เศรษฐีชตาตก (๑) ๓๑ ส.ค.๕๘

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

โลวจุนหงี.....เศรษฐีชตาตก

ตอนที่ ๑ หมอดูเจ้าเล่ห์

"เล่าเซี่ยงชุน"

ในเมืองปักเกียยังมีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อ โลวจุนหงี เป็นคนมีสติปัญญาดีฝีมือเข้มแข็ง มั่งมีทรัพย์สินชื่อเสียงปรากฎมาแต่ครั้งปู่และบิดา ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลฮอปัก ผู้คนชาวเมืองเรียกฉายาว่า ราชสีห์หยก

มีภรรยาชื่อ นางเกสี มีผู้จัดการชื่อ ลีกู เป็นที่ไว้วางใจให้ดูแลการบ้านเรือนการค้าขายและการบัญชี เงินทองทรัพย์สินทั้งสิ้น มีคนใช้คอยช่วยเหลือประมาณห้าสิบเศษ

เดิมลีกูเป็นชาวตังเกียเมืองหลวง ได้เดินทางมาหาพี่น้องที่เมืองปักเกียแต่ไม่พบ จนเจ็บป่วยลงอาการกำเริบมาก เดินผ่านมาถึงหน้าบ้านโลวจุนหงีก็ล้มลงทำท่าจะตาย โลวจุนหงีก็เอาตัวไว้รักษาพยาบาลจนหายดี เห็นว่าเป็นคนรู้หนังสือและบัญชี จึงเอาตัวไว้ใช้งานต่อไป จนเป็นใหญ่ในบ้านปกครองบ่าวไพร่ และดูแลงานทั้งหมดแทนนายมาจนถึงบัดนี้

โลวจุนหงียังมีคนรับใช้ใกล้ชิดอีกคนหนึ่งชื่อ เอียนเชง รูปร่างสูงใหญ่ อายุได้ยี่สิบสี่ปี บิดามารดาตายเสียตั้งแต่ยังเล็ก โลวจุนหงีเอามาเลี้ยงดูไว้ จนเติบใหญ่ผิวเนื้อขาวเหมือนสำลี ท่านเศรษฐีจึงให้ช่างสักเป็นดอกไม้ไว้ทั่วตัว

เอียนเชงเป็นเด็กที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด พูดได้หลายภาษา มีฝีมือเข้มแข็งชำนิชำนาญเพลงอาวุธต่าง ๆ มีลูกเกาทัณฑ์เหล็กสำหรับขว้างอยู่สามลูก มีฝีมือขว้างได้แม่นยำ และได้ซ้อมมือใช้ล่าสัตว์อยู่เสมอ

วันหนึ่งโลวจุนหงีนั่งดูเสมียนคิดบัญชีเงิน รายรับรายจ่ายอยู่ที่หน้าตึก ได้ยินเสียงคนอื้ออึงอยู่ที่หน้าบ้าน จึงเรียกคนใช้มาถาม ปรากฎว่ามีหมอดูเที่ยวเดินสั่นลูกพรวน ร้องเพลงเป็นคำโคลงมีใจความว่า

"......กำโลว อายุเพียงสิบสองปี เป็นถึง เซงเซียขุนนางผู้ใหญ่ สำเร็จราชการแผ่นดิน เกียงจูแหย นั้นอายุสิบแปดปี ได้เป็นกุนซือขุนนางผู้ใหญ่ ฮวนตัน นั้นขัดสนไม่มีจะกิน เจียะฉอง มั่งมีทรัพย์สินเงินทองจนชื่อเสียงปรากฎ ก็เป็นเพราะปีเดือนวันคืนเวลาเมื่อจะเกิดประจำตัวมา ข้าพเจ้าเป็นหมอดูก็ล่วงรู้การณ์ทั้งปวง จะมีวาสนาหรือทรัพย์สินเงินทอง และจะยากจนก็รู้อยู่ทั้งสิ้น ถ้าผู้ใดจะดูก็เอาเงินตำลึงหนึ่งมาก่อนจึงจะดูให้......."

โลวจุนหงีจึงให้คนใช้ ออกไปเชิญเข้ามาข้างในบ้าน หมอดูก็เข้ามาคำนับโลวจุนหงี พร้อมกับลูกศิษย์ตามหลังอีกคนหนึ่ง ตัวอาจารย์นั้นนุ่งห่มเรียบร้อยสมเป็นซินแส แต่ลูกศิษย์รูปร่างสูงใหญ่หน้าดำเหมือนโจร

โลวจุนหงีก็ต้อนรับซักไซ้ไต่ถามว่าชื่อแซ่ใดมาแต่ไหน ซินแสก็บอกว่าชื่อ เตียหยง เป็นชาวเมืองซัวตัง ได้เล่าเรียนตำราหมอดูมีความรู้ทำนายได้แม่นยำ แต่ลูกศิษย์นั้นเป็นใบ้พูดจาไม่ได้หูก็หนวก

โลวจุนหงีก็หยิบเงินหนึ่งตำลึงมาส่งให้ แล้วก็ให้ดูชตาราศีว่าดีร้ายเป็นประการใด

ซินแสรับเงินวางไว้บนโต๊ะ แล้วก็ถามวันเดือนปีเวลาเกิด จดลงไปในกระดาษ โลวจุนหงีบอกว่า บัดนี้อายุได้สามสิบสองปี มิใช่จะถามถึงบุญวาสนาและทรัพย์สิน แต่อยากจะรู้เคราะห์ดีร้ายสืบไป

ซินแสก็กางตำราออกอ่าน แล้วคิดตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก็ทำสีหน้าสลดลงบอกว่าไม่ได้การ โลวจุนหงีก็ตกใจถามว่าเป็นอย่างไร ซินแสว่าไม่กล้าบอกตามจริงกลัวเศรษฐีจะโกรธ โลวจุน หงี ก็ว่า

".....ทำไมท่านมาพูดดังนั้น ข้าพเจ้าเปรียบเหมือนคนไม่รู้จักทาง จึงหาท่านมาแนะนำด้วยอยากใคร่จะรู้ ท่านอย่าเกรงใจ จงบอกไปตามจริงเถิด...."

ซินแสก็บอกว่า

"...เคราะห์ท่านร้ายนัก เลือดจะตก แล้วจะตายด้วยอาวุธต่าง ๆ คนในบ้านก็ช่วยไม่ได้....."

โลวจุนหงีหัวเราะแล้วว่า

".....ท่านดูผิดไปดอกกระมัง ข้าพเจ้านี้เกิดที่เมืองปักเกียมั่งมีทรัพย์สินเป็นถึงเศรษฐี ปู่และบิดาก็ไม่มีโทษสิ่งใรเกี่ยวข้อง พี่น้องชายหญิงที่จะให้เกิดความก็ไม่มี ตัวข้าพเจ้าจะทำการสิ่งไรก็เป็นยุติธรรมภัยอันตรายจะมีมาแต่ไหน เคราะห์ของข้าพเจ้าจะร้ายถึงอย่างนั้นเจียว
หรือ.."

ซินแสก็โกรธ หยิบเงินตำลึงนั้นส่งให้โลวจุนหงี แล้วก็ทำท่าจะเดินออกไปพร้อมกับบ่นว่า

"....การงานทุกวันนี้ยากนัก เหมือนกับคนร้ายเอาความชั่วมาให้ท่าน จะขอลาไปก่อนแล้ว....."

โลวจุนหงีขอร้องว่าอย่าโกรธเลย เพียงแต่เล่าประวัติให้ฟังดอก ใช่จะไม่เชื่อเมื่อไร ซินแสก็ย้ำว่า

"....ข้าพเจ้าทายตามจริง ชะตาท่านขณะนี้กำลังขึ้น แต่เคราะห์ร้ายนัก ไม่พ้นร้อยวันคงจะได้เห็น...."

โลวจุนหงีซักว่าพอจะหลีกเลี่ยงได้หรือไม่ ซินแสก็หยิบตำรามาคลี่ดูอีก แล้วพยักหน้ากับตำราพูดว่า

"...ถ้าจะหลีกเลี่ยงต้องไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ให้ถึงพันลี้จึงจะพ้นเคราะห์ แต่จะมีความวิตกบ้างเล็กน้อย....."

โลวจุนหงีบอกว่าถ้าไปพ้นภัยอันตราย ก็คงจะตอบแทนบุญคุณท่าน ซินแสก็บอกให้เขียนคำโคลงไว้ที่ฝาผนังตึกสี่บทเป็นคำอรรถ ซึ่งโลวจุนหงีแปลไม่ออก สำคัญว่าเป็นคำเสดาะเคราะห์ แล้วซินแสก็เก็บข้าวของขอลาไป

โลวจุนหงีเห็นว่าเวลาจวนเย็นแล้ว ขอให้พักค้างคืนหนึ่งก่อน แต่ซินแสปฏิเสธว่าเป็นคนทำมาหากิน ถ้าชักช้าก็ป่วยการ ต้องขอลาไปก่อน แล้วก็ชวนลูกศิษย์หน้าดำออกจากบ้านเศรษฐีไป

ฝ่ายโลวจุนหงีตั้งแต่ดูหมอแล้ว ไม่มีความสบายใจเลย เวลานั่งอยู่คนเดียวก็แหงนหน้าดูฟ้า แล้วคิดวิตกไปถึงเคราะห์ร้าย พาให้คาดการณ์ไปต่าง ๆ นา ๆ จึงเรียกลีกูกับเอียนเชงมาปรึกษา เล่าเรื่องหมอดูทำนายว่าเคราะห์ร้ายนักจะถึงแก่ชีวิตในร้อยวัน ถ้าจะให้พ้นภัยต้องไปทางทิศอาคเนย์ถึงพันลี้ และทางทิศนั้นก็มีศาลเจ้าเทียนฉีเซียตี้ ในศาลมีแท่นทองอยู่ที่เขาตังงัก ไทซัวเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์นัก ชาวบ้านชาวเมืองพากันไปคำนับมิได้ขาด จึงคิดที่จะไปเซ่นไหว้ และหาสินค้าไปขายที่เมืองซัวตังด้วย

แล้วก็สั่งให้ลีกูจัดเกวียนสิบเล่ม เอาสินค้าบรรทุกให้เต็ม และให้ลีกูคุมไปด้วย ให้เอียนเชงอยู่รักษาบ้านเรือน บัญชีสิ่งของเงินทองกับลูกกุญแจตึก ให้ลีกูมอบไว้กับเอียนเชง ให้สิทธิ์ขาดการปกครองคนทั้งหมดจนกว่าจะกลับมา ลีกูก็แย้งว่า

"...เชื่อฟังอะไรกับหมอดู มาพูดล่อลวงจะเอาแต่เงินท่าเดียว ข้าพเจ้าไม่เห็นเลยว่าภัยอันตรายจะมีมาถึง เชิญท่านอยู่บ้านให้เป็นสุขเถิด...."

โลวจุนหงีว่าอย่าทัดทานเลย เอียนเชงก็เตือนเสียยาวยืดว่า

"......ท่านเป็นผู้ใหญ่เปรียบเหมือนบิดามารดา จงเชื่อฟังข้าพเจ้าพูดเถิด ซึ่งจะไปข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้ เมืองไทอันจิวนั้น ต้องเดินไปทางเขาเนียซัวเปาะ ด้วยตำบลเขาเนียซัวเปาะนั้น ซ้องกั๋งกับพวกพ้องไปตั้งซ่องสุมกันเป็นโจรเที่ยวตีปล้นอยู่เนือง ๆ กองทัพหลวงยกไปปราบปรามหลายครั้ง ก็สู้พวกซ้องกั๋งไม่ได้ ทหารล้มตายเสียหนักหนา ท่านอย่าเพ่อทำใจร้อนเร็วเลย คอยให้สงบเรียบร้อยดีจึงค่อยไป จะมาเชื่อฟังหมอดูนั้นไม่ได้...."

โลวจุนหงียังไม่ทันจะแย้งว่ากระไร เอียนเชงก็ออกความเห็นต่อไปว่า

"...หรือพวกโจรเขาเนียซัวเปาะ ปลอมเป็นหมอดู มาล่อลวงท่านไปดอกกระมัง น่าเสียดายหนักหนาเวลานั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่บ้าน ถ้าอยู่แล้วคงจะได้หัวเราะกัน...."

โลวจุนหงีก็ว่า

"....เจ้าเอาอะไรมาพูด ผู้ใดจะมาล่อลวงเรา พวกโจรเขาเนียซัวเปาะนั้นเปรียบเหมือนหญ้าฟางจะไปจับตัวมาให้สิ้น ตัวเราได้ฝึกหัดเพลงอาวุธต่าง ๆ จนฝีมือเข้มแข็งจะกลัวอะไรกับพวกโจร....."

นางเกสีภรรยาก็ออกมาห้ามปรามอีกคนหนึ่งว่า

".....ข้าพเจ้าได้ยินท่านบ่นมาหลายวันแล้วว่าจะไปเที่ยวให้พ้นภัย แต่โบราณย่อมว่าไว้ ถ้าออกจากบ้านไปจนลี้หนึ่งก็สู้อยู่บ้านไม่ได้ จะเชื่อฟังหมอดูทำไมจงอยู่ที่บ้านจัดแจงซื้อขายตามสบาย ท่านอย่าไปเลย....."

โลวจุนหงีไม่ฟังว่าตัวเป็นหญิงไม่รู้จักสิ่งใด อย่าห้ามปรามให้มากความไปเลย เอียนเชงยังไม่ละความพยายามจึงว่า

"...พระเดชพระคุณของท่านได้ชุบเลี้ยงข้าพเจ้า และสั่งสอนเพลงอาวุธต่าง ๆ ให้จนฝีมือเข้มแข็ง บัดนี้ท่านมีธุระจะไปเที่ยว ข้าพเจ้าขอไปด้วย ฉวยว่าพบปะพวกโจรจะออกมาแย่งชิง ข้าพเจ้าคนเดียวก็สู้รบได้ถึงหกสิบคน ท่านจงให้ลีกูอยู่รักษาบ้านเรือนตามเดิมเถิด....."

โลวจุนหงีก็ว่าต้องการจะไปขายสินค้าด้วย จึงเอาลีกูไป จะได้เอาสิ่งของเที่ยวขายตามหัวเมือง แต่ลีกูไม่อยากไปก็บ่ายเบี่ยงว่าเจ็บเท้ามาหลายวันแล้ว เดินยังขัดอยู่เห็นจะไปไกลไม่ได้ โลวจุนหงีก็โกรธ จึงว่า

"...เราอุตส่าห์เลี้ยงมาถึงพันวัน มีธุระการงานจะใช้สักเวลาเดียวก็ไม่ได้ พูดจาบิดพริ้วเสีย ถ้าทีนี้ผู้ใดขัดไม่ไปก็คงถูกกับมือเรา....."

ลีกูก็ตกใจไม่รู้ที่จะคิดประการใด ได้แต่แลดูตานางเกสี เพราะทั้งสองรักใคร่ชอบพอเป็นชู้กันอยู่ โดยที่โลวจุนหงีไม่รู้ นางเกสีจึงหลบเข้าข้างใน เอียนเชงก็ไม่อาจพูดจาทัดทานต่อไปได้ ลีกูจึงต้องไปจัดการตามคำสั่ง

อีกสามวันต่อมาโลวจุนหงีก็ให้ลีกู คุมเกวียนสินค้า เดินทางล่วงหน้าไปก่อน แล้วโลวจุนหงีก็ร่ำลาสั่งเสียภรรยาและเอียนเชง ถืออาวุธคู่มือนำบ่าวไพร่เจ็ดแปดคน เดินทางจากบ้านออกนอกเมืองปักเกีย ตามขบวนเกวียนไปข้างหลัง.

##########

นิตยสารโล่เงิน
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่