เศรษฐีชตาตก (๓) ๒ ก.ย.๕๘

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

โลวจุนหงี.....เศรษฐีชตาตก

ตอนที่ ๓ ข้าเก่าเมียรัก

"เล่าเซี่ยงชุน"

โลวจุนหงีพักอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะได้ประมาณเดือนเศษ ก็ขอลากลับไปบ้าน ซ้องกั๋ง จึงเอาเสื้อกางเกงอาวุธคู่มือมาคืนให้ และมอบเงินทองให้อีกมาก แต่ท่านเศรษฐีรับเอาไว้พอซื้อเสบียงเวลาเดินทางเท่านั้น แล้วก็รีบเดินทางกลับไปบ้านที่เมืองปักเกีย

ก่อนจะเข้าเมืองก็พบเอียนเชง คนใช้ผู้สัตย์ซื่อวิ่งเข้ามาคุกเข่าคำนับแล้วก็ร้องไห้ โลวจุนหงีเห็นเอียนเชงแต่งตัวขมุกขมอมก็สงสัยถามว่าทำไมจึงนุ่งห่มอย่างนี้ เอียนเชงก็ชวนไปที่ลับ แล้วเล่าเรื่องให้ฟัง พอได้ความว่า

เมื่อลีกูกับพวกกลับมาถึงบ้าน ก็สมคบกับนางเกสีภรรยาของโลวจุนหงี ไปฟ้องร้องต่อเจ้าเมืองว่า โลวจุนหงีคิดกบฏและไปเข้าเป็นพวกโจรเขาเนียซัวเปาะไม่กลับมาแล้ว เจ้าเมืองมาดูหนังสือที่เขียนไว้บนฝาผนังก็เชื่อ

ลีกูกับนางเกสีเอาเงินทองให้เจ้าเมืองและกรมการเมืองเป็นอันมาก ให้คอยจับตัวโลวจุนหงี มาทำโทษเสียให้ตาย แล้วทั้งสองก็ครอบครองทรัพย์สมบัติของโลวจุนหงี อยู่กินกันโดยเปิดเผยเพราะได้รักใคร่ เป็นชู้กันมาช้านานแล้ว

ส่วนเอียนเชงนั้นถูกไล่ออกจากบ้านไม่มีที่อยู่อาศัย จะไปหากินที่อื่นก็คิดถึงบุญคุณของนาย ตั้งใจจะรอพบก่อน จึงต้องขอทานเลี้ยงชีวิตอยู่นอกเมือง

โลวจุนหงีไม่เชื่อ เอียนเชงจึงย้ำว่า

"...ตัวท่านนั้นชอบแต่ฝึกหัดเพลงอาวุธมิได้คิดถึงภรรยา ละเลยเสียไม่แผ้วพาน ภรรยาของท่านนั้นรักใคร่ได้เสียกับลีกูมาช้านาน บัดนี้เขาอยู่กินเป็นสามีภรรยากันแล้ว ถ้ากลับไปเขาคงคิดผลาญเอาชีวิตท่านแน่……"

โลวจุนหงีก็ด่าเอียนเชงแล้วว่า

".....เราอยู่ที่เมืองปักเกียมาถึงห้าชั่วคน ชาวเมืองย่อมรู้อยู่ทั้งสิ้น ลีกูนั้นมีสติปัญญาและฝีมือประการใด จึงคิดการสิ่งนี้ เราไม่เห็นด้วย หรือเจ้าทำความผิดเองดอกกระมัง เขาจึงขับไล่เสีย....."

พูดแล้วก็เดินหนีไป เอียนเชงก็ร้องไห้ลงกลิ้งเกลือกอยู่กับแผ่นดิน เมื่อเห็นโลวจุนหงีจะไปจริง ๆ จึงเข้ายึดชายเสื้อไว้ โลวจุนหงีกลับเอาเท้าถีบล้มลง แล้วก็รีบกลับไปบ้าน

เมื่อถึงบ้านทั้งลีกูและนางเกสีก็ต้อนรับเป็นอันดี แต่ยังไม่ได้เล่าเรื่องราวให้ฟัง พอโลวจุนหงีผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เจ้าเมืองซึ่งได้รับแจ้งข่าวจากบ่าวของลีกู ก็ให้เจ้าหน้าที่คุมทหารสามร้อยมาล้อมบ้าน และนายทหารฝีมือเข้มแข็งก็ถืออาวุธเข้าจับตัวโลวจุนหงี คุมไปที่ศาลาว่าการเมือง เนียตงซี

เจ้าเมืองก็ออกนั่งว่าราชการพร้อมด้วยขุนนาง ลีกูกับนางเกสีก็ตามไปอยู่ที่นั้นด้วย เจ้าเมืองถามโลวจุนหงีว่า

".....เจ้าเป็นเทือกเถาเหล่าเศรษฐีมั่งมีทรัพย์สิน ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเมืองปักเกียมาช้านาน เหตุใดจึงไปเข้าสามิภักดิ์กับพวกโจรเขาเนียซัวเปาะ กลับมาเป็นไส้ศึก คิดตีเอาเมืองปักเกียหรือ....."

โลวจุนหงีจึงเล่าเรื่องเดิมให้ฟังว่า

"....โงวหยง พวกโจรปลอมเป็นหมอดู มาทายข้าพเจ้าว่าเคราะห์ร้าย ล่อลวงไปถึงเขาเนียซัวเปาะ หน่วงเหนี่ยวไว้สองเดือนเศษ จะให้เข้าเป็นพวกพ้อง ข้าพเจ้าไม่ยอม แล้วพวกโจรปล่อยให้กลับมา ที่ข้าพเจ้าจะคิดกบฏนั้นหามิได้....."

เนียตงซีก็ว่าเพราะไปปรึกษากับพวกโจร คิดอ่านการกบฏจึงได้อยู่ชักช้า ส่วนลีกูนั้นเกลี้ยกล่อมว่า

"....ท่านผู้เป็นนาย ไหน ๆ เขาก็จับตัวมาจนถึงที่นี่แล้วจงรับเสียดีกว่า ซึ่งท่านเขียนคำโคลงไว้ที่ฝาเป็นคำอรรถ ขุนนางและกรมการผู้ใหญ่บ้านเข้าไปดูก็รู้ชัดว่าคิดกบฏ....."

นางเกสีก็พลอยว่า

".....มิใช่จะแกล้งท่านเมื่อไร เพราะกลัวความผิดที่ท่านทำไว้ จะพลอยมาถึงข้าพเจ้าด้วย จึงได้คิดการ โบราณท่านย่อมว่าคิดกบฏแต่ผู้เดียวต้องฆ่าฟันสิ้นทั้งเก้าโคตร...บัดนี้ตัวท่านก็ติดเข้ามาแล้ว จะทนไม้และหวายได้หรือ จงรับเสียแต่โดยดีเถิด....."

โลวจุนหงีโกรธยิ่งนักแต่ก็ไม่อาจแก้ตัวได้ เพราะ เจ้าเมืองและกรมการเมืองตลอดจนผู้คุม ต่างก็ได้รับสินบนของลีกูแล้วทั้งนั้น โลวจุนหงีจึงถูกเฆี่ยนตีจนแตกโลหิตไหล สลบไปสามครั้ง จึงต้องยอมรับ เจ้าเมืองให้จดถ้อยคำไว้แล้วสั่งให้จำคาหนักร้อยชั่ง เอาไปขังไว้ที่คุกใหญ่

เอียนเชงได้ข่าวว่าโลวจุนหงีต้องโทษอยู่ในคุก แม้แต่อาหารก็ไม่มีผู้ใดส่ง จึงเที่ยวขอทานได้อาหารเล็กน้อย ก็ขออนุญาตผู้คุม เอาอาหารไปให้นาย ผู้คุมคนหนึ่งชื่อ ชัวฮัก ก็อนุญาตให้ เอียนเชงเอาอาหารไปให้โลวจุนหงีกินทุกวัน

วันหนึ่งชัวฮกมอบให้ ชัวเค่ง น้องชายอยู่คุมนักโทษ แล้วตนเองเดินกลับไปบ้าน ระหว่างทางพบลีกูคอยดักอยู่ที่โรงขายน้ำชา ติดสินบนให้ชัวฮกคิดอุบายกำจัดโลวจุนหงีเสียในคืนวันนั้น และเอาทองคำหนักห้าสิบตำลึงให้ล่วงหน้า ชัวฮกก็หัวเราะบอกว่า

".....ท่านไม่เห็นหนังสือสี่ตัวหน้าโรงชำระหรือ ว่ามิให้เข้ากับผู้ใด ท่านเก็บริบทรัพย์ สมบัติแล้วเอาภรรยาเขาเสียด้วย บัดนี้เอาทองคำมาให้เราห้าสิบตำลึง จะให้ล้างผลาญชีวิตเขาเสีย ถ้าภายหลังพลั้งพลาดประการใด ตัวเรามิต้องโทษด้วยหรือ....."

ลีกูเห็นว่าน้อยก็เติมให้อีกห้าสิบตำลึง ชัวฮกก็ว่า

".....คน ๆ นี้มั่งมีทรัพย์สินเป็นเศรษฐีอยู่ในเมืองปักเกีย ชื่อเสียงปรากฎ ถ้าเราคิดฆ่าเสียได้ทองแต่ร้อยตำลึงก็จะเอาไปทำไม แม้นว่าให้ห้าร้อยตำลึงจึงจะทำ....."

ลีกูขอผัดว่าเอามาเท่านี้เองรับไว้ก่อนเถิด เวลาค่ำจัดการเรียบร้อยแล้ว จะเอามาให้ครบห้าร้อยตำลึง ชัวฮกรับเอาทองคำใส่ห่อผ้าแล้วว่า รุ่งขึ้นเช้าจงไปหามศพโลวจุนหงีที่คุกเถิด ลีกูก็ยินดีรีบคำนับลากลับไปบ้าน

เมื่อชัวฮกกลับมาถึงบ้านก็พบชายสองคนรออยู่ ชัวฮกก็เชิญให้เข้าไปข้างในคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งรออยู่ข้างนอก ชายผู้นั้นแนะนำตนเองว่าชื่อ ชาจิน บอกว่าบัดนี้ซ้องกั๋งหัวหน้าใหญ่ใช้ให้มาฟังข่าวโลวจุนหงี ได้ทราบว่ามีผู้กลั่นแกล้งใส่ความ และจะทำร้ายถึงตาย จึงมาแจ้งให้ทราบว่า

".......แม้ท่านช่วยอุปถัมภ์ อย่าให้โลวจุนหงี ถึงแก่ชีวิตเป็นอันตราย ข้าพเจ้าจะได้ตอบแทนสนองคุณท่านให้สมควร ถ้าโลวจุนหงีตายในขณะนี้ คงจะมีผู้ยกกองทัพมาแก้แค้น ตีเมืองเข้าไปได้ก็จะพากันตายเสียสิ้น ตัวท่านเป็นคนซื่อตรง ไม่มีสิ่งของมาคำนับ มีแต่ทองคำหนักพันตำลึงติดมา ปรารถนาจะให้ท่านช่วย....."

ชัวฮกได้ฟังก็ตกใจนั่งตลึงอยู่ ชาจินจึงยืนขึ้นพูดว่า

".....ข้าพเจ้าชายชาติทหาร จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน ท่านอย่ากลัวเลย....."

ชัวฮกจึงรับว่าจะจัดการเอง ชาจินก็เอาทองคำที่ไตจง ซึ่งรออยู่ข้างนอกมาให้ชัวฮก แล้วก็ลากลับไป

ชัวฮกกลับมาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ชัวเค่งฟังที่คุก ชัวเค่งก็รับว่า

"....ถึงตัวข้าพเจ้าก็ไม่ชอบจะให้ช่วยคนผิดอย่างไรได้ โบราณท่านย่อมว่าจะฆ่าคนก็ฆ่าให้ตาย ถ้าจะช่วยเขาก็ช่วยให้ตลอด บัดนี้เราได้ทองคำพันตำลึงแล้วช่วยกันเดินเหินใช้สอย เนียตงซี ผู้รักษาเมืองกับ เตียขงมก ก็เห็นแต่จะได้เงินทอง ขอให้เนรเทศโลวจุนหงีไปเมืองไกลเสีย เมื่อพวกเขาเนียซัวเปาะจะช่วยได้หรือไม่ก็ชั่งเขา อย่าให้โลวจุนหงีตายในเงื้อมมือเรา…..”

ชัวฮกก็เห็นด้วย ทั้งสองจึงจัดการตามความคิด

พอรุ่งเช้าลีกูไปคอยรับศพโลวจุนหงี เมื่อไม่เห็นมีก็ไปต่อว่าชัวฮกที่บ้าน ชัวฮกว่ากำลังจะลงมือ พอดีเนียตงซีเจ้าเมืองมีคำสั่งห้ามว่าอย่าทำให้ตาย จึงต้องงดไว้ก่อน ลีกูเลยต้องกลับไปหาเงินทองมาติดสินบนเพิ่มขึ้นอีก

แล้วคณะกรมการเมือง ที่รับทองคำของชัวฮกไปแล้ว ก็รีบตัดสินคดีนี้ให้เฆี่ยนโลวจุนหงีสี่สิบที แล้วเนรเทศไปให้ไกลถึงสามพันลี้ โดยมอบให้ ตังเทียว และ สิปา เป็นผู้คุมไป ผู้คุมทั้งสองคนนี้มีประวัติเคยคุมตัว ลิมชอง นายโจรใหญ่เขาเนียซัวเปาะไปฆ่ามาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกลงโทษย้ายจากเมืองไคฮงฮู้มาอยู่เมืองปักเกีย

ลีกูรู้ข่าวก็ไปติดสินบนอีก โดยให้ทองคำหนักห้าสิบตำลึง
ทั้งสองนายก็คุมตัวโลวจุนหงีจากคุก ออกเดินทางไปในเวลากลางคืน จากประตูทิศตะวันออก แล้วเร่งให้เดินไปประมาณห้าสิบลี้ ถึงเวลาเย็นค่ำอีกวันหนึ่ง จึงเข้าพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง พอเช้าก็ออกเดินทางต่อไป

โลวจุนหงีก็เดินไม่ใคร่จะได้เพราะถูกเฆี่ยนตีเจ็บป่วยสาหัส แต่อุตส่าห์แข็งใจเดินไปอีกประมาณสิบลี้ ถึงป่าใหญ่ก็บอกผู้คุมว่าเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว ขอพักสักครู่หนึ่งเถิด

สองผู้คุมเห็นเป็นทำเลดีก็อนุญาตให้หยุดเข้าไปพักใต้ต้นไม้ใหญ่

ขณะนั้นไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมา สิปาจึงแกล้งพูดว่าออกมาแต่เช้ามืดยังง่วงอยู่ จะนอนสักงีบหนึ่งก็กลัวว่านักโทษจะหนี จึงช่วยกันผูกมัดโลวจุนหงีไว้กับต้นไม้ใหญ่นั้น แล้วตังเทียวก็ไปคอยดูต้นทาง

สิปาคว้าไม้กระบองได้ก็ตรงเข้ามาหาโลวจุนหงี บอกว่า

".....ท่านอย่าโกรธเราสองคนนี้เลย เพราะลีกูสั่งมาให้ฆ่าท่านเสียตามทาง แม้น ไปถึงซัวมังเต๊าก็คงตายเหมือนกัน จะไปให้ลำบากทำไม ตายเสียที่นี่ดีกว่า....."

โลวจุนหงีได้ฟังแล้วก็สิ้นอาลัยในชีวิต ด้วยเขามัดไว้มั่นคง ก้มศรีษะลงยอมตายแต่โดยดี พอสิปาเงื้อกระบองขึ้นจะทุบต้นคอโลวจุนหงี ก็มีลูกเกาทัณฑ์พุ่งมาถูกคอสิปาล้มขาดใจตาย

ตังเทียวได้ยินเสียงร้องก็วิ่งมาดู เห็นสิปานอนคว่ำอยู่บนพื้นดินกระบองกระเด็นไปไกล จึงเข้าไปพลิกร่างสิปาขึ้นดู เห็นลูกเกาทัณฑ์เสียบอยู่ที่คอ จึงเหลียวหาผู้ลอบทำร้าย ก็เห็นชายผู้หนึ่งยืนแอบอยู่ข้างต้นไม้

แต่ไม่ทันทำอะไร ชายผู้นั้นก็พุ่งเกาทัณฑ์มือเข้าเสียบทะลุคอ ล้มลงขาดใจตายตามเพื่อนไปอีกคนหนึ่ง.

##########

นิตยสารโล่เงิน
มีนาคม ๒๕๔๒
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่