ในบรรดาเรื่องราวความฝันทั้งหลายของข้าพเจ้า มีความฝันๆหนึ่งที่ข้าพเจ้ามักจักฝันอยู่บ่อยครั้ง ก็คือฝันว่ากลับไปเรียนมัธยมที่ข้าพเจ้าเคยศึกษาสมัยมัธยมต้น มันเป็นโรงเรียนที่ข้าพเจ้าขยาดยิ่งนัก
ท่านผู้อ่านคงกำลังอนุมานว่าฝันที่ข้าพเจ้าฝันนั้นคงเป็นฝันร้ายแท้เทียว ทว่าความจริงความฝันทั้งหลายเหล่านั้น แก่นแท้ของมันคือการที่ข้าพเจ้าได้ย้อนกลับไปแก้ไข “อดีต” เพื่อมิให้มัน “ขยาด” เสียมากกว่า
โรงเรียนบางแห่งก็เหมาะกับเด็กหัวกะทิ ในเมื่ออดีตข้าพเจ้ามิใช่หัวกะทิ เกลือกว่าข้าพเจ้ารังสรรค์ตนให้กลายเป็นบุคคลระดับแถวหน้าของจังหวัดบ้านเกิดได้ การที่จักมีชีวิตที่สงบสุขในโรงเรียนแห่งนั้น คงมิใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมนักดอก
ท่านผู้อ่านคงรู้สึกรำคาญแลเห็นว่าข้าพเจ้าอารัมภบทมายืดยาวพอสมควรแล้ว ถึงเวลาที่เรือลำนี้จักได้เข้าสู่ฝั่งเสียทีหลังจากออกอ่าวมานาน
…
- ประเทศไทย พุทธศักราช ๒๕๕๔
เรื่องมีอยู่ว่า ข้าพเจ้าย้อนกลับไปเป็นนักเรียนของโรงเรียนแห่งนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ห้องเรียนของเราได้จัดค่ายไปต่างประเทศ โดยประเทศที่ไปนั้นคือสาธารณรัฐเกาหลี หรือเกาหลีใต้ ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงข้าพเจ้าไม่เคยไปเยือนประเทศแห่งนี้แต่เพียงครั้ง ไม่ว่าจักเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือเกาหลีเหนือของ ฯพณฯ ตระกูลคิม และ/หรือ สาธารณรัฐเกาหลี หรือเกาหลีใต้ของเหล่าโอ้ปป้า ซารางเฮโย ก็ตามแต่
จำได้ว่าทริปท่องเที่ยวในความฝันนี้ เป็นช่วงเวลาที่มีหิมะสีขาวปกคลุมภูมิประเทศ เรานั่งรถไฟที่เผอิญคล้ายกับรถไฟไทย เพียงแต่รถไฟนั้นวิ่งฝ่าหิมะ มิได้วิ่งฝ่าน้ำท่วม
พวกเพื่อนๆสตรีของข้าพเจ้า แสดงกิริยาการ “ซน” แบบ ไม่เข้าท่า พวกหล่อนเอาตัวออกนอกหน้าต่างรถไฟ เมื่อรถไฟเข้าทางโค้งแลข้างหน้ามีสะพานสีดำทะมึนอยู่ พวกเจ้าหล่อนก็เกือบเสียหลักตกจากขบวนรถ แลทิ้งชีวิตไว้ในประเทศที่มิใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง แต่เดชะบุญที่พวกหล่อนๆทั้งหลาย รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ถ้าเป็นคนไทยพุทธ คงพูดกันหนาหูว่าอีพวกนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ไม่ก็ห้อยพระเครื่องดีๆ หรือท่านยมบาลไม่พิศวาสพวกนางหรอกกระมัง
หลังจากนั่งรถไฟสายที่เกือบจักเป็นสายมรณะ เราได้มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง อันมีลักษณะเป็นเกาะที่มีแม่น้ำล้อมคล้ายเกาะอยุธยา หรือคล้ายคติ “เขาพระสุเมรุ” เพราะใจกลางเกาะนั้นมีศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ให้เดินทางไปเคารพสักการะ
(ภาพวาดแผนที่ศาลเจ้าของเกาหลี ในความฝันของข้าพเจ้า)
การที่จักไปเคารพศาลเจ้านั้นได้ ในฤดูที่มิใช่ฤดูหนาว เราจักต้องนั่งเรือเพื่อข้ามฟากไปยังท่าเรือฝั่งศาลเจ้า ข้าพเจ้ามองเห็นตนเองในความฝันกำลังเดินสำรวจท่าเรือข้ามฟาก ณ สถานที่แห่งนั้น หากแต่ในตอนนี้มันเป็นฤดูหนาว น้ำในคูคลองจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง ทำให้มิสามารถล่องเรือข้ามฟากไปยังศาลเจ้าได้ ทางเดียวที่จักไปสักการะสถานที่แห่งนั้นได้ก็คือ การเดินฝ่าธารน้ำแข็ง ซึ่งทุกคนในห้องเรียนข้าพเจ้าก็ทำเช่นนั้น
เมื่อข้ามไปยังอีกฝั่งได้สำเร็จ พวกข้าพเจ้าก็พบกับภูเขาที่มีบันไดนับร้อยๆขั้น พวกเราในวัย ๑๔-๑๕ ก็ขึ้นบันไดไปยังศาลเจ้าดังกล่าว ข้าพเจ้าต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้ามิสามารถบรรยายลักษณะของศาลเจ้าได้ ข้าพเจ้ากล่าวแต่เพียงว่าศาลแห่งนี้มันมีลักษณะคล้ายกับศาลเจ้าญี่ปุ่นของ “ริกะจัง” ตัวละครในภาพยนตร์การ์ตูนชุด
“แว่วเสียงเรไร” ของประเทศญี่ปุ่น (Higurashi no Naku Koro Ni)
ทุกคนต่างมาเคารพสักการะโดยไม่ต้องมีธูปเทียนดอกไม้แต่ประการใด เพียงเปิดสองกรพนมมือเปล่าๆ ก็สามารถจักอธิษฐานได้ทันที
เรื่องมันยุ่งตรงที่ว่า “อ้ายเอ็ม ศุภฤกษ์” ๑ ในกลุ่มเพื่อนของข้าพเจ้าได้อธิษฐานว่า
“หากพวกเราทั้งหมดมีคู่แฟนแล้ว พวกเราจะนำแฟนของเรามาเคารพสักการะที่นี่ อีกครั้ง!”
การอธิษฐานดังกล่าวนี่เองที่ยังความให้เกิดปัญหาในอนาคตข้างหน้า
...
- ประเทศไทย พุทธศักราช ๒๕๗๔
การ “บนซี้ซั้ว” ทำให้เกิดอาถรรพ์คำสาป จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น ทำให้เพื่อนของข้าพเจ้าหลายคน ต่างประสบเคราะห์กรรมหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บ้างก็สูญเสียบุคคลสำคัญในครอบครัวแบบปัจจุบันทันด่วน บ้างครอบครัวถังแตกอย่างไม่ทันตั้งตัว บ้างก็ประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล บ้างก็ตกงานจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า บ้างก็ป่วยเป็นCovid จนกลายเป็นภาวะ Long Covid
ในงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียน เพื่อนๆกลุ่มที่เคยไปสักการะศาลเจ้าเกาหลี ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ทุกคนต่างพูดถึงเคราะห์กรรมที่ต้องประสบพบเจอหลังจบการศึกษา กระทั่งมีคนใดคนหนึ่งในวงสนทนาพลั้งปาก
“ลืมแก้บนว่ะ” อ้ายเอ็ม ศุภฤกษ์ พลั้งปาก
“แก้บนอะไรวะ” อ้ายเพชร ณัฐวุฒิ ถาม
“ก็ไปบนที่ศาลเจ้าตอนไปเที่ยวเกาหลีไง” ต้นเรื่องตอบ
“อาว ไอ้hia แล้ว mueng บนอะไรวะ” อ้ายจูเนียร์ กันตพงศ์ ถาม
“ก็กูบนว่า ถ้าหากกูกับพวก mueng มีแฟนแล้ว พวกเราจะพาแฟนไปเคารพศาลนั่นอีกไง”
“ไอ้Jetแม่! muengไปบนอย่างนั้นได้ไงวะ พวกกูเกี่ยวอะไรด้วย” อ้ายกอล์ฟ กรวิชญ์ ถามปนสบถ
“นั่นสิ muengบนพล่อยๆได้ไงวะ ไอ้hia” อ้ายอาร์ม ปฐมพงษ์ ถามปนสบถ เช่นกัน
เสียงเอะอะโวยวายเริ่มทวีความรุนแรง มีใคนคนใดคนหนึ่งเอามือไปเบิร์ดกะโหลกตัวต้นเรื่อง บางคนสบถด่า บางคนทำหน้าเจี๋อนๆ บางคนก็เกือบวางมวยอ้ายเอ็ม แต่เมื่อเพลาผ่านไป ๒ ชั่วโมง ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารแลเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชั้นดี พวกเขาต่างก็ระดมสมองเพื่อทบทวนเรื่องราวดังกล่าวอีกครั้ง
ทุกคนได้ข้อสรุปแล้วว่าทุกคนจักพาแฟนของตนเองไปแก้บนที่ศาลเจ้าเกาหลีด้วยกัน เรื่องราวเริ่มจักลงเอยด้วยดีจนกระทั่ง แม็ก รักษ์พงศ์ เพื่อนเก่าของข้าพเจ้า เอ่ยขึ้นมาว่า
“พวกmuengลืม hiaจ๊ะได้ไง!!!”
“เออ นั่นสิ มีhiaจ๊ะด้วยนี่หว่าในทริปนั้น” มอส ภาคภูมิ เอ่ย
“”มันจบม.๓ แล้วมันหายไปเลย” เอ็กซ์ องอาจ พูดขึ้นมา
“ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ไหนแล้ว” เมฆ ชนวีร์ จำนรรจา
ทันใดนั้น แม็กก็พูดออกมาว่า “กูมีไลน์มัน เดี๋ยวกูติดต่อมันให้”
...
ความจริงชีวิตวัยเด็กมัธยมของข้าพเจ้าจัดว่ามิได้สวยงามนัก คนอื่นชีวิตโรยด้วย “กลีบกุหลาบ” ชีวิตของข้าพเจ้าโรยด้วย “ดอกไม้จันทน์” ก็ว่าได้ เหตุเพราะข้าพเจ้าถูกฝากให้เข้าโรงเรียนนี้ตั้งแต่เด็ก โดยที่ข้าพเจ้ามิได้ยินยอมพร้อมใจ ข้าพเจ้าไม่มีความพร้อมที่จักศึกษาเล่าเรียนที่นั่น เพราะโรงเรียนมีสอนว่ายน้ำ แลข้าพเจ้าในตอนนั้น “ว่ายน้ำไม่เป็น” ข้าพเจ้าเพิ่งจักมาว่ายน้ำเป็นก็ตอนอายุ ๒๒ แล้ว ฉะนั้นการที่ข้าพเจ้าในสมัยนั้นว่ายน้ำไม่เป็น ยังผลให้ข้าพเจ้าโดนกลั่นแกล้งหรือ bullyอย่างหนักจากคนที่โรงเรียน ฉันนั้นเมื่อข้าพเจ้าสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ ๓ แล้ว ข้าพเจ้าจึงจากโรงเรียนแลผองเพื่อนไปอย่างเงียบๆ โดยไม่บอกกล่าว แต่ด้วยความที่ข้าพเจ้าตกหลุมรัก แม็กเข้าอย่างจัง ข้าพเจ้าก็อดคิดถึง “แม็กสุดที่รัก” ของข้าพเจ้าเสียมิได้ ข้าพเจ้าจึงติดต่อกับแม็กบ้างเป็นครั้งคราว
มันเป็นความรักอันเจ็บปวดของ “ชายเทียม” ทีมีต่อ “ชายแท้” หากใครเคยลิ้มรสความอกหักนี้ ก็คงจักเข้าใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนไม่มากก็น้อย
วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังดูคลิปรายการข่าวผ่าน Youtube อยู่ๆ Line ก็เด้งขึ้นมา มันเป็นไลน์ของแม็ก มันทักทายข้าพเจ้าโดยมีเรื่องราวดังต่อไปนี้
“จ๊ะอยู่ไหม”
“ว่าไงสุดที่รัก” ข้าพเจ้าวิสัชนา
“ตอนนี้muengมีแฟนยังอะ”
“ยัง...muengจะเป็นแฟนกูเรอะ?”
“ไอ้sus...กูชอบผู้หญิง”
“5555 แล้วmuengถามทำไม”
“คืองี้ คือไอ้เอ็มมันไปบนศาลเจ้าที่เกาหลี ที่พวกเราเคยไปตอน ม.๓ อะจำได้ไหม”
“อ๋อ...จำได้ แล้วยังไงวะ”
“ไอ้hia เอ็มมันไปบนว่า...ถ้าพวกเราทั้งหมดมีแฟนจะมาเคารพที่ศาลเจ้าเกาหลีอีกครั้ง แต่เวลาผ่านไปหลายปี พวกเราก็มีแฟนกันหมดแล้ว แต่ก็ไม่เคยไปบนสักที ก็เลยเกิดเรื่องราวไม่ดีมากมาย...”
แม็กอธิบายถึงเคราะห์กรรมที่เพื่อนๆต่างประสบ รวมถึงกรรมที่มันต้องสูญเสียมารดาอันเป็นที่รัก เมื่อครั้งที่มันอายุ ๒๐ ต้นๆ มิหนำซ้ำครอบครัวก็ถังแตก ไม่มีเงินศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทำให้สุดที่รักของข้าพเจ้าต้องเบนเข็มไปประกอบอาชีพตำรวจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อแม็กเอ่ยถึงเรื่องราวอาถรรพ์ ทั้งของเพื่อนๆแลของตัวแม็กเองนั้น แม็กจึงถามข้าพเจ้าว่า
“แล้วmuengล่ะจ๊ะ...เจออาถรรพ์อะไรบ้างรึเปล่า?”
ข้าพเจ้าคิดครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ
“ก็ที่muengไม่รักกูไง”
“ไอ้hia! เอาดีๆสิวะ! Jetแม่” สุดหล่อของข้าพเจ้าสบถ
เมื่อแม็กมีน้ำโหกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงต้องตอบด้วยความสัตย์จริงว่า
“กูตกงานเลยป่วยเป็นโรคซึมเศร้า นี่แหละมั้ง...ที่พอจะเรียกว่า “อาถรรพ์”ได้”
“แล้วตอนนี้muengได้งานทำรึยัง”
“ได้แล้ว...แต่กูก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำไปถึงเมื่อไหร่...เพราะมันไม่ใช่งานที่กูรัก”
“แล้วmuengรักงานอะไร”
“พากย์หนัง...กูฝันมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน”
“ฟ้าคงไม่ได้ลิขิตอะเพื่อน...ยังไงงานที่มีตอนนี้ก็ทำๆไปก่อนนะ ว่าแต่ muengมีแฟนรึยัง”
“ยัง กูไม่เคยมองใครนอกจากmueng”
“shipหายแล้ว! จะทำไงล่ะทีนี้ ต้องรอให้muengมีแฟนรึไง ถึงจะได้ไปแก้บนกัน”
“ไม่ต้องมีแฟนหรอก...ไปแก้ทั่งๆที่กูยังโสดอยู่แบบนี้แหละ ค่อยบอกท่านเอาว่ายังไม่มี”
“เออๆ ลองดูก็ได้”
ข้าพเจ้าตกปากรับคำแม็ก เพื่อที่จักไปเกาหลีกับเพื่อนเก่าที่มิได้เจอกันนานแสนนาน แต่ที่พิเศษก็คือ ข้าพเจ้าได้พบกับคู่รักของเพื่อนๆด้วย มันคงเป็นอารามอิจฉาเล็กน้อยที่เป็นคนโสดคนเดียวในกลุ่มเพื่อน
การไปแก้บนที่เกาหลีนั้นเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ามิอาจทราบเรื่องราวได้ เนื่องจากข้าพเจ้าได้ตื่นนอนเสียก่อน มันขึ้นอยู่กับท่านผู้อ่านแล้วล่ะ ว่าท่านนั้นจักรังสรรค์เรื่องราวต่อจากนี้อย่างไร
จ๊ะ เสือไบ
๒๗ มี.ค. ๒๕๖๗
เรื่องสั้น ชุด "ฝัน STory" ตอน บนซี้ซั้ว (โดย จ๊ะ เสือไบ)
ท่านผู้อ่านคงกำลังอนุมานว่าฝันที่ข้าพเจ้าฝันนั้นคงเป็นฝันร้ายแท้เทียว ทว่าความจริงความฝันทั้งหลายเหล่านั้น แก่นแท้ของมันคือการที่ข้าพเจ้าได้ย้อนกลับไปแก้ไข “อดีต” เพื่อมิให้มัน “ขยาด” เสียมากกว่า
โรงเรียนบางแห่งก็เหมาะกับเด็กหัวกะทิ ในเมื่ออดีตข้าพเจ้ามิใช่หัวกะทิ เกลือกว่าข้าพเจ้ารังสรรค์ตนให้กลายเป็นบุคคลระดับแถวหน้าของจังหวัดบ้านเกิดได้ การที่จักมีชีวิตที่สงบสุขในโรงเรียนแห่งนั้น คงมิใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมนักดอก
ท่านผู้อ่านคงรู้สึกรำคาญแลเห็นว่าข้าพเจ้าอารัมภบทมายืดยาวพอสมควรแล้ว ถึงเวลาที่เรือลำนี้จักได้เข้าสู่ฝั่งเสียทีหลังจากออกอ่าวมานาน
จำได้ว่าทริปท่องเที่ยวในความฝันนี้ เป็นช่วงเวลาที่มีหิมะสีขาวปกคลุมภูมิประเทศ เรานั่งรถไฟที่เผอิญคล้ายกับรถไฟไทย เพียงแต่รถไฟนั้นวิ่งฝ่าหิมะ มิได้วิ่งฝ่าน้ำท่วม
พวกเพื่อนๆสตรีของข้าพเจ้า แสดงกิริยาการ “ซน” แบบ ไม่เข้าท่า พวกหล่อนเอาตัวออกนอกหน้าต่างรถไฟ เมื่อรถไฟเข้าทางโค้งแลข้างหน้ามีสะพานสีดำทะมึนอยู่ พวกเจ้าหล่อนก็เกือบเสียหลักตกจากขบวนรถ แลทิ้งชีวิตไว้ในประเทศที่มิใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง แต่เดชะบุญที่พวกหล่อนๆทั้งหลาย รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ถ้าเป็นคนไทยพุทธ คงพูดกันหนาหูว่าอีพวกนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ไม่ก็ห้อยพระเครื่องดีๆ หรือท่านยมบาลไม่พิศวาสพวกนางหรอกกระมัง
หลังจากนั่งรถไฟสายที่เกือบจักเป็นสายมรณะ เราได้มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง อันมีลักษณะเป็นเกาะที่มีแม่น้ำล้อมคล้ายเกาะอยุธยา หรือคล้ายคติ “เขาพระสุเมรุ” เพราะใจกลางเกาะนั้นมีศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ให้เดินทางไปเคารพสักการะ
เมื่อข้ามไปยังอีกฝั่งได้สำเร็จ พวกข้าพเจ้าก็พบกับภูเขาที่มีบันไดนับร้อยๆขั้น พวกเราในวัย ๑๔-๑๕ ก็ขึ้นบันไดไปยังศาลเจ้าดังกล่าว ข้าพเจ้าต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้ามิสามารถบรรยายลักษณะของศาลเจ้าได้ ข้าพเจ้ากล่าวแต่เพียงว่าศาลแห่งนี้มันมีลักษณะคล้ายกับศาลเจ้าญี่ปุ่นของ “ริกะจัง” ตัวละครในภาพยนตร์การ์ตูนชุด “แว่วเสียงเรไร” ของประเทศญี่ปุ่น (Higurashi no Naku Koro Ni)
ทุกคนต่างมาเคารพสักการะโดยไม่ต้องมีธูปเทียนดอกไม้แต่ประการใด เพียงเปิดสองกรพนมมือเปล่าๆ ก็สามารถจักอธิษฐานได้ทันที
เรื่องมันยุ่งตรงที่ว่า “อ้ายเอ็ม ศุภฤกษ์” ๑ ในกลุ่มเพื่อนของข้าพเจ้าได้อธิษฐานว่า
“หากพวกเราทั้งหมดมีคู่แฟนแล้ว พวกเราจะนำแฟนของเรามาเคารพสักการะที่นี่ อีกครั้ง!”
การอธิษฐานดังกล่าวนี่เองที่ยังความให้เกิดปัญหาในอนาคตข้างหน้า
ในงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียน เพื่อนๆกลุ่มที่เคยไปสักการะศาลเจ้าเกาหลี ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ทุกคนต่างพูดถึงเคราะห์กรรมที่ต้องประสบพบเจอหลังจบการศึกษา กระทั่งมีคนใดคนหนึ่งในวงสนทนาพลั้งปาก
“ลืมแก้บนว่ะ” อ้ายเอ็ม ศุภฤกษ์ พลั้งปาก
“แก้บนอะไรวะ” อ้ายเพชร ณัฐวุฒิ ถาม
“ก็ไปบนที่ศาลเจ้าตอนไปเที่ยวเกาหลีไง” ต้นเรื่องตอบ
“อาว ไอ้hia แล้ว mueng บนอะไรวะ” อ้ายจูเนียร์ กันตพงศ์ ถาม
“ก็กูบนว่า ถ้าหากกูกับพวก mueng มีแฟนแล้ว พวกเราจะพาแฟนไปเคารพศาลนั่นอีกไง”
“ไอ้Jetแม่! muengไปบนอย่างนั้นได้ไงวะ พวกกูเกี่ยวอะไรด้วย” อ้ายกอล์ฟ กรวิชญ์ ถามปนสบถ
“นั่นสิ muengบนพล่อยๆได้ไงวะ ไอ้hia” อ้ายอาร์ม ปฐมพงษ์ ถามปนสบถ เช่นกัน
เสียงเอะอะโวยวายเริ่มทวีความรุนแรง มีใคนคนใดคนหนึ่งเอามือไปเบิร์ดกะโหลกตัวต้นเรื่อง บางคนสบถด่า บางคนทำหน้าเจี๋อนๆ บางคนก็เกือบวางมวยอ้ายเอ็ม แต่เมื่อเพลาผ่านไป ๒ ชั่วโมง ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารแลเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชั้นดี พวกเขาต่างก็ระดมสมองเพื่อทบทวนเรื่องราวดังกล่าวอีกครั้ง
ทุกคนได้ข้อสรุปแล้วว่าทุกคนจักพาแฟนของตนเองไปแก้บนที่ศาลเจ้าเกาหลีด้วยกัน เรื่องราวเริ่มจักลงเอยด้วยดีจนกระทั่ง แม็ก รักษ์พงศ์ เพื่อนเก่าของข้าพเจ้า เอ่ยขึ้นมาว่า
“พวกmuengลืม hiaจ๊ะได้ไง!!!”
“เออ นั่นสิ มีhiaจ๊ะด้วยนี่หว่าในทริปนั้น” มอส ภาคภูมิ เอ่ย
“”มันจบม.๓ แล้วมันหายไปเลย” เอ็กซ์ องอาจ พูดขึ้นมา
“ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ไหนแล้ว” เมฆ ชนวีร์ จำนรรจา
ทันใดนั้น แม็กก็พูดออกมาว่า “กูมีไลน์มัน เดี๋ยวกูติดต่อมันให้”
มันเป็นความรักอันเจ็บปวดของ “ชายเทียม” ทีมีต่อ “ชายแท้” หากใครเคยลิ้มรสความอกหักนี้ ก็คงจักเข้าใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนไม่มากก็น้อย
วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังดูคลิปรายการข่าวผ่าน Youtube อยู่ๆ Line ก็เด้งขึ้นมา มันเป็นไลน์ของแม็ก มันทักทายข้าพเจ้าโดยมีเรื่องราวดังต่อไปนี้
“จ๊ะอยู่ไหม”
“ว่าไงสุดที่รัก” ข้าพเจ้าวิสัชนา
“ตอนนี้muengมีแฟนยังอะ”
“ยัง...muengจะเป็นแฟนกูเรอะ?”
“ไอ้sus...กูชอบผู้หญิง”
“5555 แล้วmuengถามทำไม”
“คืองี้ คือไอ้เอ็มมันไปบนศาลเจ้าที่เกาหลี ที่พวกเราเคยไปตอน ม.๓ อะจำได้ไหม”
“อ๋อ...จำได้ แล้วยังไงวะ”
“ไอ้hia เอ็มมันไปบนว่า...ถ้าพวกเราทั้งหมดมีแฟนจะมาเคารพที่ศาลเจ้าเกาหลีอีกครั้ง แต่เวลาผ่านไปหลายปี พวกเราก็มีแฟนกันหมดแล้ว แต่ก็ไม่เคยไปบนสักที ก็เลยเกิดเรื่องราวไม่ดีมากมาย...”
แม็กอธิบายถึงเคราะห์กรรมที่เพื่อนๆต่างประสบ รวมถึงกรรมที่มันต้องสูญเสียมารดาอันเป็นที่รัก เมื่อครั้งที่มันอายุ ๒๐ ต้นๆ มิหนำซ้ำครอบครัวก็ถังแตก ไม่มีเงินศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทำให้สุดที่รักของข้าพเจ้าต้องเบนเข็มไปประกอบอาชีพตำรวจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อแม็กเอ่ยถึงเรื่องราวอาถรรพ์ ทั้งของเพื่อนๆแลของตัวแม็กเองนั้น แม็กจึงถามข้าพเจ้าว่า
“แล้วmuengล่ะจ๊ะ...เจออาถรรพ์อะไรบ้างรึเปล่า?”
ข้าพเจ้าคิดครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ
“ก็ที่muengไม่รักกูไง”
“ไอ้hia! เอาดีๆสิวะ! Jetแม่” สุดหล่อของข้าพเจ้าสบถ
เมื่อแม็กมีน้ำโหกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงต้องตอบด้วยความสัตย์จริงว่า
“กูตกงานเลยป่วยเป็นโรคซึมเศร้า นี่แหละมั้ง...ที่พอจะเรียกว่า “อาถรรพ์”ได้”
“แล้วตอนนี้muengได้งานทำรึยัง”
“ได้แล้ว...แต่กูก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำไปถึงเมื่อไหร่...เพราะมันไม่ใช่งานที่กูรัก”
“แล้วmuengรักงานอะไร”
“พากย์หนัง...กูฝันมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน”
“ฟ้าคงไม่ได้ลิขิตอะเพื่อน...ยังไงงานที่มีตอนนี้ก็ทำๆไปก่อนนะ ว่าแต่ muengมีแฟนรึยัง”
“ยัง กูไม่เคยมองใครนอกจากmueng”
“shipหายแล้ว! จะทำไงล่ะทีนี้ ต้องรอให้muengมีแฟนรึไง ถึงจะได้ไปแก้บนกัน”
“ไม่ต้องมีแฟนหรอก...ไปแก้ทั่งๆที่กูยังโสดอยู่แบบนี้แหละ ค่อยบอกท่านเอาว่ายังไม่มี”
“เออๆ ลองดูก็ได้”
ข้าพเจ้าตกปากรับคำแม็ก เพื่อที่จักไปเกาหลีกับเพื่อนเก่าที่มิได้เจอกันนานแสนนาน แต่ที่พิเศษก็คือ ข้าพเจ้าได้พบกับคู่รักของเพื่อนๆด้วย มันคงเป็นอารามอิจฉาเล็กน้อยที่เป็นคนโสดคนเดียวในกลุ่มเพื่อน
การไปแก้บนที่เกาหลีนั้นเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ามิอาจทราบเรื่องราวได้ เนื่องจากข้าพเจ้าได้ตื่นนอนเสียก่อน มันขึ้นอยู่กับท่านผู้อ่านแล้วล่ะ ว่าท่านนั้นจักรังสรรค์เรื่องราวต่อจากนี้อย่างไร