อย่าหาว่าข้าพเจ้าอวดตนนักเลย แต่ข้าพเจ้าถือว่าข้าพเจ้าคือบุคคลหนึ่งซึ่งเป็น “นักฝันกลางวัน” ตัวยงก็ว่าได้ ฝันนี้เกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ ๑๙ พ.ค. ๒๕๖๗
คำว่า “ฝันกลางวัน” ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Day-dream” เมื่อแปลกลับเป็นภาษาไทยโดยใช้ภาษาสวยๆนั้น ก็คงเป็นคำว่า “สร้างวิมานในอากาศ” ส่วนผู้ที่เป็น “นักฝันกลางวัน” ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Day-dreamer” แลหากแปลด้วยภาษาสวยๆ แปลได้ว่า “นักสร้างวิมานในอากาศ”
ข้าพเจ้ายอมรับโดยดุษณีว่าข้าพเข้าชอบ “สร้างวิมานในอากาศ” จักว่าไปมันก็คือกลไกการป้องกันตนเอง (defense mechanism) รูปแบบ๑ เมื่อบุคคลประสบกับความทุกข์ที่หาทางแก้ไขมิได้ บางคนจึงเลือกที่จักใช้วิธีการ “สร้างวิมานในอากาศ” เพื่อหลีกหนีความขื่นขมที่ประเดประดังในชีวิต เป็นต้นว่าบางคนมักฝันกลางวันว่าเขามีเงินมากมายที่จักเนรมิตความสุขหลากหลายของเขาได้ หรือมีเงินเพื่อที่ไม่ต้องเป็น “ลูกจ้าง” จนแก่จนเฒ่า
ฝันครั้งนี้ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฝันถึงนักร้องรุ่นคุณตา ชื่อ “สุเทพ” ซึ่งข้าพเจ้าขอไม่อธิบายรายละเอียดถึงลักษณะทางกายภาพของแก รวมทั้งขอปกปิดนามสกุลด้วย เพราะข้าพเจ้าเกรงว่าลูกหลานของแกจักฟ้องร้องข้าพเจ้าจนเป็นความ ข้อหาที่เอาบรรพบุรุษของพวกเขามา”ล้อเล่น” เป็นตุเป็นตะ เอาเป็นว่าตาสุเทพ แกเป็นนักร้องที่หลายคนชื่นชอบชื่นชม (รวมทั้งข้าพเจ้า) แกได้ถึงแก่กรรมไปแล้วเมื่อราวๆ ๔-๕ ปีก่อน ข้าพเจ้าก็เคยไปงานศพของแก
กล่าวได้ว่าเมื่อคราที่ทั้งประเทศรับรู้ข่าวการเสียชีวิตของแก ก็ทำให้หลายคนเสียอกเสียใจที่ประเทศไทยได้สูญเสียนักร้องฝีมืออันหาตัวจับยากคนหนึ่งเลยเทียว
กาลเวลาเปลี่ยนผันมาจนถึงยุคปรัตยุบัน ก็พลันเกิดข่าว “ช็อกโลก” เมื่อประชากรนับพันล้านคนต่างทราบว่า “ตาสุเทพ” แก “ยังไม่ตาย” แลปรากฏกายให้สาธารณชนได้เห็นเป็นทั่วกัน ยังความสงสัยให้แก่คนทั้งมวลว่าก่อนหน้านั้นแก “ตาย” จริงหรือไม่ หรือแก “ฟื้นคืนชีพ” ขึ้นมากันแน่
พุทธศักราช ๒๕๖๘ การจัดรางวัลออสการ์โดยตามประเพณีจักต้องจัดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยเจ้าภาพงานอย่างเปลี่ยนสถานที่มาจัด ณ ประเทศไทย ซึ่งสถานที่จัดงานก็หนีไม่พ้น อิมแพ็คอาริน่า เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรีนั่นเอง
ในการจัดงานครั้งนี้จักมีการแสดงโชว์ร้องเพลงของตาสุเทพ ผู้ซึ่งกลายเป็นคนโด่งดังทั่วโลกแล้วในเวลานี้ โดยงานดังกล่าวข้าพเจ้าได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงานด้วย แน่นอนเทียวว่าข้าพเจ้ามิได้เข้างานอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเอกา หากแต่มี “น้อย” น้องชายของข้าพเจ้าติดสอยห้อยตามไปด้วย
น้อยอายุ ๒๗ อ่อนกว่าข้าพเจ้า ๑ ปี ๖ เดือน มันสูง ๑๗๗ เซนติเมตร ผิวคล้ำผิดกับข้าพเจ้าที่ผิวขาว น้อยเป็นคนที่มีหุ่นค่อนข้างท้วม แต่ภาพรวมก็ดูดีกว่าข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ากับน้อยเป็นพี่น้องกันก็จริง แต่มีนิสัยคนละขั้ว มันคงป่วยการเปล่าๆที่จักอธิบายเรื่องราวความแตกต่างของเราทั้งสองคน เอาเป็นว่า เราเป็นพี่น้องที่ไม่ลงรอยกันตั้งแต่เด็กแล้ว แลเหตุผลกลใดไม่ทราบที่ข้าพเจ้าดึงตัวน้อยมาร่วมงานประกาศรางวัลออสการ์ในครั้งนี้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยังสงสัยจนถึงทุกวันนี้
...
งานประกาศผลรางวัลออสการ์ในเมืองไทยถูกจัดอย่างหรูหราฟู่ฟ่า รัฐบาลไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพ ไม่ยอมเสียหน้า จึงทุ่มงบประมาณหลายสิบโกฏิบาทกับงานๆเดียว ถ้าว่าการทุ่มงบประมาณมหาศาลนี้ ยังผลดีแก่ประเทศไทยแล้วไซร้ ก็ถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง
อนึ่ง เพลาในประเทศไทยกับเพลาในประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ตรงกัน สมมติว่าสหรัฐอเมริกาจัดงานในเพลาค่ำของวันนี้ ในเมืองไทยจักเป็นเพลาเช้าของวันพรุ่งนี้ ฉันนั้นเรื่อง “ไทม์โซน” เส้นแบ่งเพลา จึงเป็น “ปัญหาโลกแตก” ของคณะเจ้าภาพ ว่าจักจัดงานค่ำตามเพลาในประเทศไทย หรือจักจัดงานตอนเช้า เพื่อให้ตรงกับเพลาค่ำของสหรัฐอเมริกา
ในที่สุดคณะเจ้าภาพจึงได้ข้อสรุปว่าให้มีการจัดงานในค่ำวันเสาร์ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๘ ตามเพลาในประเทศไทย ซึ่งจักตรงกับเช้าตรู่ของวันเดียวกันที่สหรัฐอเมริกา เป็นอันเสร็จสิ้นปัญหาโลกแตกข้างต้น แต่คงปฏิเสธมิได้ว่าชนชาติอเมริกันลางคนหรือหลายคนคงไม่ชินกับการที่ต้องมารับชมการถ่ายทอดสดรางวัลออสการ์ตั้งแต่ “ไก่โห่” แทนที่จักเป็นเวลา “ร่ำร้อง”ของ “นกฮูก” คงมีคนนับล้านนับโกฏิบ่นกันเซ็งแซ่แน่เทียวแล
งานประกาศรางวัลออสการ์ถือเป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำภายในตัว ของดีทั่วประเทศไทยถูกรังสรรค์เป็นเมนู”ระดับภัตตาคาร” จากเชฟมืออาชีพระดับมิชลินสตาร์ หรือเชฟจากรายการอาหารชื่อดังอย่าง Iron Chief, master chief, Top chief แล Hell’s kitchen. ต่างรวมพลกันมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
ข้าพเจ้าผู้ได้รับเทียบเชิญจากน้าวี นักจัดรายการวิทยุท่านหนึ่ง ซึ่งท่านผู้อ่านเคยได้รู้จักกับน้าวีแล้วในเรื่อง “ปาร์ตี้แสนกร่อย” โดยน้าวีได้ให้บัตรเชิญแก่ข้าพเจ้ามา ๒ ใบ แลด้วยเหตุใดมิทราบข้าพเจ้าจึงพาน้อยมาด้วย
เราทั้งสองคนสวมเสื้อสูทตามประเพณีนิยม น้อยเลือกสวมชุดสูทสีดำตามแบบฉบับคนทั่วไป หากแต่ข้าพเจ้าต้องการเพิ่มสีสันให้แก่ตนเอง จึงเลือกสวมสูทสีเขียวมะนาวเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เสื้อผ้าอื่นๆของเราสองคนก็เหมือนกัน กล่าวคือเราใส่กางเกงสแล็กสีดำ สวมรองเท้าคัทชูแลถุงเท้าสีเดียวกันนั้น นั่งรถไฟฟ้าสายสีชมพูลงที่สถานีศรีรัศมิ์ แล้วต่อรถเมล์ ขสมก.สาย ๑๖๖ เข้าเมืองทองธานี ในขณะที่แขกอื่นๆ ต่างมาพร้อมกับรถยนต์สุดหรูของพวกเขาทั้งสิ้น เราสองศรีพี่น้องเหมือนพวก “บ้านนอกเข้ากรุง” เสื้อผ้าราคาพันเศษๆที่สวมใส่นั้นเทียบไม่ได้เลยกับชุดสูทแลชุดเดรสสวยหรูของเหล่าบรรดาแขกกิติมศักดิ์ฤาเหล่าเซเล็ปซึ่งสนนราคาหลักหมื่นหลักแสน เราสองคนมาจากแดนสะตอที่มิได้มีอะไรให้ใครประจบสอพลอฤานิยมชมชอบนัก อีกทั้งเสื้อผ้าราคาหลายหมื่นก็มิสมควรอย่างยิ่งที่จักริอ่านรู้จักมัน เพราะอาจเข้าทำนอง “วัวลืมตีน” ได้ในภายภาคหน้า
...
ไฮไลต์ของงานประกาศผลรางวัลออสการ์ นอกจากผลรางวัลต่างๆแล้ว คือการปรากฏตัวของ “ตาสุเทพ” นักร้องระดับตำนานผู้ฟื้นคืนชีพจากมรณกรรม โดยแกจักมาโชว์ลูกคอร้องเพลงของแก ซึ่งเป็นโชว์คั่นระหว่างการประกาศผลรางวัล
เมื่อถึงคราที่แกต้องขึ้นมาบนเวที พิธีกรชายแลหญิงกล่าวเกริ่นนำแลต้อนรับแก เสียงปรบมือดังสนั่นอิมแพ็คอารีน่าเมืองทองธานี อินโทรดนตรีเพลงดังของแกเริ่มบรรเลง แต่แล้วตาสุเทพกลับร้องไห้แลพูดอะไรใส่ไมโครโฟนที่แกถือ คำที่ทำให้ผู้ฟังต้อง “สะดุ้ง!”
“กูไม่อยากอยู่แล้ว ปล่อยกูไปเถอะ กูอยากตาย ฮือๆๆๆๆ”
แกพูดพลางร้องไห้ไปพลาง ซ้ำไปซ้ำมาสามสี่หนจนดนตรีที่บรรเลงอยู่ต้องหยุดลงกลางคัน ในขณะที่พิธีกรหญิงแลชายรีบเดินเข้ามาถาม
“คุณอาคะ...คุณอาเป็นอะไร”
“คุณอาครับ”
“ฮือๆๆๆๆ กูไม่อยากอยู่แล้ว กูอยากตาย! เอากูกลับมาทำไม! กูอยากตาย!”
แขกในงานต่างอ้าปากค้างกับเหตุการณ์โกลาหลอันอุบัติขึ้น แล้วบ่นพึมพำกันเซ็งแซ่หลายภาษา
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย อาสุเทพเป็นอะไร”
“วอท แฮพเพิ่นดฺ?”
“เจ้อซื่อเสินเมอซื่อ?”
“...”
แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็อุทานเช่นกันว่า
“็hiaไรวะเนี่ย”
แต่ตาสุเทพก็ยังคงพูดจาประหลาดไม่หยุดหย่อน
“กูอยากตาย! กูไม่อยากอยู่แล้ว! เอากูไปทีเถอะ! กูไม่อยากอยู่แล้ว!เอากูกลับมาทำไม! กูไม่อยากอยู่แล้ว! กูอยากตาย!...”
ทันใดนั้นเองพลันเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อทวีบุรุษปริศนาแต่งกายในชุดนินจาสีดำคลุมหน้าคลุมศีรษะไว้มิดชิดเหลือเพียงดวงตาชั้นเดียวสองข้าง พวกเขาเป็นชายสองคนร่างผอม สูงไม่ถึง ๑๗๐ เซนติเมตร น้ำหนักก็ไม่ถึง ๕๐ กิโลกรัม รองเท้าเห็นไม่ชัดเจนว่าเป็นแบบใดแต่เป็นสีดำรางๆ หนำซ้ำพวกเข้าเป็นชายผิวเหลืองเหมือนคนเอเชียละแวกนี้
เขาสองคนโผล่มาจากมิติหนึ่ง แห่สิ่งๆหนึ่งที่บางทีก็เรียกว่า “เกี้ยว” บางทีก็เรียกว่า “วอ” สิ่งนี้มีลักษณะเป็นสีแดงฉาน หากท่านเคยรับชมภาพยนตร์จีนแนวย้อนยุค ท่านคงรู้จักกันดีถึงเกี้ยวลักษณะนี้ ซึ่งมักจักใช้แห่พวก “คนมีฐานะ” ยามเดินทางไกล
ชายปริศนาสองคนแห่เกี้ยวเข้ามารับตาสุเทพอย่างไวแล้ววิ่งหายไปในอีกมิติหนึ่ง ข้าพเจ้าผู้มีนิสัยสาระแนจึงรีบตามสองคนนั้นไปอย่างทุลักทุเล โดยมีน้อยวิ่งตามข้าพเจ้ามาด้วย
...
ข้าพเจ้ามิทราบเลยว่าการตามหาบุคคลปริศนาสองคนซึ่งลักพาตัวตาสุเทพไปนั้น จักนำมาสู่ “มรณกรรม” อนิจจาที่น้อยผู้น่าสงสารดันมาติดสอยห้อยตามข้าพเจ้าด้วย ทำให้เราสองคนต้องพบจุดจบอันหลีกเลี่ยงมิได้
เราหลงเข้าไปในเมืองประหลาด มันดูเหมือนกับกรุงเทพยุคโบราณ ข้าพเจ้ากำลังอยู่ ณ ทุ่งบางเขน ในยุคสมัยที่มีแต่ทางเกวียน ถนนลาดยางสักเส้นนั้นยังหามิได้เลย
ข้าพเจ้าจำได้ว่าบริเวณนี้คือแถวๆแยกลาดปลาเค้า-ประเสริฐมนูกิจ บนถนนเกษตร-นวมินทร์ในสมัยปรัตยุบัน
เมื่อมองที่ท้องฟ้าเป็นเวลาโพล้เพล้ ตะวันลับขอบฟ้าแลเห็นเป็นสีแดงส้มคล้ายไข่เค็ม รอบๆตัวข้าพเจ้ากับน้อยมีแต่ป่าอันอุดมไปด้วยพืชตระกูลปาล์ม อาทิ ต้นหมาก มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน อินทผลัม แลต้นตาลสูงๆ ยืนเรียงรายอยู่ถ้วนทั่ว ข้าพเจ้ากับน้อยนำลำต้นแลใบเหล่านั้นทำเป็นกระโจมพักอาศัยพร้อมทั้งก่อไฟไล่ยุง รับประทานมะพร้าว ผลตาล ผลอินทผลัมเป็นอาหารประทังหิว แล้วไม่นานข้าพเจ้ากับน้อยก็ผล็อยหลับไป จวบจนรุ่งอรุโณทัยของวันใหม่
...
เราทั้งสองเดินทางกันต่อ มาถึงป่าไม้ดงดิบ มันช่างเหมือนป่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็นในภาพยนตร์จีนแนวย้อนยุค ป่าอันอุดมไปด้วยไม้ไผ่แลไม้อื่นๆที่ข้าพเจ้ามิทราบชื่อแซ่ของมัน เราทั้งสองเดินหลงป่าอย่างหารู้ไม่ว่า “ความตาย” กำลังมาเยือนเราในไม่ช้า
มีชายปริศนาผู้หนึ่งลอยอยู่ในอากาศ เขาแต่งกายก้ำกึ่งคล้ายจอมยุทธ์ในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน หรือคล้ายซามูไรในภาพยนตร์ญี่ปุ่นแนวย้อนยุค กางเกงของชายผู้นี้มีลักษณะคล้ายกางเกงเลสีดำ เขาสวมถุงเท้าสีขาว ใส่เกือกไม้สีน้ำตาล สวมเสื้อที่มีลักษณะคล้ายเสื้อของจอมยุทธ์ฤาซามูไร มันเป็นสีม่วงมังคุด ชายผู้นี้มีตาชั้นเดียวผิวสีเหลืองเหมือนกับชาวเอเชียละแวกนี้ ไว้ผมยาวประบ่า ผมนั้นหยักศกสีดำโดนรวบไว้ด้วยยางมัดผมสีเดียวกัน ชุดของเขาหลวม จึงดูราวกับว่าเขามีรูปร่างท้วม ใบหน้ารูปสามเหลี่ยมของเขามีโหนกแก้มเป็นก้อนๆประดุจซาลาเปาลูกเล็กๆ อาจกล่าวได้ว่าเขามีไขมันที่แก้มเยอะนั่นเอง
ตรงสีข้างด้านซ้ายของเขาพกดาบเล่ม๑ มันดูเหมือนดาบซามูไรไม่มีผิด แลถ้าท่านเคยดูภาพยนตร์การ์ตูนญี่ปุ่นชุด “อิ๊กคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา” ชายผู้นี้มีลักษณะที่ถอดแบบมาจากตัวละคร “ชินเอม่อนซัง” ไม่มีผิดเพี้ยน
ชายปริศนาเหินเวหาร่อนลงตรงหน้าข้าพเจ้าแลน้อย พร้อมทั้งกล่าวสนทนาเป็นศัพท์โบราณว่า
“เจ้ามาทำอะไรในแดนคนตาย ?”
“แดนคนตายเหรอ” ข้าพเจ้าแลน้อยอุทานพร้อมกันแล้วหันหน้ามามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ใช่ ที่นี่คือแดนคนตาย... เจ้ามาทำอะไรมิทราบ” ชายเสื้อม่วงตะคอกถาม
“เรามาตามหาตาสุเทพ...แกอยู่ที่ไหน?” ข้าพเจ้าตะคอกกลับไปบ้าง
“มีประโยชน์อันใดฤาที่มนุษย์สองคนเฉกเช่นพวกเจ้าจักตามหาคนตาย?”
“ลักพาตัวคนมันผิดกฎหมายนะคุณน้า” คราวนี้น้อยขอพูดบ้าง
“ผิดกฎหมายเยี่ยงไรกันเล่าพ่อหนุ่ม...นี่มันแดนคนตาย กฎหมายเมืองมนุษย์ทำห่าอันใดข้ามิได้ดอก” ชายเสื้อม่วงตอบกลับ
“ตาสุเทพจะเป็นคนตายได้ยังไงในเมื่อผมยังเห็นเต็มลูกกะตาว่าแกยังมีชีวิตอยู่” ข้าพเจ้าพาที
“ชิชะ! อ้ายหนุ่มเอ๊ย ดูท่าเจ้าสองคนจักยังมิรู้ต้นสายปลายเหตุเกี่ยวกับตาเฒ่าที่เจ้าสองคนกำลังตามหาอยู่สินะ? งั้นข้าจักแถลงไขให้พวกเจ้าได้ฟังเอง”
เรื่องสั้น ชุด "ฝัน STory" ตอน ตามหาตาสุเทพ (โดย จ๊ะ เสือไบ)
คำว่า “ฝันกลางวัน” ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Day-dream” เมื่อแปลกลับเป็นภาษาไทยโดยใช้ภาษาสวยๆนั้น ก็คงเป็นคำว่า “สร้างวิมานในอากาศ” ส่วนผู้ที่เป็น “นักฝันกลางวัน” ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Day-dreamer” แลหากแปลด้วยภาษาสวยๆ แปลได้ว่า “นักสร้างวิมานในอากาศ”
ข้าพเจ้ายอมรับโดยดุษณีว่าข้าพเข้าชอบ “สร้างวิมานในอากาศ” จักว่าไปมันก็คือกลไกการป้องกันตนเอง (defense mechanism) รูปแบบ๑ เมื่อบุคคลประสบกับความทุกข์ที่หาทางแก้ไขมิได้ บางคนจึงเลือกที่จักใช้วิธีการ “สร้างวิมานในอากาศ” เพื่อหลีกหนีความขื่นขมที่ประเดประดังในชีวิต เป็นต้นว่าบางคนมักฝันกลางวันว่าเขามีเงินมากมายที่จักเนรมิตความสุขหลากหลายของเขาได้ หรือมีเงินเพื่อที่ไม่ต้องเป็น “ลูกจ้าง” จนแก่จนเฒ่า
ฝันครั้งนี้ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฝันถึงนักร้องรุ่นคุณตา ชื่อ “สุเทพ” ซึ่งข้าพเจ้าขอไม่อธิบายรายละเอียดถึงลักษณะทางกายภาพของแก รวมทั้งขอปกปิดนามสกุลด้วย เพราะข้าพเจ้าเกรงว่าลูกหลานของแกจักฟ้องร้องข้าพเจ้าจนเป็นความ ข้อหาที่เอาบรรพบุรุษของพวกเขามา”ล้อเล่น” เป็นตุเป็นตะ เอาเป็นว่าตาสุเทพ แกเป็นนักร้องที่หลายคนชื่นชอบชื่นชม (รวมทั้งข้าพเจ้า) แกได้ถึงแก่กรรมไปแล้วเมื่อราวๆ ๔-๕ ปีก่อน ข้าพเจ้าก็เคยไปงานศพของแก
กล่าวได้ว่าเมื่อคราที่ทั้งประเทศรับรู้ข่าวการเสียชีวิตของแก ก็ทำให้หลายคนเสียอกเสียใจที่ประเทศไทยได้สูญเสียนักร้องฝีมืออันหาตัวจับยากคนหนึ่งเลยเทียว
กาลเวลาเปลี่ยนผันมาจนถึงยุคปรัตยุบัน ก็พลันเกิดข่าว “ช็อกโลก” เมื่อประชากรนับพันล้านคนต่างทราบว่า “ตาสุเทพ” แก “ยังไม่ตาย” แลปรากฏกายให้สาธารณชนได้เห็นเป็นทั่วกัน ยังความสงสัยให้แก่คนทั้งมวลว่าก่อนหน้านั้นแก “ตาย” จริงหรือไม่ หรือแก “ฟื้นคืนชีพ” ขึ้นมากันแน่
พุทธศักราช ๒๕๖๘ การจัดรางวัลออสการ์โดยตามประเพณีจักต้องจัดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยเจ้าภาพงานอย่างเปลี่ยนสถานที่มาจัด ณ ประเทศไทย ซึ่งสถานที่จัดงานก็หนีไม่พ้น อิมแพ็คอาริน่า เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรีนั่นเอง
ในการจัดงานครั้งนี้จักมีการแสดงโชว์ร้องเพลงของตาสุเทพ ผู้ซึ่งกลายเป็นคนโด่งดังทั่วโลกแล้วในเวลานี้ โดยงานดังกล่าวข้าพเจ้าได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงานด้วย แน่นอนเทียวว่าข้าพเจ้ามิได้เข้างานอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเอกา หากแต่มี “น้อย” น้องชายของข้าพเจ้าติดสอยห้อยตามไปด้วย
น้อยอายุ ๒๗ อ่อนกว่าข้าพเจ้า ๑ ปี ๖ เดือน มันสูง ๑๗๗ เซนติเมตร ผิวคล้ำผิดกับข้าพเจ้าที่ผิวขาว น้อยเป็นคนที่มีหุ่นค่อนข้างท้วม แต่ภาพรวมก็ดูดีกว่าข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ากับน้อยเป็นพี่น้องกันก็จริง แต่มีนิสัยคนละขั้ว มันคงป่วยการเปล่าๆที่จักอธิบายเรื่องราวความแตกต่างของเราทั้งสองคน เอาเป็นว่า เราเป็นพี่น้องที่ไม่ลงรอยกันตั้งแต่เด็กแล้ว แลเหตุผลกลใดไม่ทราบที่ข้าพเจ้าดึงตัวน้อยมาร่วมงานประกาศรางวัลออสการ์ในครั้งนี้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยังสงสัยจนถึงทุกวันนี้
งานประกาศผลรางวัลออสการ์ในเมืองไทยถูกจัดอย่างหรูหราฟู่ฟ่า รัฐบาลไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพ ไม่ยอมเสียหน้า จึงทุ่มงบประมาณหลายสิบโกฏิบาทกับงานๆเดียว ถ้าว่าการทุ่มงบประมาณมหาศาลนี้ ยังผลดีแก่ประเทศไทยแล้วไซร้ ก็ถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง
อนึ่ง เพลาในประเทศไทยกับเพลาในประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ตรงกัน สมมติว่าสหรัฐอเมริกาจัดงานในเพลาค่ำของวันนี้ ในเมืองไทยจักเป็นเพลาเช้าของวันพรุ่งนี้ ฉันนั้นเรื่อง “ไทม์โซน” เส้นแบ่งเพลา จึงเป็น “ปัญหาโลกแตก” ของคณะเจ้าภาพ ว่าจักจัดงานค่ำตามเพลาในประเทศไทย หรือจักจัดงานตอนเช้า เพื่อให้ตรงกับเพลาค่ำของสหรัฐอเมริกา
ในที่สุดคณะเจ้าภาพจึงได้ข้อสรุปว่าให้มีการจัดงานในค่ำวันเสาร์ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๘ ตามเพลาในประเทศไทย ซึ่งจักตรงกับเช้าตรู่ของวันเดียวกันที่สหรัฐอเมริกา เป็นอันเสร็จสิ้นปัญหาโลกแตกข้างต้น แต่คงปฏิเสธมิได้ว่าชนชาติอเมริกันลางคนหรือหลายคนคงไม่ชินกับการที่ต้องมารับชมการถ่ายทอดสดรางวัลออสการ์ตั้งแต่ “ไก่โห่” แทนที่จักเป็นเวลา “ร่ำร้อง”ของ “นกฮูก” คงมีคนนับล้านนับโกฏิบ่นกันเซ็งแซ่แน่เทียวแล
งานประกาศรางวัลออสการ์ถือเป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำภายในตัว ของดีทั่วประเทศไทยถูกรังสรรค์เป็นเมนู”ระดับภัตตาคาร” จากเชฟมืออาชีพระดับมิชลินสตาร์ หรือเชฟจากรายการอาหารชื่อดังอย่าง Iron Chief, master chief, Top chief แล Hell’s kitchen. ต่างรวมพลกันมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
ข้าพเจ้าผู้ได้รับเทียบเชิญจากน้าวี นักจัดรายการวิทยุท่านหนึ่ง ซึ่งท่านผู้อ่านเคยได้รู้จักกับน้าวีแล้วในเรื่อง “ปาร์ตี้แสนกร่อย” โดยน้าวีได้ให้บัตรเชิญแก่ข้าพเจ้ามา ๒ ใบ แลด้วยเหตุใดมิทราบข้าพเจ้าจึงพาน้อยมาด้วย
เราทั้งสองคนสวมเสื้อสูทตามประเพณีนิยม น้อยเลือกสวมชุดสูทสีดำตามแบบฉบับคนทั่วไป หากแต่ข้าพเจ้าต้องการเพิ่มสีสันให้แก่ตนเอง จึงเลือกสวมสูทสีเขียวมะนาวเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เสื้อผ้าอื่นๆของเราสองคนก็เหมือนกัน กล่าวคือเราใส่กางเกงสแล็กสีดำ สวมรองเท้าคัทชูแลถุงเท้าสีเดียวกันนั้น นั่งรถไฟฟ้าสายสีชมพูลงที่สถานีศรีรัศมิ์ แล้วต่อรถเมล์ ขสมก.สาย ๑๖๖ เข้าเมืองทองธานี ในขณะที่แขกอื่นๆ ต่างมาพร้อมกับรถยนต์สุดหรูของพวกเขาทั้งสิ้น เราสองศรีพี่น้องเหมือนพวก “บ้านนอกเข้ากรุง” เสื้อผ้าราคาพันเศษๆที่สวมใส่นั้นเทียบไม่ได้เลยกับชุดสูทแลชุดเดรสสวยหรูของเหล่าบรรดาแขกกิติมศักดิ์ฤาเหล่าเซเล็ปซึ่งสนนราคาหลักหมื่นหลักแสน เราสองคนมาจากแดนสะตอที่มิได้มีอะไรให้ใครประจบสอพลอฤานิยมชมชอบนัก อีกทั้งเสื้อผ้าราคาหลายหมื่นก็มิสมควรอย่างยิ่งที่จักริอ่านรู้จักมัน เพราะอาจเข้าทำนอง “วัวลืมตีน” ได้ในภายภาคหน้า
ไฮไลต์ของงานประกาศผลรางวัลออสการ์ นอกจากผลรางวัลต่างๆแล้ว คือการปรากฏตัวของ “ตาสุเทพ” นักร้องระดับตำนานผู้ฟื้นคืนชีพจากมรณกรรม โดยแกจักมาโชว์ลูกคอร้องเพลงของแก ซึ่งเป็นโชว์คั่นระหว่างการประกาศผลรางวัล
เมื่อถึงคราที่แกต้องขึ้นมาบนเวที พิธีกรชายแลหญิงกล่าวเกริ่นนำแลต้อนรับแก เสียงปรบมือดังสนั่นอิมแพ็คอารีน่าเมืองทองธานี อินโทรดนตรีเพลงดังของแกเริ่มบรรเลง แต่แล้วตาสุเทพกลับร้องไห้แลพูดอะไรใส่ไมโครโฟนที่แกถือ คำที่ทำให้ผู้ฟังต้อง “สะดุ้ง!”
“กูไม่อยากอยู่แล้ว ปล่อยกูไปเถอะ กูอยากตาย ฮือๆๆๆๆ”
แกพูดพลางร้องไห้ไปพลาง ซ้ำไปซ้ำมาสามสี่หนจนดนตรีที่บรรเลงอยู่ต้องหยุดลงกลางคัน ในขณะที่พิธีกรหญิงแลชายรีบเดินเข้ามาถาม
“คุณอาคะ...คุณอาเป็นอะไร”
“คุณอาครับ”
“ฮือๆๆๆๆ กูไม่อยากอยู่แล้ว กูอยากตาย! เอากูกลับมาทำไม! กูอยากตาย!”
แขกในงานต่างอ้าปากค้างกับเหตุการณ์โกลาหลอันอุบัติขึ้น แล้วบ่นพึมพำกันเซ็งแซ่หลายภาษา
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย อาสุเทพเป็นอะไร”
“วอท แฮพเพิ่นดฺ?”
“เจ้อซื่อเสินเมอซื่อ?”
“...”
แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็อุทานเช่นกันว่า
“็hiaไรวะเนี่ย”
แต่ตาสุเทพก็ยังคงพูดจาประหลาดไม่หยุดหย่อน
“กูอยากตาย! กูไม่อยากอยู่แล้ว! เอากูไปทีเถอะ! กูไม่อยากอยู่แล้ว!เอากูกลับมาทำไม! กูไม่อยากอยู่แล้ว! กูอยากตาย!...”
ทันใดนั้นเองพลันเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อทวีบุรุษปริศนาแต่งกายในชุดนินจาสีดำคลุมหน้าคลุมศีรษะไว้มิดชิดเหลือเพียงดวงตาชั้นเดียวสองข้าง พวกเขาเป็นชายสองคนร่างผอม สูงไม่ถึง ๑๗๐ เซนติเมตร น้ำหนักก็ไม่ถึง ๕๐ กิโลกรัม รองเท้าเห็นไม่ชัดเจนว่าเป็นแบบใดแต่เป็นสีดำรางๆ หนำซ้ำพวกเข้าเป็นชายผิวเหลืองเหมือนคนเอเชียละแวกนี้
เขาสองคนโผล่มาจากมิติหนึ่ง แห่สิ่งๆหนึ่งที่บางทีก็เรียกว่า “เกี้ยว” บางทีก็เรียกว่า “วอ” สิ่งนี้มีลักษณะเป็นสีแดงฉาน หากท่านเคยรับชมภาพยนตร์จีนแนวย้อนยุค ท่านคงรู้จักกันดีถึงเกี้ยวลักษณะนี้ ซึ่งมักจักใช้แห่พวก “คนมีฐานะ” ยามเดินทางไกล
ชายปริศนาสองคนแห่เกี้ยวเข้ามารับตาสุเทพอย่างไวแล้ววิ่งหายไปในอีกมิติหนึ่ง ข้าพเจ้าผู้มีนิสัยสาระแนจึงรีบตามสองคนนั้นไปอย่างทุลักทุเล โดยมีน้อยวิ่งตามข้าพเจ้ามาด้วย
ข้าพเจ้ามิทราบเลยว่าการตามหาบุคคลปริศนาสองคนซึ่งลักพาตัวตาสุเทพไปนั้น จักนำมาสู่ “มรณกรรม” อนิจจาที่น้อยผู้น่าสงสารดันมาติดสอยห้อยตามข้าพเจ้าด้วย ทำให้เราสองคนต้องพบจุดจบอันหลีกเลี่ยงมิได้
เราหลงเข้าไปในเมืองประหลาด มันดูเหมือนกับกรุงเทพยุคโบราณ ข้าพเจ้ากำลังอยู่ ณ ทุ่งบางเขน ในยุคสมัยที่มีแต่ทางเกวียน ถนนลาดยางสักเส้นนั้นยังหามิได้เลย
ข้าพเจ้าจำได้ว่าบริเวณนี้คือแถวๆแยกลาดปลาเค้า-ประเสริฐมนูกิจ บนถนนเกษตร-นวมินทร์ในสมัยปรัตยุบัน
เมื่อมองที่ท้องฟ้าเป็นเวลาโพล้เพล้ ตะวันลับขอบฟ้าแลเห็นเป็นสีแดงส้มคล้ายไข่เค็ม รอบๆตัวข้าพเจ้ากับน้อยมีแต่ป่าอันอุดมไปด้วยพืชตระกูลปาล์ม อาทิ ต้นหมาก มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน อินทผลัม แลต้นตาลสูงๆ ยืนเรียงรายอยู่ถ้วนทั่ว ข้าพเจ้ากับน้อยนำลำต้นแลใบเหล่านั้นทำเป็นกระโจมพักอาศัยพร้อมทั้งก่อไฟไล่ยุง รับประทานมะพร้าว ผลตาล ผลอินทผลัมเป็นอาหารประทังหิว แล้วไม่นานข้าพเจ้ากับน้อยก็ผล็อยหลับไป จวบจนรุ่งอรุโณทัยของวันใหม่
เราทั้งสองเดินทางกันต่อ มาถึงป่าไม้ดงดิบ มันช่างเหมือนป่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็นในภาพยนตร์จีนแนวย้อนยุค ป่าอันอุดมไปด้วยไม้ไผ่แลไม้อื่นๆที่ข้าพเจ้ามิทราบชื่อแซ่ของมัน เราทั้งสองเดินหลงป่าอย่างหารู้ไม่ว่า “ความตาย” กำลังมาเยือนเราในไม่ช้า
มีชายปริศนาผู้หนึ่งลอยอยู่ในอากาศ เขาแต่งกายก้ำกึ่งคล้ายจอมยุทธ์ในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน หรือคล้ายซามูไรในภาพยนตร์ญี่ปุ่นแนวย้อนยุค กางเกงของชายผู้นี้มีลักษณะคล้ายกางเกงเลสีดำ เขาสวมถุงเท้าสีขาว ใส่เกือกไม้สีน้ำตาล สวมเสื้อที่มีลักษณะคล้ายเสื้อของจอมยุทธ์ฤาซามูไร มันเป็นสีม่วงมังคุด ชายผู้นี้มีตาชั้นเดียวผิวสีเหลืองเหมือนกับชาวเอเชียละแวกนี้ ไว้ผมยาวประบ่า ผมนั้นหยักศกสีดำโดนรวบไว้ด้วยยางมัดผมสีเดียวกัน ชุดของเขาหลวม จึงดูราวกับว่าเขามีรูปร่างท้วม ใบหน้ารูปสามเหลี่ยมของเขามีโหนกแก้มเป็นก้อนๆประดุจซาลาเปาลูกเล็กๆ อาจกล่าวได้ว่าเขามีไขมันที่แก้มเยอะนั่นเอง
ตรงสีข้างด้านซ้ายของเขาพกดาบเล่ม๑ มันดูเหมือนดาบซามูไรไม่มีผิด แลถ้าท่านเคยดูภาพยนตร์การ์ตูนญี่ปุ่นชุด “อิ๊กคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา” ชายผู้นี้มีลักษณะที่ถอดแบบมาจากตัวละคร “ชินเอม่อนซัง” ไม่มีผิดเพี้ยน
ชายปริศนาเหินเวหาร่อนลงตรงหน้าข้าพเจ้าแลน้อย พร้อมทั้งกล่าวสนทนาเป็นศัพท์โบราณว่า
“เจ้ามาทำอะไรในแดนคนตาย ?”
“แดนคนตายเหรอ” ข้าพเจ้าแลน้อยอุทานพร้อมกันแล้วหันหน้ามามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ใช่ ที่นี่คือแดนคนตาย... เจ้ามาทำอะไรมิทราบ” ชายเสื้อม่วงตะคอกถาม
“เรามาตามหาตาสุเทพ...แกอยู่ที่ไหน?” ข้าพเจ้าตะคอกกลับไปบ้าง
“มีประโยชน์อันใดฤาที่มนุษย์สองคนเฉกเช่นพวกเจ้าจักตามหาคนตาย?”
“ลักพาตัวคนมันผิดกฎหมายนะคุณน้า” คราวนี้น้อยขอพูดบ้าง
“ผิดกฎหมายเยี่ยงไรกันเล่าพ่อหนุ่ม...นี่มันแดนคนตาย กฎหมายเมืองมนุษย์ทำห่าอันใดข้ามิได้ดอก” ชายเสื้อม่วงตอบกลับ
“ตาสุเทพจะเป็นคนตายได้ยังไงในเมื่อผมยังเห็นเต็มลูกกะตาว่าแกยังมีชีวิตอยู่” ข้าพเจ้าพาที
“ชิชะ! อ้ายหนุ่มเอ๊ย ดูท่าเจ้าสองคนจักยังมิรู้ต้นสายปลายเหตุเกี่ยวกับตาเฒ่าที่เจ้าสองคนกำลังตามหาอยู่สินะ? งั้นข้าจักแถลงไขให้พวกเจ้าได้ฟังเอง”