๒๐
เด็ก ๑๔ หนีเที่ยว
ข้าพเจ้าฝันยามรัตติกาลวันที่ ๑๑ ก.ค. ๒๕๖๗ เป็นการฝันถึงเด็กผู้ชายหล่อๆ คนหนึ่ง
บุ๋นเป็นเด็กชายวัย ๑๔ ปี ร่างเล็กสูงราวๆ ๑๖๐ เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ ๓๘ กิโลกรัม ผิวขาว ฟันเก ตาชั้นเดียว หูไม่กาง หูยาวแต่ติ่งหูสั้น จมูกขนาดพอดี ดั้งจมูกไม่หัก ชอบเล่นกีฬาบาสเกตบอลเป็นชีวิตจิตใจ อย่างไรก็ตาม ในความฝันข้าพเจ้ามีศักดิ์เป็นน้าชายของบุ๋น มารดาของบุ๋นมีอายุมากกว่าข้าพเจ้าเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น แลคงเป็นพี่สาวแท้ๆ ของข้าพเจ้า ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นข้าพเจ้าไม่มีพี่สาว มีเพียง "โกะ" ที่เป็นลูกของน้า แลเป็นลูกพี่ลูกน้องข้าพเจ้าเท่านั้น
มีบ้านหลังหนึ่งปรากฏอยู่ในความฝัน มันเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง ตั้งอยู่ ณ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา บ้านหลังนี้เดิมทีเป็นบ้านของยายขิ้น พี่สาวของคุณยายข้าพเจ้า แลท่านเป็นลูกแท้ๆ ของทวดวุ่น ในเรื่อง "ผียายทวด" เฉกเช่นเดียวกันกับคุณยายของข้าพเจ้า หนำซ้ำท่านยังเป็นพี่สาวของตาสงบ ในเรื่อง "สามวิฬาร์สาบสูญ" อีกด้วย
เคหาสน์น้อยหลังนี้ในโลกแห่งความเป็นจริงมันถูกรื้อถอน ๒ ปีเห็นจักได้แล้ว ข้าพเจ้าจำได้รางๆ เมื่อก่อนตอนที่ยายขิ้นยังมีชีวิตอยู่นั้น พอถึงช่วงสงกรานต์ คุณยายของข้าพเจ้ามักจักเดินทางไปเยี่ยมพี่สาวของท่าน แลข้าพเจ้าได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย ข้าพเจ้าเคยวิ่งเล่น เคยปีนต้นมะม่วงเข้าบ้านแห่งนี้ทางหน้าต่าง รู้สึกใจหายเหมือนกันที่ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีบ้านไม้เก่าหลังนี้แล้ว เพราะมันได้ล้มหายตายจากตามยายขิ้นเจ้าของบ้านไป ทว่าบ้านหลังนี้ยังไม่สูญสลาย มันกลับมาปรากฏอีกครั้ง ณ ความฝันของข้าพเจ้าในครั้งนี้
ยามรัชนีราตรีกาล มีเดือนเสี้ยวเกี่ยวกิ่งฟ้าแลดวงดารากะพริบแพรวพราว อันตัวข้าพเจ้ากำลังนอนหลับเนื่องจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน
ไม่ช้าไม่นานแม่ของบุ๋นก็นอนหลับเฉกเช่นเดียวกัน แต่หล่อนนอนคนละห้อง น่าเสียดายนักเทียวที่ฝันของข้าพเจ้ามันเลือนรางจนข้าพเจ้ามองเห็นลักษณะทางกายภาพของพี่สาวผู้เป็นมารดาของบุ๋นไม่แจ่มชัด ข้าพเจ้ามองเห็นสตรีวัย๔๐ หุ่นค่อนข้างท้วม ผมดำหยิกสั้นลักษณะเป็นแอฟโฟร่ สวมชุดกระโปรงยาวสีเหลือง ชุดเป็นชุดลายดอกไม้สีแดงที่คล้ายๆ ดอกชบา หล่อนมีผิวดำ ดูท่าทางเป็นสตรีจู้จี้ขี้บ่น เท่านั้นแลที่ข้าพเจ้าจักสามารถจาระไนคุณลักษณะของหล่อนได้
เมื่อมารดาของบุ๋นเข้านอนไปชั่วระยะหนึ่ง ข้าพเจ้าซึ่งนอนอยู่ก่อนหน้าพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา เนื่องด้วยเสียงเอะอะโวยวายเนื่องจากมีอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญเข้ามา ณ เคหสถานแห่งนี้
มีกลุ่มคนประมาณสิบคน ลางคนก็อายุราว ๔๐ ลางคนก็ ๒๐ กว่า ลางคนก็รุ่นราวคราวเดียวกับบุ๋น ได้เข้ามาที่บ้านยามวิกาล
พวกนี้คือ "แก๊งน้ำท่อม" นำโดยพี่แม็ก หัวโจกของแก๊ง ข้าพเจ้าต้องเรียนให้ท่าน ทราบก่อนว่า "พี่แม็ก" นี้ เป็นคนละคนกับ "แม็ก" รักษ์พงศ์ เพื่อนของข้าพเจ้าในเรื่อง "บนซี้ซั้ว"
แลที่เรียกว่า "แก๊งน้ำท่อม" ก็เพราะอ้ายพี่แม็กคนนี้แล ชอบแดกน้ำกระท่อมเป็นชีวิตจิตใจ แม้นในเวลาทำงานพี่แกยังอุตส่าห์สละเพลา สละหน้าที่การงานเพื่อควานหา "น้ำกระท่อม" โดยเฉพาะ ทั้งซื้อแบบสำเร็จรูปแลวิริยะอุตสาหะหาหม้อหาเตามาต้มเอง ณ สถานที่ทำงาน
แก๊งน้ำท่อมมาบ้านเพื่อชวนบุ๋นไปเที่ยวกลางคืนที่ชายหาดปากแตระ ซึ่งบริเวณนั้นมีร้านอาหารมากมาย แลมีแป้นบาสให้ชู้ตบาสเล่นอีกด้วย บุ๋นบัดนี้อยู่ในชุดนักกีฬาบาสเกตบอลก็เดินถือลูกบาสมาต้อนรับคนพวกนั้นแล้ว
เสียงเจี๊ยวจ๊าวทำให้ข้าพเจ้าพลันตื่นขึ้นขึ้นมา มันเป็นเสียงการพูดคุยกันของเด็กวัยรุ่นที่ตามธรรมชาติแล้วจักมีคำผรุสวาทโผล่มาบ้างลางที
"แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอวะไอ้sus" เพื่อนของบุ๋นที่ชื่อโฟร์ท ปุฉฉา
"เออไอ้hia" บุ๋นวิสัชนา
"Jetโด้...แ-่งถือลูกบาสพร้อมเลยนะ" เจมีไนน์ หนึ่งในสมาชิกแก๊งน้ำท่อมพูดขึ้นมา
"เออดิ" หลานชายข้าพเจ้ากล่าวตอบ
"เอะอะโวยวายอะไรกัน" ข้าพเจ้าผู้ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงโวยวายขอพูดบ้าง
"อุ๊ย!!!"
ใครสักคนในแก๊งน้ำท่อมอุทาน บางคนก็ทำหน้าซีดหน้าเสีย
"อุ๊ย!!! ...น้าจ๊ะ!!!...ตื่นแล้วเหรอครับ?" บุ๋นอุทานขึ้นมา
"จะไปไหนล่ะบุ๋น" ข้าพเจ้าถามเด็ก๑๔
"ไปเที่ยวกับเพื่อนครับน้าจ๊ะ"
"แล้วบอกแม่เขารึยังล่ะ?"
ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพูดกับบุ๋น จู่ๆ ก็มีเสียงแทรกออกมาจากชายผู้หนึ่งซึ่งกำลังเข้าห้องน้ำปัสสาวะ
"โห...ดุซะด้วยจ๊ะ"
มันคือเสียงของพี่แม็ก หัวโจกแก๊งน้ำท่อมนั่นเอง
บุ๋นค้างเติ่งเมื่อข้าพเจ้าถามคำถามนี้ขึ้นมา แต่หลานชายของข้าพเจ้ายังมีความเป็นเด็กดีอยู่บ้าง นางจึงเปิดสองกรพนมมือไหว้ข้าพเจ้าแล้วพูดว่า
"ถ้าบอกแม่แม่ก็ไม่ให้บุ๋นไปสิครับ...น้าจ๊ะอย่าบอกแม่นะ...บุ๋นขอร้อง"
ข้าพเจ้าเงียบไปชั่วขณะ แลนึกถึงแผนดีๆ แผนหนึ่งออก แผนที่ข้าพเจ้าจักสามารถวางใจได้ว่าหลานชายวัย ๑๔ คนนี้จักไม่เถลไถลออกนอกลู่นอกทาง
"เออ...แต่บุ๋นอย่ากลับดึกนะ"
"กลับเที่ยงคืนนะน้าจ๊ะ"
"เฮ้ย!!!ไม่ได้!!! น้าให้ไม่เกินสี่ทุ่มครึ่ง!!!"
"ครับ ขอบคุณมากครับน้าจ๊ะ"
"เออ"
"งั้นบุ๋นไปก่อนนะ"
เด็กชายวัย๑๔ พร้อมผองเพื่อนเดินออกจากบ้านไม้หลังน้อยนี้มุ่งหน้าไปยังชายหาดปากแตระ โดยหารู้ไม่ว่า ข้าพเจ้าได้แอบสะกดรอยตามมาติดๆ
ชายหาดปากแตระนี้ในโลกแห่งความจริงมันต้องเดินเท้าไปราว ๒-๓ กิโลเมตรเห็นจักได้ แต่ในโลกแห่งความฝันเดินเพียง ๒๐๐-๓๐๐ เมตรก็ถึงแล้ว
ค่ำคืนนี้ท้องฟ้ามีเมฆมากจนบางทีก็บดบังดวงแขแลดวงดาว แต่ก็ถือว่าอากาศดีไม่มีฝนตก ลมทะเลพัดโบกทำให้ผิวกายเย็นสบาย คลื่นสูงเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น เด็กๆ เดินเล่นริมชายหาดอย่างสนุกสนาน พูดสารพัดเรื่องที่เด็กวัยรุ่นพูดกัน ทั้งเรื่องเกมต่างๆ
"ไอ้hiaบุ๋น อาโอวีกับกูสักตาปะsus"
โฟร์ท ซึ่งเป็นเพื่อนของบุ๋นคนหนึ่งที่วัยไล่เลี่ยกันเอ่ยปากชวน
"เอาดิไอ้โฟร์ท" หลานชายข้าพเจ้าตอบ
ถัดจากเรื่องเกม ก็เป็นเรื่องผู้หญิง
"เฮ้ยไอ้กัน ชอบอีไวตามิลค์ห้องสี่ปะวะ!"
เสียงสตางค์ เด็กในแก๊งน้ำท่อมคุยกับกัน หนึ่งในแก๊ง
"ไม่ใช่"
กันตอบสตางค์ไปทั้งที่หน้าของตนแดงราวกับลูกตำลึง ท่านผู้อ่านคิดว่ากันพูดความจริงหรือโกหก?
ถัดจากเรื่องผู้หญิง ก็เป็นเรื่องฟุตบอล
"แมนยูกาก" อ้ายซี พูดขึ้นมา
"ลิเวอร์พูลสิกาก ไอ้jetแม่" อ้ายเจมีไนน์พูดขึ้นมา
เสียงสมาชิกในแก๊งเถียงกันเรื่องทีมฟุตบอลที่รักของตน
ถัดจากเรื่องฟุตบอล ก็เรื่อง...
"แ-่งเมื่อวานกูดูคลิปน้องเดียร์ลองใน only fans sharkwowเพลินเลยjet แม่" พี่แม็ก หัวโจกพูดขึ้นมา
"โหพี่อายุขนาดนี้ยังsharkwowอีกเหรอพี่" กัน
เอ่ยถาม
"Kuay ไรไอ้sus เ-ือกนะไอ้กัน"
นอกจากเรื่องช่วยตัวเองก็เรื่องการบ้าน ที่ไม่ใช่เรื่องผัวเมียทำการบ้านแต่อย่างใด
"เฮ้ยนุนิว การบ้านอาจารย์ทินกฤตทำยังวะ" บุ๋นถามนุนิว เพื่อนร่วมชั้นในโรงเรียนเดียวกันกับบุ๋น ซึ่งมาเที่ยวกลางคืนด้วย
"ทำแล้ว"
"เฮ้ยกลับบ้านถ่ายมาให้กูดูด้วยนะ"
"เออๆ"
"ใจเว้ยนุนิว"
แล้วก็คุยเรื่องอื่นๆ อีก ข้าพเจ้าผู้ตามมาห่างๆ ได้แต่แอบฟังอย่างปลงๆ
ในที่สุดแก๊งค์น้ำท่อมก็เดินทางมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่งริมชายหาดปากแตระ เป็นร้านซึ่งขายอาหารทะเลแลอาหารตามสั่ง มีที่นั่งริมชายหาดเป็นซุ้มเก้าอี้หลังคามุงจากเรียงรายนับสิบแห่ง มิหนำซ้ำที่นี่มีแป้นบาสให้ได้เล่นด้วย แลก็ถึงทีของบุ๋น หลานชายข้าพเจ้าจักได้แสดงฝีมือในการชู้ตบาสให้ข้าพเจ้าแลคนอื่นๆ ได้ประจักษ์เป็นขวัญตา
ฝีมือการชู้ตบาสของบุ๋น ถือว่าเยี่ยมยอดสำหรับการเป็นนักกีฬาโรงเรียน น่าเสียดายที่ข้าพเจ้ามิมีโอกาสได้ล่วงรู้เลยว่า ระหว่างกรลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้าในโลกแห่งความเป็นจริง กับบุ๋นหลานชายของข้าพเจ้าในโลกแห่งความฝัน ใครกันที่เล่นกีฬาบาสเกตบอลได้เก่งที่สุด เพราะไม่ว่าจักในโลกแห่งความฝันแลโลกแห่งความจริง ข้าพเจ้าก็มิอาจล่วงรู้เลยว่าสองคนนี้มีฝีมือเก่งกล้าสามารถเพียงใด แลไม่เคยไปดูสองคนนี้แข่งบาสเกตบอลด้วยซ้ำไป
จากที่ข้าพเจ้าสะกดรอยตามหลานชายมานั้น ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจที่หลานชายของข้าพเจ้าแม้นจักเกเรไปบ้างในเรื่องการเที่ยวกลางคืน หากแต่หลานชายของข้าพเจ้าก็ไม่ริอ่านสูบบุหรี่มวน บุหรี่ไฟฟ้า ฤาดื่มน้ำกระท่อมเหมือนคนอื่นๆ ข้าพเจ้าไม่ได้หวังให้บุ๋นเป็นเด็กเนิร์ดเด็กเรียนเหมือนพ่อแม่แลปวงญาติของเด็กบางคนที่กดดันเด็กจนเกินไป ข้าพเจ้าขอแค่บุ๋นเป็นคนดี ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว
เรื่องราวของเด็ก๑๔ หนีเที่ยวจักเป็นอย่างไรต่อไปนั้น คงแล้วแต่จินตนาการของท่านผู้อ่านแล้วล่ะว่าจักปรารถนาให้เรื่องดำเนินไปต่อแบบใด เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
จ๊ะ เสือไบ
๑๖ ก.ค. ๒๕๖๗
เรื่องสั้น ชุด "ฝัน STory" ตอน เด็ก ๑๔ หนีเที่ยว (โดย จ๊ะ เสือไบ)
บุ๋นเป็นเด็กชายวัย ๑๔ ปี ร่างเล็กสูงราวๆ ๑๖๐ เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ ๓๘ กิโลกรัม ผิวขาว ฟันเก ตาชั้นเดียว หูไม่กาง หูยาวแต่ติ่งหูสั้น จมูกขนาดพอดี ดั้งจมูกไม่หัก ชอบเล่นกีฬาบาสเกตบอลเป็นชีวิตจิตใจ อย่างไรก็ตาม ในความฝันข้าพเจ้ามีศักดิ์เป็นน้าชายของบุ๋น มารดาของบุ๋นมีอายุมากกว่าข้าพเจ้าเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น แลคงเป็นพี่สาวแท้ๆ ของข้าพเจ้า ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นข้าพเจ้าไม่มีพี่สาว มีเพียง "โกะ" ที่เป็นลูกของน้า แลเป็นลูกพี่ลูกน้องข้าพเจ้าเท่านั้น
มีบ้านหลังหนึ่งปรากฏอยู่ในความฝัน มันเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง ตั้งอยู่ ณ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา บ้านหลังนี้เดิมทีเป็นบ้านของยายขิ้น พี่สาวของคุณยายข้าพเจ้า แลท่านเป็นลูกแท้ๆ ของทวดวุ่น ในเรื่อง "ผียายทวด" เฉกเช่นเดียวกันกับคุณยายของข้าพเจ้า หนำซ้ำท่านยังเป็นพี่สาวของตาสงบ ในเรื่อง "สามวิฬาร์สาบสูญ" อีกด้วย
เคหาสน์น้อยหลังนี้ในโลกแห่งความเป็นจริงมันถูกรื้อถอน ๒ ปีเห็นจักได้แล้ว ข้าพเจ้าจำได้รางๆ เมื่อก่อนตอนที่ยายขิ้นยังมีชีวิตอยู่นั้น พอถึงช่วงสงกรานต์ คุณยายของข้าพเจ้ามักจักเดินทางไปเยี่ยมพี่สาวของท่าน แลข้าพเจ้าได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย ข้าพเจ้าเคยวิ่งเล่น เคยปีนต้นมะม่วงเข้าบ้านแห่งนี้ทางหน้าต่าง รู้สึกใจหายเหมือนกันที่ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีบ้านไม้เก่าหลังนี้แล้ว เพราะมันได้ล้มหายตายจากตามยายขิ้นเจ้าของบ้านไป ทว่าบ้านหลังนี้ยังไม่สูญสลาย มันกลับมาปรากฏอีกครั้ง ณ ความฝันของข้าพเจ้าในครั้งนี้
ยามรัชนีราตรีกาล มีเดือนเสี้ยวเกี่ยวกิ่งฟ้าแลดวงดารากะพริบแพรวพราว อันตัวข้าพเจ้ากำลังนอนหลับเนื่องจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน
ไม่ช้าไม่นานแม่ของบุ๋นก็นอนหลับเฉกเช่นเดียวกัน แต่หล่อนนอนคนละห้อง น่าเสียดายนักเทียวที่ฝันของข้าพเจ้ามันเลือนรางจนข้าพเจ้ามองเห็นลักษณะทางกายภาพของพี่สาวผู้เป็นมารดาของบุ๋นไม่แจ่มชัด ข้าพเจ้ามองเห็นสตรีวัย๔๐ หุ่นค่อนข้างท้วม ผมดำหยิกสั้นลักษณะเป็นแอฟโฟร่ สวมชุดกระโปรงยาวสีเหลือง ชุดเป็นชุดลายดอกไม้สีแดงที่คล้ายๆ ดอกชบา หล่อนมีผิวดำ ดูท่าทางเป็นสตรีจู้จี้ขี้บ่น เท่านั้นแลที่ข้าพเจ้าจักสามารถจาระไนคุณลักษณะของหล่อนได้
เมื่อมารดาของบุ๋นเข้านอนไปชั่วระยะหนึ่ง ข้าพเจ้าซึ่งนอนอยู่ก่อนหน้าพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา เนื่องด้วยเสียงเอะอะโวยวายเนื่องจากมีอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญเข้ามา ณ เคหสถานแห่งนี้
มีกลุ่มคนประมาณสิบคน ลางคนก็อายุราว ๔๐ ลางคนก็ ๒๐ กว่า ลางคนก็รุ่นราวคราวเดียวกับบุ๋น ได้เข้ามาที่บ้านยามวิกาล
พวกนี้คือ "แก๊งน้ำท่อม" นำโดยพี่แม็ก หัวโจกของแก๊ง ข้าพเจ้าต้องเรียนให้ท่าน ทราบก่อนว่า "พี่แม็ก" นี้ เป็นคนละคนกับ "แม็ก" รักษ์พงศ์ เพื่อนของข้าพเจ้าในเรื่อง "บนซี้ซั้ว"
แลที่เรียกว่า "แก๊งน้ำท่อม" ก็เพราะอ้ายพี่แม็กคนนี้แล ชอบแดกน้ำกระท่อมเป็นชีวิตจิตใจ แม้นในเวลาทำงานพี่แกยังอุตส่าห์สละเพลา สละหน้าที่การงานเพื่อควานหา "น้ำกระท่อม" โดยเฉพาะ ทั้งซื้อแบบสำเร็จรูปแลวิริยะอุตสาหะหาหม้อหาเตามาต้มเอง ณ สถานที่ทำงาน
แก๊งน้ำท่อมมาบ้านเพื่อชวนบุ๋นไปเที่ยวกลางคืนที่ชายหาดปากแตระ ซึ่งบริเวณนั้นมีร้านอาหารมากมาย แลมีแป้นบาสให้ชู้ตบาสเล่นอีกด้วย บุ๋นบัดนี้อยู่ในชุดนักกีฬาบาสเกตบอลก็เดินถือลูกบาสมาต้อนรับคนพวกนั้นแล้ว
เสียงเจี๊ยวจ๊าวทำให้ข้าพเจ้าพลันตื่นขึ้นขึ้นมา มันเป็นเสียงการพูดคุยกันของเด็กวัยรุ่นที่ตามธรรมชาติแล้วจักมีคำผรุสวาทโผล่มาบ้างลางที
"แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอวะไอ้sus" เพื่อนของบุ๋นที่ชื่อโฟร์ท ปุฉฉา
"เออไอ้hia" บุ๋นวิสัชนา
"Jetโด้...แ-่งถือลูกบาสพร้อมเลยนะ" เจมีไนน์ หนึ่งในสมาชิกแก๊งน้ำท่อมพูดขึ้นมา
"เออดิ" หลานชายข้าพเจ้ากล่าวตอบ
"เอะอะโวยวายอะไรกัน" ข้าพเจ้าผู้ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงโวยวายขอพูดบ้าง
"อุ๊ย!!!"
ใครสักคนในแก๊งน้ำท่อมอุทาน บางคนก็ทำหน้าซีดหน้าเสีย
"อุ๊ย!!! ...น้าจ๊ะ!!!...ตื่นแล้วเหรอครับ?" บุ๋นอุทานขึ้นมา
"จะไปไหนล่ะบุ๋น" ข้าพเจ้าถามเด็ก๑๔
"ไปเที่ยวกับเพื่อนครับน้าจ๊ะ"
"แล้วบอกแม่เขารึยังล่ะ?"
ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพูดกับบุ๋น จู่ๆ ก็มีเสียงแทรกออกมาจากชายผู้หนึ่งซึ่งกำลังเข้าห้องน้ำปัสสาวะ
"โห...ดุซะด้วยจ๊ะ"
มันคือเสียงของพี่แม็ก หัวโจกแก๊งน้ำท่อมนั่นเอง
บุ๋นค้างเติ่งเมื่อข้าพเจ้าถามคำถามนี้ขึ้นมา แต่หลานชายของข้าพเจ้ายังมีความเป็นเด็กดีอยู่บ้าง นางจึงเปิดสองกรพนมมือไหว้ข้าพเจ้าแล้วพูดว่า
"ถ้าบอกแม่แม่ก็ไม่ให้บุ๋นไปสิครับ...น้าจ๊ะอย่าบอกแม่นะ...บุ๋นขอร้อง"
ข้าพเจ้าเงียบไปชั่วขณะ แลนึกถึงแผนดีๆ แผนหนึ่งออก แผนที่ข้าพเจ้าจักสามารถวางใจได้ว่าหลานชายวัย ๑๔ คนนี้จักไม่เถลไถลออกนอกลู่นอกทาง
"เออ...แต่บุ๋นอย่ากลับดึกนะ"
"กลับเที่ยงคืนนะน้าจ๊ะ"
"เฮ้ย!!!ไม่ได้!!! น้าให้ไม่เกินสี่ทุ่มครึ่ง!!!"
"ครับ ขอบคุณมากครับน้าจ๊ะ"
"เออ"
"งั้นบุ๋นไปก่อนนะ"
เด็กชายวัย๑๔ พร้อมผองเพื่อนเดินออกจากบ้านไม้หลังน้อยนี้มุ่งหน้าไปยังชายหาดปากแตระ โดยหารู้ไม่ว่า ข้าพเจ้าได้แอบสะกดรอยตามมาติดๆ
ชายหาดปากแตระนี้ในโลกแห่งความจริงมันต้องเดินเท้าไปราว ๒-๓ กิโลเมตรเห็นจักได้ แต่ในโลกแห่งความฝันเดินเพียง ๒๐๐-๓๐๐ เมตรก็ถึงแล้ว
ค่ำคืนนี้ท้องฟ้ามีเมฆมากจนบางทีก็บดบังดวงแขแลดวงดาว แต่ก็ถือว่าอากาศดีไม่มีฝนตก ลมทะเลพัดโบกทำให้ผิวกายเย็นสบาย คลื่นสูงเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น เด็กๆ เดินเล่นริมชายหาดอย่างสนุกสนาน พูดสารพัดเรื่องที่เด็กวัยรุ่นพูดกัน ทั้งเรื่องเกมต่างๆ
"ไอ้hiaบุ๋น อาโอวีกับกูสักตาปะsus"
โฟร์ท ซึ่งเป็นเพื่อนของบุ๋นคนหนึ่งที่วัยไล่เลี่ยกันเอ่ยปากชวน
"เอาดิไอ้โฟร์ท" หลานชายข้าพเจ้าตอบ
ถัดจากเรื่องเกม ก็เป็นเรื่องผู้หญิง
"เฮ้ยไอ้กัน ชอบอีไวตามิลค์ห้องสี่ปะวะ!"
เสียงสตางค์ เด็กในแก๊งน้ำท่อมคุยกับกัน หนึ่งในแก๊ง
"ไม่ใช่"
กันตอบสตางค์ไปทั้งที่หน้าของตนแดงราวกับลูกตำลึง ท่านผู้อ่านคิดว่ากันพูดความจริงหรือโกหก?
ถัดจากเรื่องผู้หญิง ก็เป็นเรื่องฟุตบอล
"แมนยูกาก" อ้ายซี พูดขึ้นมา
"ลิเวอร์พูลสิกาก ไอ้jetแม่" อ้ายเจมีไนน์พูดขึ้นมา
เสียงสมาชิกในแก๊งเถียงกันเรื่องทีมฟุตบอลที่รักของตน
ถัดจากเรื่องฟุตบอล ก็เรื่อง...
"แ-่งเมื่อวานกูดูคลิปน้องเดียร์ลองใน only fans sharkwowเพลินเลยjet แม่" พี่แม็ก หัวโจกพูดขึ้นมา
"โหพี่อายุขนาดนี้ยังsharkwowอีกเหรอพี่" กัน
เอ่ยถาม
"Kuay ไรไอ้sus เ-ือกนะไอ้กัน"
นอกจากเรื่องช่วยตัวเองก็เรื่องการบ้าน ที่ไม่ใช่เรื่องผัวเมียทำการบ้านแต่อย่างใด
"เฮ้ยนุนิว การบ้านอาจารย์ทินกฤตทำยังวะ" บุ๋นถามนุนิว เพื่อนร่วมชั้นในโรงเรียนเดียวกันกับบุ๋น ซึ่งมาเที่ยวกลางคืนด้วย
"ทำแล้ว"
"เฮ้ยกลับบ้านถ่ายมาให้กูดูด้วยนะ"
"เออๆ"
"ใจเว้ยนุนิว"
แล้วก็คุยเรื่องอื่นๆ อีก ข้าพเจ้าผู้ตามมาห่างๆ ได้แต่แอบฟังอย่างปลงๆ
ในที่สุดแก๊งค์น้ำท่อมก็เดินทางมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่งริมชายหาดปากแตระ เป็นร้านซึ่งขายอาหารทะเลแลอาหารตามสั่ง มีที่นั่งริมชายหาดเป็นซุ้มเก้าอี้หลังคามุงจากเรียงรายนับสิบแห่ง มิหนำซ้ำที่นี่มีแป้นบาสให้ได้เล่นด้วย แลก็ถึงทีของบุ๋น หลานชายข้าพเจ้าจักได้แสดงฝีมือในการชู้ตบาสให้ข้าพเจ้าแลคนอื่นๆ ได้ประจักษ์เป็นขวัญตา
ฝีมือการชู้ตบาสของบุ๋น ถือว่าเยี่ยมยอดสำหรับการเป็นนักกีฬาโรงเรียน น่าเสียดายที่ข้าพเจ้ามิมีโอกาสได้ล่วงรู้เลยว่า ระหว่างกรลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้าในโลกแห่งความเป็นจริง กับบุ๋นหลานชายของข้าพเจ้าในโลกแห่งความฝัน ใครกันที่เล่นกีฬาบาสเกตบอลได้เก่งที่สุด เพราะไม่ว่าจักในโลกแห่งความฝันแลโลกแห่งความจริง ข้าพเจ้าก็มิอาจล่วงรู้เลยว่าสองคนนี้มีฝีมือเก่งกล้าสามารถเพียงใด แลไม่เคยไปดูสองคนนี้แข่งบาสเกตบอลด้วยซ้ำไป
จากที่ข้าพเจ้าสะกดรอยตามหลานชายมานั้น ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจที่หลานชายของข้าพเจ้าแม้นจักเกเรไปบ้างในเรื่องการเที่ยวกลางคืน หากแต่หลานชายของข้าพเจ้าก็ไม่ริอ่านสูบบุหรี่มวน บุหรี่ไฟฟ้า ฤาดื่มน้ำกระท่อมเหมือนคนอื่นๆ ข้าพเจ้าไม่ได้หวังให้บุ๋นเป็นเด็กเนิร์ดเด็กเรียนเหมือนพ่อแม่แลปวงญาติของเด็กบางคนที่กดดันเด็กจนเกินไป ข้าพเจ้าขอแค่บุ๋นเป็นคนดี ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว
เรื่องราวของเด็ก๑๔ หนีเที่ยวจักเป็นอย่างไรต่อไปนั้น คงแล้วแต่จินตนาการของท่านผู้อ่านแล้วล่ะว่าจักปรารถนาให้เรื่องดำเนินไปต่อแบบใด เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้