำสั่งของข้าเจ้า บังอาจถือตัวว่าเป็นคนสนิทถึงกับทำตามอำเภอใจ”
“ถ้าหากเป็นเพราะเรื่องเมื่อเช้านี้ ก็ขอให้เห็นแก่อ้ายสักครั้ง อ้ายขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่บัวตองด้วยเถิด”
พระดำรัสเสียงเข้มนั้นจริงจังจนทำให้พระธิดาคำหยาดฟ้าที่นั่งทำลำศอแข็งพระพักตร์ตึงค่อยได้คิด ชายคนรักมีน้ำพระทัยเอื้ออารีต่อบ่าวไพร่เสมอมา หากใจร้ายเกินไปเขาอาจพาลเกลียดชังเอาได้ ดำริเช่นนั้นแล้วจึงทอดถอนพระทัยยาว
“น้อง ก็มิใคร่ทำโทษมันดอก แต่หากความนี้แพร่สะพัดออกไปว่า นางบ่าวของข้าเจ้าถึงกับกล้าปด บังอาจทำการซึ่งมิได้รับอนุญาตแล้วน้องกลับปล่อยปละละเลยมิทำการใดลงไป เช่นนี้แล้วย่อมโดนครหาว่าอ่อนแอไม่เด็ดขาด กาลข้างหน้าจะไร้สิ้นคนยำเกรง”
เจ้าชายหนุ่มฟังเหตุผลของพระนางแล้วให้อดสูพระทัย ด้วยสำหรับพระองค์เห็นว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ จึงยังมีดำรัสหนัก ๆ กลับมา
“เรื่องนั้นก็จริงอยู่ แต่บัดนี้น้องได้ลงโทษนางอย่างสาสมแล้ว อ้ายเห็นสมควรแก่โทษแห่งนาง หากกระทำการมากไปกว่านี้มันจะไม่งาม เจ้าน้องก็ปล่อยนางลงมาเถอะ”
ถ้อยคำคล้ายตำหนิของบุรุษรูปงามทำให้หวั่นเกรงจะถูกเกลียดชัง อีกทั้งได้ลงโทษนางบ้างแล้วต่อไปนางคงเข็ดหลาบ เมื่อใคร่ครวญดูก็เห็นว่าหากยังดึงดันมีแต่ข้อเสียมากกว่าข้อดี ดังนั้นแม้ยังไม่สาสมแก่โทษแต่ต้องจำใจมีรับสั่งให้ปลดร่างนางบ่าวลงมา
ในที่สุดร่างแบบบางของบัวตองก็ถูกปลดออกจากการจองจำกับขื่อคา และถูกคำแปงกับหนานอินเฟือนพยุงมานอนพักในห้องพักของคนทั้งคู่ หนานหนุ่มมองร่างยับเยินของบ่าวสาวด้วยความเวทนา โธ่เอ๋ย...นางหญิงคนนี้ช่างน่าสงสาร หนานหนุ่มยังจำได้ดีเมื่อแรกรู้จักกัน บัวตองก็มีสภาพยับเยินเช่นนี้
วันนั้นองครักษ์อินเฟือนติดตามไปอารักขาพระธิดาองค์โตของเจ้าฟ้าหอคำที่มีพระชันษาได้สิบห้าปี ถึงแม้เป็นหญิงแต่ทรงซุกซนแก่นแก้วยิ่งนัก พระนางมักขี่ม้าข้ามจากเมืองเวียงแถนไปยังเมืองซอแต๊ก เพื่อไปฝึกพูดฝรั่งและหัดทำกระยาหารคาวหวานแปลก ๆ กับพระมเหสีเอมา
ระหว่างทางก่อนถึงเมืองซอแต๊ก มีบ้านน้อยหลังหนึ่งปลูกอยู่ชานเมืองติดกับราวป่า ในบ้านมีพ่อแม่กับลูกสาวหน้าตาหมดจดคนหนึ่งซึ่งมีอายุแก่กว่าพระธิดาคำหยาดฟ้าประมาณห้าปีอาศัยอยู่ ผู้เป็นพ่อชื่อแสนคำ แม่ชื่อแก้วดา ส่วนลูกสาวชื่อบัวตอง
พระธิดาเมืองเวียงแถนกับนายทหารองครักษ์แต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดา และแวะพักม้าให้กินน้ำกินหญ้าที่นี่ โดยสามีภรรยาผู้อารีมักนำขนมและน้ำดื่มมาแบ่งปันสองนายบ่าวเป็นประจำ ลูกสาวของทั้งคนทั้งคู่มีอัธยาศัยดี สนิทสนมกับพระธิดาคำหยาดฟ้าจนพระนางเรียกชื่อเธอว่า “พี่บัวตอง”
จนวันหนึ่ง เมื่อท่านแม่ทัพกับเจ้านางสาวขี่ม้ามาถึงบ้านน้อยชายป่าเหมือนทุกครั้ง แต่คราวนี้กลับพบเพียงซากบ้านที่พึ่งถูกเพลิงเผาไหม้วอดวายทั้งหลัง ซึ่งยังปรากฏควันไฟลอยกรุ่นอยู่ และพบร่างของสองผัวเมียบ้านป่านอนสิ้นใจจากคมดาบอยู่ในซากกองเพลิงแต่ไม่พบตัวลูกสาว
หนานอินเฟือนและเจ้านางคำหยาดฟ้าตระหนักชัดว่าเกิดเหตุร้ายกับครอบครัวนี้แน่ สองนายบ่าวจึงชวนกันชักม้าออกตามหาหญิงสาวเนื่องจากเข้าใจว่านางยังไม่ตาย เมื่อขี่ม้ามาถึงบริเวณราวป่าไม่ห่างจากบ้านที่ถูกเผาทำลาย ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย แม่ทัพเมืองเวียงแถนกระชับดาบในมือมั่น ดึงบังเหียนม้าให้บ่ายหน้าไปทางต้นเสียงทันที ส่วนเจ้านางสาวก็ควบม้าตามมาติด ๆ เมื่อมาถึง ภาพที่ปรากฏต่อหน้าก็คือ กลุ่มชายฉกรรจ์ที่แต่งกายคล้ายทหารพม่าราวเจ็ดถึงแปดคน กำลังกลุ้มรุมกันทำอนาจารกับร่างของหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งอยู่บนพื้นหญ้าหลังพุ่มไม้ใบหนา
เจ้านางคำหยาดฟ้าชักลูกธนูออกมาพาดสาย เล็งไปยังร่างชายผู้คร่อมอยู่บนร่างของหญิงผู้นั้น ลูกธนูพุ่งออกจากแหล่งแหวกอากาศ ปักฉึกเข้ากลางหลังมันอย่างแม่นยำ ร่างชายชั่วสะอึกขึ้นทั้งตัวก่อนล้มทับลงบนร่างสาวน้อยนางนั้น พวกทรชนที่รายล้อมร่างเธออยู่ต่างตื่นตกใจ แต่มิมีใครได้ทันจับอาวุธขึ้นมาป้องกันตัว เพราะต่างกำลังสนใจจับจ้องไปที่ร่างเปลือยของสาวงาม พวกมันจึงถูกแม่ทัพอินเฟือนที่ควบม้ารี่เข้าใส่ ดาบในมือถูกเงื้อขึ้นสูงแล้วตวัดฟันใส่ทั้งซ้ายขวา คมดาบกระทบร่างคนกลุ่มนั้นอย่างจัง บ้างก็หัวขาด บ้างก็แขนขาขาดกระเด็น ที่เหลือรีบผลุนผลันลุกขึ้นวิ่งหลบหนี แต่พอวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกคมลูกธนูของเจ้านางคำหยาดฟ้าพุ่งเข้าปักร่าง จนพวกมันล้มตายลงกลาดเกลื่อน ไม่เหลือรอดไปแม้แต่คนเดียว
องครักษ์อินเฟือนลงจากหลังม้าตรงมายังร่างของหญิงสาวที่หวีดร้องกรี๊ด ๆ ผลักไสร่างทหารพม่าหนีทัพไร้วิญญาณซึ่งฟุบทับร่างนางอยู่ให้ออกห่าง แม่ทัพหนุ่มถอดเสื้อของเขาออก คลี่โปะคลุมร่างเปลือยเปล่าให้หญิงสาวซึ่งอยู่ในอาการเหมือนคนสติแตก ดวงตานางเบิกโพลงและเอาแต่กรีดร้อง พยายามกระ
กระสนถอยหนีชายที่ย่างก้าวเข้ามาหา เจ้านางสาวลงจากหลังม้าตามมา พระนางตรงเข้าแตะหลังหนานหนุ่มให้ถอยห่าง แล้วเข้าไปคุกชานุลงใกล้ ๆ ค่อย ๆ เอื้อมหัตถ์ไปหาจนกระทั่งแตะตัวหญิงสาวโชคร้ายได้ ทรงประสานสายตากับนางแล้วตรัสอ่อนโยนว่า
สาปเสน่หา(ตอนพิเศษ...อีกแล้ว)
ให้ชอกช้ำใจเราอีก
เสน่หาเกี่ยวใจไหวระริก
ร่ำไห้กระซิก แดเดียว....
สิ่งที่ตรัสว่าจะต้องจัดการ ยังรวมไปถึงจัดการกับบ่าวหญิงตัวดีผู้บังอาจแข็งข้อกล้าขัดคำสั่ง ลักลอบเปลี่ยนน้ำยาสมุนไพรที่หมายใจให้ชายาเจ้าพี่พรหมภูมินทร์เสวยเพื่อจุดประสงค์แยบคายของพระนางอีกด้วย
ในตำหนักที่ประทับของพระธิดาคำหยาดฟ้า นางบ่าวคนสนิทหมอบนิ่งก้มหน้างุดอยู่กับพื้นต่อเบื้องพระพักตร์ของนายหญิงที่บัดนี้พิโรธหนัก สายพระเนตรดุดันที่จ้องมายังร่างของบ่าวคู่พระทัยนั้น ดังอยากฉีกร่างนางเป็นชิ้น ๆ
“เห็นข้าเมตตาก็กระทำการเหิมเกริม ถึงกับกล้าขัดคำสั่งข้าเชียวรึ นังบ่าวทรยศ”
เสียงห้วนของนายสาวทำให้หยาดน้ำใสร่วงพรูลงอาบแก้มบ่าวบัวตองทันที ด้วยมิเคยได้ยินถ้อยคำระคายหูเยี่ยงนี้จากเจ้านางสุดรักสุดบูชามาก่อน แต่กิริยานั้นกลับเหมือนเอาน้ำมันราดลงบนกองเพลิง น้ำเสียงก่นด่ายิ่งเกรี้ยวกราด
“สำออยนัก มานั่งน้ำหูน้ำตาไหล เจ้าทำเยี่ยงนี้เท่ากับหักหลังข้า เสียแรงที่ไว้ใจให้ติดตามใกล้ชิด มีอันใดก็บอกเล่าจนหมดสิ้น คราวนี้ข้าได้รู้น้ำใจเสียทีว่าที่แล้ว มาเจ้าแสร้งแสดงว่ารักข้า แท้จริงใจเจ้าภักดีต่อเจ้าม่านมณีและสวามีของนางต่างหาก”
คำกล่าวหานั้นรุนแรงเกินจะรับได้ บัวตองเงยหน้าขึ้นมองเจ้านางของเธอ ดวงตาที่มีน้ำใสไหลพราก ๆ ส่อแววตัดพ้อน้อยใจ
“หา มิได้ทูนหัวของบ่าว...จะด่าว่าเฆี่ยนตี แล่เนื้อเถือหนังอันใดบ่าวก็ได้ เพราะชีวิตของข้าเจ้าเป็นของพระองค์มานานแล้ว แต่อย่าได้ด่าว่าข้าเจ้าเยี่ยงนี้เลย บ่าวรักและภักดีต่อเจ้านางของบ่าวเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“ยังมีหน้ามาเถียงอีก”
ร่างงามที่ดำเนินไปมาด้วยความหงุดหงิด ปราดเข้าเอาดรรชนีจิ้มหน้าผากบ่าวสาวจนหน้าหงาย
“รักข้าจึงหักหลังข้าโดยการเปลี่ยนยาหม้อใหม่ให้เจ้าม่านมณีกินเช่นนั้นรึ นางบ่าวสิ้นคิด”
บัวตองหงายหลังก้นจ้ำเบ้ารีบลุกขึ้นคลานเข้ามากอดพระเพลาเอาไว้ ใบหน้าเปื้อนหยาดน้ำตาแหงนเงยขึ้นอ้อนวอน
“สิ่งที่ข้าเจ้าทำลงไปเป็นเพราะหวังดีและเป็นห่วงเจ้านางของข้าเจ้าโดยสัตย์จริง ยามนี้มิมีทางที่เจ้าพรหมภูมินทร์จะหวนคืนไปเมืองห้วยยางลายได้อีกแล้ว เพราะบ้านเมืองนั้นเต็มไปด้วยพวกม่าน เจ้าม่านมณีเองก็มิได้มีท่าทีรบเร้าสวามี ยาว่านลืมคิงจึงไม่มีความจำเป็นต้องให้พระนางเสวยอีก เมื่อพระชายาสดชื่นแจ่มใส เจ้าพรหมภูมินทร์ก็จะสุขพระทัยนะจ้าว”
“แล้วข้าล่ะ” ทรงตบอุระผาง “เจ้าอยากให้พวกเขามีความสุข แต่ทิ้งให้ข้าต้องทนทุกข์อยู่แบบนี้เช่นนั้นรึ”
พักตร์งามยามนี้ถทึงน่ากลัว ถ้อยคำที่ปลดปล่อยออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจทำให้นางบ่าวสะอึกอึ้ง ก้มหน้าลงกราบทูลเบา ๆ
“ข้าเจ้านึกว่าเมื่อเรารักผู้ใด หากได้เห็นเขามีความสุข เราก็จะพลอยมีความสุขไปด้วยเสียอีก”
“บังอาจมาสอนข้าเชียวรึ นางบ่าวหน้าโง่”
คำพูดซื่อ ๆ ของบ่าวหญิงช่างจี้ใจดำนัก เจ็บแปลบอกซ้ายดั่งถูกเหล็กแหลมทิ่มแทงทะลุจนถึงดวงใจ คำพูดของนางบ่าวคนซื่อเป็นจริงเกินไป จริงเสียจนไม่อาจรับได้ นางพูดราวรู้ความในพระทัยว่า เมื่อมิได้สมปรารถนาผู้อื่นก็อย่าหวังจะได้ครอบครอง บัดนั้นความอับอายกลายเป็นความโกรธเกรี้ยวอย่างไร้เหตุผล พระธิดาตวาดด่าทอนางบ่าวเสียงดังแล้วยังไม่พอ ทรงหันไปทางทวารห้อง ตะโกนก้องเรียกหานายทหารมหาดเล็ก
“ทหาร..ใครอยู่ข้างนอกนั่น เข้ามาลากนางทาสคนนี้ไปลงโทษ เอาหวายลงหลังมันยี่สิบทีบัดเดี๋ยวนี้ โทษฐานที่มันบังอาจขัดคำสั่งข้า!”
อนิจจา...ชะตากรรมของคนเป็นบ่าวไพร่และข้าทาสบริวารของบรรดาเจ้าขุนมูลนาย...แม้นฝีปากดีประจบประแจงเก่ง ทำนอง “นายว่าขี้ข้าพลอย” ก็มักได้ดิบได้ดีเพราะถูกใจนาย แต่หากบังอาจขอมีปากมีเสียง “ตีตนเสมอท่าน” แล้วทำให้ขัดใจนายก็เสี่ยงต่อการถูกหวายลงหลังเยี่ยงนี้แล....
ด้านหลังหอหลวงเยื้องไปทางหน้าประตูคุกใช้เป็นสถานที่ลงทัณฑ์และประจานบ่าวไพร่ต้องอาญา ยามนี้มีร่างของนางกำนัลบัวตองถูกผูกโยงเข้ากับขื่อบังคับให้ยืดยืนขึ้น สภาพน่าเวทนานัก หลังและไหล่ของบ่าวเคราะห์ร้ายเต็มไปด้วยรอยเนื้อแตกยับจากคมหวายเป็นริ้ว ๆ เลือด สด ๆ หลั่งไหลท่วมแผ่นหลัง ผมเผ้าที่เคยรัดเกล้าเอาไว้ถูกปล่อยให้ยุ่งเป็นกระเซิงคลุมหน้าตาเปื้อนมอมแมม เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่หลุดลุ่ย เจ็บปวดจนสติแทบไม่มีเหลืออยู่
ร่างนางบ่าวผู้น่าสงสารถูกตรึงด้วยเชือกเส้นใหญ่ยืนซวนเซไปมา บ่าวหญิงร่างยักษ์อีกคนซึ่งทำหน้าที่โบยตีนักโทษ กำลังฟาดหวายลงบนหลังบอบบางเสียงดังขวับ ๆ อย่างน่ากลัวจนครบยี่สิบที ท่ามกลางบ่าวชายหญิงมากหลายที่ยืนมุงดู บ้างก็ทำหน้าสยดสยอง บ้างก็มีสีหน้าสะใจที่เห็นบ่าวคนสนิทถูกเจ้านายลงอาญา
คำแปงเฝ้ามองสหายต่างวัยของตนโดนลงทัณฑ์อยู่ในกลุ่มบ่าวไพร่ซึ่งยืนราย รอบ หญิงรับใช้ประจำกายของเจ้านางม่านมณีถึงกับหลั่งน้ำตานองหน้าเพราะความสงสารในชะตากรรมของบัวตอง เมื่อสุดทนเห็นภาพนั้นได้จึงตัดสินใจวิ่งเตลิดมายังห้องประทับของพระธิดาผู้ออกคำสั่งลงโทษ
ในห้องบรรทม เจ้านางสาวประทับนั่งนิ่งขึงอยู่บนตั่งไม้สักทอง พระกายหยัดตรงเนตรสองข้างยังวาวด้วยโทสะ บ่าวคำแปงวิ่งถลาเข้ามากอดพระเพลาพลางร่ำไห้วิงวอน
“ทูนหัวของบ่าว แม้นพี่บัวตองได้ทำสิ่งใดผิดพลาดลงไป ขอมีพระเมตตาได้โปรดลดหย่อนโทษแก่พี่นางของข้าน้อยด้วยเถิด”
ร่างนางบ่าวของเจ้านางม่านมณีซบอยู่ตรงข้อพระบาท ใบหน้าเปื้อนน้ำตาแหงนเงยขึ้นอ้อนวอนเสียงสั่นเครือ เจ้านางคำหยาดฟ้าที่ยังพิโรธสะบัดข้อพระบาทให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ถูกนางกำนัลคำแปงยุดไว้มั่น
“อย่ามาขอร้องข้า นี่เป็นการสั่งสอนนางคนสามหาวที่บังอาจขัดคำสั่งแถมยังกล้าดีทำตีฝีปากกับข้า ให้มัดมันห้อยโยงเอาไว้อย่างนั้น ต่อพรุ่งนี้ค่อยโบยมันอีกจนกว่ามันจะรู้สำนึก”
“ได้โปรดฟังบ่าวสักนิด พี่บัวตองจงรักภักดีต่อท่านเสมอมาจนแม้ชีวิตก็อุทิศให้ได้ เรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิด นางไม่มีวันกล้าทำสิ่งอันเป็นโทษต่อเจ้านาง หากนางกล้าขัดพระประสงค์ต้องเป็นเพราะความซื่อ อยากให้ท่านอยู่ดีสุขแน่ ๆหาใช่มุ่งร้ายหมายขวัญต่อท่าน ขอให้เห็นแก่ความดีข้อนี้ของนางด้วยเถิด”
หากจะโดนลงทัณฑ์ไปด้วยก็ยอมสิ้น นางกำนัลคำแปงพยายามพร่ำวอน
“นึกถึงกาลก่อน ข้าเจ้าถูกพระมารดาอุษาประไพและโอรสของนางข่มเหงกระทำการทารุณ ท่านยังเคยตรัสว่า เจ้าชายมหาคำคืนใจร้ายนัก กระทำกับบ่าวไพร่เยี่ยงมิใช่มนุษย์ ครั้งนี้ก็ขอพระเมตตาอย่าลงโทษจนไร้ความปรานี ได้โปรดลดโทษ ปล่อยพี่บัวตองลงมาใส่ยาเถิด เจ้านางทูนหัวของบ่าว”
ขณะนั้นเอง เจ้าชายพรหมภูมินทร์และหนานอินเฟือนต่างเร่งรุดตามเข้ามาสมทบในห้องที่ประทับของพระธิดาคำหยาดฟ้า เพราะได้ยินข่าวการลงทัณฑ์บ่าวบัวตองที่ลือสะพัดไปทั่วหอหลวง
“บัวตองทำอะไรผิดพลาดร้ายแรงจนเจ้าน้องโกรธเอาถึงเพียงนี้ ตลอดมาอ้ายเห็นแต่นางเฝ้ารับใช้ด้วยความจงรักภักดีมิใช่รึ”
สองชายเข้ามาพบภาพคำแปงกำลังกอดพระเพลาอ้อนวอนเจ้านายอยู่ก็รู้สึกสลด เจ้าชายพรหมภูมินทร์ตรัสถามขึ้น
“มันโกหกและละเว้นคำสั่งของข้าเจ้า บังอาจถือตัวว่าเป็นคนสนิทถึงกับทำตามอำเภอใจ”
“ถ้าหากเป็นเพราะเรื่องเมื่อเช้านี้ ก็ขอให้เห็นแก่อ้ายสักครั้ง อ้ายขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่บัวตองด้วยเถิด”
พระดำรัสเสียงเข้มนั้นจริงจังจนทำให้พระธิดาคำหยาดฟ้าที่นั่งทำลำศอแข็งพระพักตร์ตึงค่อยได้คิด ชายคนรักมีน้ำพระทัยเอื้ออารีต่อบ่าวไพร่เสมอมา หากใจร้ายเกินไปเขาอาจพาลเกลียดชังเอาได้ ดำริเช่นนั้นแล้วจึงทอดถอนพระทัยยาว
“น้อง ก็มิใคร่ทำโทษมันดอก แต่หากความนี้แพร่สะพัดออกไปว่า นางบ่าวของข้าเจ้าถึงกับกล้าปด บังอาจทำการซึ่งมิได้รับอนุญาตแล้วน้องกลับปล่อยปละละเลยมิทำการใดลงไป เช่นนี้แล้วย่อมโดนครหาว่าอ่อนแอไม่เด็ดขาด กาลข้างหน้าจะไร้สิ้นคนยำเกรง”
เจ้าชายหนุ่มฟังเหตุผลของพระนางแล้วให้อดสูพระทัย ด้วยสำหรับพระองค์เห็นว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ จึงยังมีดำรัสหนัก ๆ กลับมา
“เรื่องนั้นก็จริงอยู่ แต่บัดนี้น้องได้ลงโทษนางอย่างสาสมแล้ว อ้ายเห็นสมควรแก่โทษแห่งนาง หากกระทำการมากไปกว่านี้มันจะไม่งาม เจ้าน้องก็ปล่อยนางลงมาเถอะ”
ถ้อยคำคล้ายตำหนิของบุรุษรูปงามทำให้หวั่นเกรงจะถูกเกลียดชัง อีกทั้งได้ลงโทษนางบ้างแล้วต่อไปนางคงเข็ดหลาบ เมื่อใคร่ครวญดูก็เห็นว่าหากยังดึงดันมีแต่ข้อเสียมากกว่าข้อดี ดังนั้นแม้ยังไม่สาสมแก่โทษแต่ต้องจำใจมีรับสั่งให้ปลดร่างนางบ่าวลงมา
ในที่สุดร่างแบบบางของบัวตองก็ถูกปลดออกจากการจองจำกับขื่อคา และถูกคำแปงกับหนานอินเฟือนพยุงมานอนพักในห้องพักของคนทั้งคู่ หนานหนุ่มมองร่างยับเยินของบ่าวสาวด้วยความเวทนา โธ่เอ๋ย...นางหญิงคนนี้ช่างน่าสงสาร หนานหนุ่มยังจำได้ดีเมื่อแรกรู้จักกัน บัวตองก็มีสภาพยับเยินเช่นนี้
วันนั้นองครักษ์อินเฟือนติดตามไปอารักขาพระธิดาองค์โตของเจ้าฟ้าหอคำที่มีพระชันษาได้สิบห้าปี ถึงแม้เป็นหญิงแต่ทรงซุกซนแก่นแก้วยิ่งนัก พระนางมักขี่ม้าข้ามจากเมืองเวียงแถนไปยังเมืองซอแต๊ก เพื่อไปฝึกพูดฝรั่งและหัดทำกระยาหารคาวหวานแปลก ๆ กับพระมเหสีเอมา
ระหว่างทางก่อนถึงเมืองซอแต๊ก มีบ้านน้อยหลังหนึ่งปลูกอยู่ชานเมืองติดกับราวป่า ในบ้านมีพ่อแม่กับลูกสาวหน้าตาหมดจดคนหนึ่งซึ่งมีอายุแก่กว่าพระธิดาคำหยาดฟ้าประมาณห้าปีอาศัยอยู่ ผู้เป็นพ่อชื่อแสนคำ แม่ชื่อแก้วดา ส่วนลูกสาวชื่อบัวตอง
พระธิดาเมืองเวียงแถนกับนายทหารองครักษ์แต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดา และแวะพักม้าให้กินน้ำกินหญ้าที่นี่ โดยสามีภรรยาผู้อารีมักนำขนมและน้ำดื่มมาแบ่งปันสองนายบ่าวเป็นประจำ ลูกสาวของทั้งคนทั้งคู่มีอัธยาศัยดี สนิทสนมกับพระธิดาคำหยาดฟ้าจนพระนางเรียกชื่อเธอว่า “พี่บัวตอง”
จนวันหนึ่ง เมื่อท่านแม่ทัพกับเจ้านางสาวขี่ม้ามาถึงบ้านน้อยชายป่าเหมือนทุกครั้ง แต่คราวนี้กลับพบเพียงซากบ้านที่พึ่งถูกเพลิงเผาไหม้วอดวายทั้งหลัง ซึ่งยังปรากฏควันไฟลอยกรุ่นอยู่ และพบร่างของสองผัวเมียบ้านป่านอนสิ้นใจจากคมดาบอยู่ในซากกองเพลิงแต่ไม่พบตัวลูกสาว
หนานอินเฟือนและเจ้านางคำหยาดฟ้าตระหนักชัดว่าเกิดเหตุร้ายกับครอบครัวนี้แน่ สองนายบ่าวจึงชวนกันชักม้าออกตามหาหญิงสาวเนื่องจากเข้าใจว่านางยังไม่ตาย เมื่อขี่ม้ามาถึงบริเวณราวป่าไม่ห่างจากบ้านที่ถูกเผาทำลาย ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย แม่ทัพเมืองเวียงแถนกระชับดาบในมือมั่น ดึงบังเหียนม้าให้บ่ายหน้าไปทางต้นเสียงทันที ส่วนเจ้านางสาวก็ควบม้าตามมาติด ๆ เมื่อมาถึง ภาพที่ปรากฏต่อหน้าก็คือ กลุ่มชายฉกรรจ์ที่แต่งกายคล้ายทหารพม่าราวเจ็ดถึงแปดคน กำลังกลุ้มรุมกันทำอนาจารกับร่างของหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งอยู่บนพื้นหญ้าหลังพุ่มไม้ใบหนา
เจ้านางคำหยาดฟ้าชักลูกธนูออกมาพาดสาย เล็งไปยังร่างชายผู้คร่อมอยู่บนร่างของหญิงผู้นั้น ลูกธนูพุ่งออกจากแหล่งแหวกอากาศ ปักฉึกเข้ากลางหลังมันอย่างแม่นยำ ร่างชายชั่วสะอึกขึ้นทั้งตัวก่อนล้มทับลงบนร่างสาวน้อยนางนั้น พวกทรชนที่รายล้อมร่างเธออยู่ต่างตื่นตกใจ แต่มิมีใครได้ทันจับอาวุธขึ้นมาป้องกันตัว เพราะต่างกำลังสนใจจับจ้องไปที่ร่างเปลือยของสาวงาม พวกมันจึงถูกแม่ทัพอินเฟือนที่ควบม้ารี่เข้าใส่ ดาบในมือถูกเงื้อขึ้นสูงแล้วตวัดฟันใส่ทั้งซ้ายขวา คมดาบกระทบร่างคนกลุ่มนั้นอย่างจัง บ้างก็หัวขาด บ้างก็แขนขาขาดกระเด็น ที่เหลือรีบผลุนผลันลุกขึ้นวิ่งหลบหนี แต่พอวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกคมลูกธนูของเจ้านางคำหยาดฟ้าพุ่งเข้าปักร่าง จนพวกมันล้มตายลงกลาดเกลื่อน ไม่เหลือรอดไปแม้แต่คนเดียว
องครักษ์อินเฟือนลงจากหลังม้าตรงมายังร่างของหญิงสาวที่หวีดร้องกรี๊ด ๆ ผลักไสร่างทหารพม่าหนีทัพไร้วิญญาณซึ่งฟุบทับร่างนางอยู่ให้ออกห่าง แม่ทัพหนุ่มถอดเสื้อของเขาออก คลี่โปะคลุมร่างเปลือยเปล่าให้หญิงสาวซึ่งอยู่ในอาการเหมือนคนสติแตก ดวงตานางเบิกโพลงและเอาแต่กรีดร้อง พยายามกระกระสนถอยหนีชายที่ย่างก้าวเข้ามาหา เจ้านางสาวลงจากหลังม้าตามมา พระนางตรงเข้าแตะหลังหนานหนุ่มให้ถอยห่าง แล้วเข้าไปคุกชานุลงใกล้ ๆ ค่อย ๆ เอื้อมหัตถ์ไปหาจนกระทั่งแตะตัวหญิงสาวโชคร้ายได้ ทรงประสานสายตากับนางแล้วตรัสอ่อนโยนว่า